chapter 9 เอลฟ์และแม่มด
ณ เมืองหลวงวาซูริ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลวงของบรรดาเอลฟ์จากทั้งหมด 4 เมือง
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงวิ่งดังขึ้นจากบนหลังคาภายในเมือง ก่อนจะพบว่าเป็นเอลฟ์ชายหญิงสองคนที่กำลังวิ่งไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
“วันนี้ฉันต้องประลองชนะเธอ” เอลฟ์หนุ่มหันไปพูดกับเอลฟ์สาวขณะวิ่งอยู่
โลเวล บุตรแห่งเรนเดลและเอวา หรือก็คือเจ้าชายคนที่กำลังวิ่งอยู่นั้นเอง โดยตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปยังลานประลอง เพื่อทำการฝึกตอนเช้าอย่างเร่งรีบจนผมดำอันเงางามถึงกับปลิวไสว ส่วนอีกคนก็คือองครักษ์ส่วนตัว เบล นั้นคือชื่อของเธอ เอลฟ์กำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอเป็นใครจึงไม่สามารถให้ชื่อเต็มกับเธอได้ โดยราชาเอลฟ์ได้บังเอิญพบเธอจึงได้รับเลี้ยงและดูแลไปพร้อมกับบุตรชายของตน ก่อนจะแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ส่วนตัว
เจ้าชายโลเวลที่รีบอย่างมากก็ได้กระโดดลงจากหลังคา ก่อนจะหมุนตัวกลางอากาศเพื่อลงพื้นอย่างสวยงาม ซึ่งทางด้านของเบลก็ได้กระโดดลงตามไปแต่ไม่ได้ทำท่าทางอะไร
“ใครถึงก่อนชนะ” เจ้าชายตะโกนขณะที่ตัวเองกำลังวิ่งนำ
เบลที่พอได้ยินถึงจะไม่อยากแข่ง แต่ก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย เธอจึงต้องจำใจแข่งไปโดยปริยาย ซึ่งก็ได้วิ่งซิกแซกหลบเอลฟ์ที่กำลังจับจ่ายกันอยู่จนวิ่งมาประชิดตัวได้ พอโลเวลเห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งตามมาทันจึงเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีก ทางด้านเอลฟ์สาวก็ไม่รอช้าเหมือนกัน ก่อนที่ชัยชนะจะเป็นของเบลที่วิ่งมาถึงก่อน โดยการกระโดดขึ้นบนหลังคา เพราะด้านล่างมีอุปสรรคเยอะเกินไป
“แพ้อีกแล้วสิ” เจ้าชายได้หัวเราะออกมาก่อนจะเดินไปดื่มน้ำ ส่วนทางด้านของเบลพอดื่มน้ำเสร็จก็ได้เดินไปหยิบหอกเพื่อเตรียมตัวฝึก
เจ้าชายโลเวลและเบลได้ตั้งท่าเตรียมตัวต่อสู้กันอย่างจริงจัง โดยมีทหารเอลฟ์มากมายกำลังดูการประลองนี้อยู่ ทางฝั่งเจ้าชายที่ใช้ดาบได้ก็ได้เริ่มเข้าโจมตีก่อน แต่เบลก็สามารถปัดได้ก่อนจะเริ่มกระหน่ำแทง พอโดนจู่โจมหนักโลเวลก็ได้เดินถอยไปทีละก้าวตามการโจมตีแต่ละครั้ง โดยที่ตัวเองก็ยังคงหาช่องว่างและฟันสวนเข้าไปเพื่อทำลายจังหวะของอีกฝ่าย
เค้ง
หอกในมือเบลได้ลอยขึ้นจากการโจมตีของโลเวล แต่เธอก็ยังสามารถกระโดดรับเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะปามันลงไปยังตำแหน่งของอีกฝ่ายในขณะที่อยู่กลางอากาศ ทางด้านเจ้าชายที่เห็นหอกกำลังพุ่งมาก็ได้หลบทันอย่างฉิวเฉียด เบลที่เห็นว่าพลาดไปจึงรีบเข้าไปหยิบหอกที่ปักคาพื้นอยู่ ก่อนจะกระโดดตีลังกาโดยใช้หอกเป็นจุดหมุน และทำการฟาดหอกลงพื้นด้วยแรงเหวี่ยงจนฝุ่นคลุ้งไปทั่วสนาม
ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว
เสียงดังขึ้นจากข้างสนามก่อนที่ฝุ่นที่คลุ้งจะจางลง และพบว่าเบลนั้นได้ถูกใบดาบจ่อคออยู่ด้วยท่าประคองไม่ให้ล้มลง
“ข้าแพ้แล้ว” เบลพูดก่อนจะผลักโลเวลออก
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็คือพอเบลได้ฟาดหอกลงพื้นโลเวลก็ได้พุ่งไปเตะหอกออกจากมือ ก่อนที่เขาจะพุ่งตรงไปจบการต่อสู้ แต่ทางด้านเบลกลับถอยหลังและเซไป ภาพที่ออกมาจึงกลายเป็ณโลเวลกำลังประคองเบลอยู่พร้อมกับดาบกำลังจ่อคอ
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วสนามฝึกก่อนจะเงียบลงในเวลาต่อมา โดยทางด้านโลเวลเมื่อซ้อมยามเช้าเสร็จเจ้าตัวก็ได้ออกไปเดินเล่นพร้อมเบลที่เดินตามอยู่ ทั้งสองซื้อของกินเล่นบ้างโดยส่วนใหญ่โลเวลก็เป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด เพราะเบลเธอเคร่งเรื่องงานมากๆจึงปฎิเสธตลอด แต่คนที่โตมาด้วยกันยังไงก็รู้วิธีอยู่แล้วว่าทำยังไงถึงจะยอม
การเดินเล่นยามเช้าได้เป็นไปตามปรกติจนพวกเขาเดินมาถึงทางออกจากอาณาจักรเอลฟ์ ซึ่งมันคือม่านเรืองแสงสีรุ้งที่สามารถมองเห็นด้านนอกได้ แต่ทางด้านนอกจะเห็นด้านในเป็นเหวเพื่อป้องกันการบุกรุก จนกระทั่งเสียงร้องของใครสักคนดังขึ้นแถวๆกำแพง โลเวลจึงรีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ตนกำลังนั่งชมดอกไม้อยู่
“มอนสเตอร์บุก!” ทหารเอลฟ์ตะโกนออกมาจนเอลฟ์ที่กำลังเดินอยู่บริเวณตลาดถึงกับแตกตื่น
ม่านป้องกันนั้นถูกออกแบบมาสามารถป้องกันการโจมตีได้ระดับหนึ่ง แต่น่าแปลกที่พวกมอนสเตอร์ที่ดูไม่มีสติปัญญากลับสามารถทำลายได้ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช้เวลามาคิดเรื่องนั้นแล้ว เพราะโลเวลและเบลต้องเข้าปะทะกับพวกออร์คทันทีที่มันผ่านกำแพงเมืองเข้ามาได้
โลเวลควบคุมรากไม้ให้รัดตัวของออร์คก่อนจะแทงดาบเข้าที่คอของมัน ส่วนเบลก็ได้สร้างตัวเธออีกคนมาสู้กับโอเกอร์โดยสลับกันโจมตีก่อนจะสามารถตัดหัวมันได้
“โลเวล! สร้างกำแพงรากไม้” เบลได้ตะโกนสั่งเพราะเห็นว่าพวกมอนสเตอร์กำลังกรูกันเข้ามา
ถึงจะเป็นเจ้าชายก็เถอะแต่ตอนนี้คนที่สามารถคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าก็คือเบล ก่อนที่เขาจะทำการควบคุมรากไม้ให้มาปิดประตูเมืองที่ไม่ได้ปิดมานาน เพื่อป้องกันการโจมตีของพวกมอนสเตอร์
“พวกมันผ่านม่านเข้ามาได้ยังไง” เบลที่งงกับสถาณการณ์อย่างมากก็ได้พูดออกมา
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้ๆคือตอนนี้ต้องรีบจัดการพวกมันก่อนที่กำแพงจะถูกทำลายก่อน” โลเวลเดินมาพูดข้างๆพร้อมกับแนะนำ
กองทัพเอลฟ์ที่ได้ข่าวมอนสเตอร์บุกก็ได้รีบลุกหน้ามาถึงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทั้งหมดจะทำการขึ้นไปบนกำแพงและยิงธนูลงไปยังพวกมอนสเตอร์ที่กำลังทำลายกำแพงอยู่ การโจมตีผ่านไปประมาณครู่หนึ่งพวกมอนสเตอร์ทั้งหมดก็ได้ตายลง โดยยังทิ้งความสงสัยเรื่องการบุกม่านป้องกันเอาไว้
“ข้าว่าเราต้องออกไปดูด้านนอกกัน” โลเวลพูดขึ้นก่อนจะหันไปมองเบลเพื่อถามว่าเห็นด้วยรึเปล่า
เจ้าชายเอลฟ์พยักไหล่ก่อนจะเดินนำไปยังปราสาท โดยคำตอบจากเบลนั้นเขาก็พอจะรู้อยู่ว่าเธอไม่สนใจ แต่แล้วยังไงคนตัดสินใจมันอยู่ที่คนถามตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ ข้าต้องการออกไปนอกเมืองเพื่อตรวจสอบที่มาของการโจมตีของพวกมอนสเตอร์” โลเวลพูดขณะที่กำลังคุกเข่าโดยมีเบลอยู่ข้างๆ
ท่านพ่อของโลเวลนั้นคือราชาเอลฟ์โดยมีนามว่า เรนเดล บุตรแห่งนาเดียและฮันน่า ส่วนท่านแม่มีชื่อว่า เอวา บุตรแห่งกราเฟดและรามี โดยที่ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์อันสูงทอดยาวขึ้นไป พร้อมกับทหารเอลฟ์ฝีมือฉกาจมากมายที่เป็นองครักษ์
“โลเวล เจ้าก็รู้ว่าพ่อของเจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจเรื่องทุกอย่าง ถ้าเจ้าต้องการจะออกไปด้านนอกเพื่อหาสาเหตุนั้นข้าก็สามารถคุยกับสภาได้ แต่สำหรับคนที่เลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เกิดข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะไปดูพวกมนุษย์ไม่ใช่หรอ” เรนเดลนั่งไขว่ห้างพร้อมกับเอามือท้าวคาง ก่อนจะถอนหายใจเพราะรู้ว่าเจ้าลูกคนนี้ต้องหาทางจนได้แน่
“นั้นก็เป็นเหตุผลส่วนตัวของข้า แต่เพื่อความปลอดภัยของบ้านเมืองเราต้องทราบสาเหตุว่าทำไมพวกมอนสเตอร์ถึงสามารถเข้ามาด้านในกำแพงได้”
“ท่านพี่หม่อมฉันก็รู้อยู่หรอกว่าลูกของพวกเราสนใจพวกมนุษย์ แต่การรู้สาเหตุว่าทำไมพวกมอนสเตอร์ถึงบุกเขามาได้นั้นก็เป็นเรื่องที่จำเป็นนะค่ะ”
‘เยี่ยมไปเลยท่านแม่ สมจริงๆที่เป็นท่านแม่ของข้า’ พอท่านแม่เข้าข้างหน่อยโลเวลก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจทันที
“เอาเถอะ สุดท้ายข้าก็รู้ว่ายังไงเจ้าก็หาเหตุผลมาได้ตลอดนั้นแหละ สมกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ ไปเรียกสมาชิกสภาทั้งหมดมาโดยเร็วที่สุด” เรนเดลออกคำสั่งให้ผู้ติดตามไปเรียกสมาชิกสภาให้มาประชุมทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปยังทางเดิน เพื่อไปยังห้องประชุมเพื่อหารือกับสิ่งที่โลเวลจะทำ
“ไงล่ะ ข้าเก่งใช่มั้ยล่ะ” โลเวลที่ดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้ออกนอกเมือง ก็เอาไหล่ไปชนเบลหลายรอบพร้อมกับยิ้มดีใจ
แปะ แปะ แปะ
“เจ้านี่ยังไร้อารมณ์ตลอดเลยนะ แต่ช่างเถอะเราเตรียมตัวไปด้านนอกกันดีกว่า”
เบลทำการปรบมือให้แผนสุดบ้าบอของเจ้าชาย ก่อนจะเดินตามคนสติไม่ค่อยดีที่กำลังยิ้มแย้มพร้อมกระโดดโลดเต้น เพื่อไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับไปสู้โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ออกไปรึเปล่า แต่เพราะอะไรไม่ทราบหรือความเคยชินที่ว่าพอโลเวลขออะไรก็ตามมมักจะได้ตามที่เจ้าตัวต้องการเสมอ ทั้งสองพร้อมกับทหารคนอื่นๆจึงต้องมาเตรียมตัวกันทันที
“ลูกของเจ้ากำลังจะก่อเรื่องอีกแล้วหรอเรนเดล” หนึ่งในสมาชิกสภาพูดขึ้น โดยสถานที่ประชุมนั้นเป็นห้องใหญ่ที่มีโต๊ะกลมตั้งอยู่ตรงกลาง พร้อมกับสมาชิกสภาทั้ง 10 คนที่นั้งล้อมโต๊ะอยู่
“ข้ารู้ว่าลูกชายข้ามันเป็นคนยังไง แต่เหตุผลของลูกข้ามันก็พอฟังขึ้นอยู่บ้าง จนตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี”
เรนเดลถึงกับกุมขมับ เพราะครั้งก่อนที่ออกไปก็ก่อเรื่องจากการไปชิงตัวเอลฟ์เด็กกลับมา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎที่สภาเอลฟ์ตั้งไว้ที่จะไม่ให้พวกมนุษย์เห็นตัวตน จนต้องนั่งประชุมกันอยู่หลายชั่วโมงว่าจะจัดการกับเรื่องนั้นยังไงดี แต่สุดท้ายคนก่อเหตุก็ให้เหตุผลว่ายังไงเผ่าเอลฟ์ก็มีตัวตนอยู่แล้ว เพียงแค่พวกเราหลบซ่อนจากสายตาพวกมนุษย์และมอนสเตอร์ แต่่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเรามีตัวตน ผลสรุปคือการปล่อยผ่านไปแม้จะมีหลายเสียงคัดค้าน
“เลิกเสียเวลามาทะเลาะอะไรไม่เข้าเรื่องสักที พวกเราต้องตัดสินใจว่าจะทำยังไงดีกับพวกมอนสเตอร์ด้านนอก เพราะจากทหารที่ไปสังเกตการณ์มาพวกมันมีจำนวนเยอะมาก แถมตอนนี้ก็เหมือนว่าพวกมนุษย์ก็กำลังเตรียมตัวรับมือกันอยู่ เราจึงต้องตัดสินใจว่าจะส่งคนของเราไปช่วยดีรึเปล่า” เอลฟ์มีอายุคนหนึ่งพูดขึ้นขณะที่ทั้งหมดในห้องกำลังครุ่นคิดเรื่องโลเวล แต่เขากลับไม่สนใจว่าเจ้าเด็กนั้นจะไปทำอะไร เพราะสนใจเพียงว่าเมืองที่เขาอยู่จะเป็นยังไงต่อไป
“อย่างที่อีคอนได้พูดนั้นแหละ เรื่องของโลเวลค่อยไปจัดการทีหลัง เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าว่าจะส่งคนไปช่วยพวกมนุษย์ดีรึเปล่า” เรนเดลพูดขึ้นพร้อมกับหันไปมองยังอีคอนผู้เป็นพี่ชาย
ช่วงเวลาของการขบคิดได้ผ่านไปสักครู่ ก่อนที่ดากุนที่เป็นหัวหน้าสภาได้บอกว่าใกล้ถึงเวลาตัดสินใจ ซึ่งทำให้ทุกคนภายในห้องต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาจะเอายังไงกันดี จนกระทั่งช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจมาถึง
“ใครอนุญาตโปรดยกมือขึ้น” ดากุนส่งสัญญาณการตัดสินใจของทุกคน
สมาชิกสภาทั้งหมด 10 คนจากสิบตระกูลใหญ่ได้ยกมือขึ้นจาก 8 ใน 10 ซึ่งผลตัดสินก็ตามที่เห็นว่าโลเวลสามารถออกไปนอกเมืองตามที่เจ้าตัวตั้งใจเอาไว้ได้ โดยที่ไม่นานคำสั่งของการตัดสินก็ได้ส่งมาถึงเจ้าตัว ก่อนที่เขาและเบลพร้อมทหารอีกกองร้อยหนึ่งจะมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง
“เตือนลูกของเจ้าเอาไว้ด้วยว่าอย่าไว้ใจพวกมนุษย์ให้มากนัก” อีคอนได้เดินไปเตือนเรนเดล ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปยังประตูมิติ ทิ้งให้น้องชายต้องยืนเครียดก่อนจะส่งโทรจิตผ่านแหวนสีเงินในนิ้วมือ ซึ่งเอลฟ์ทุกคนจะมีติดตัวไว้คนละวงเพื่อติดกันทางไกล
‘โลเวล แค่ไปช่วยจัดการพวกมอนสเตอร์เท่านั้น อย่าไปยุ่งกับพวกมนุษย์ให้มาก’
‘รับทราบท่านพ่อ ไม่ต้องห่วง’
“ข้าละเกลียดนิสัยดื้อด้านของลูกชายข้าจริงๆ ไม่รู้ได้มาจากใคร” พูดจบก็เดินไปยังประตูมิติที่เชื่อมกับปราสาท
หลังจากออกมานอกเมืองได้สำเร็จโลเวลก็ได้มุ่งหน้าออกจากป่าทันที ด้วยเวทย์ล่องหนที่ทำให้พวกมนุษย์และมอนสเตอร์มองไม่เห็น ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหากลุ่มมอนสเตอร์ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่เมืองเอลฟ์ โดยที่ทั้งหมดได้กระโดดเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็วบนกิ่งไม้เล็กๆที่ไม่น่าจะรับน้ำหนักตัวไหว จนกระทั่งพบกลุ่มเป้าหมายที่กำลังเดินทัพมุ่งหน้าไปสักที่อยู่
“ทั้งหมดแยกย้ายกันประจำจุดได้ ที่เหลือเบลฝากด้วยละกัน ข้าขอไปทำธุระก่อน” โลเวลออกคำสั่งแก่ทหารเอลฟ์ทั้งหมด ก่อนจะกระโดดหนีไปโดยที่เบลพอรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร
‘ท่านพ่อของท่านได้เตือนแล้วใช่มั้ยค่ะว่าอย่าก่อเรื่อง’ เบลส่งโทรจิตไปหาโลเวลที่กำลังตั้งใจทำอะไรสักอย่าง
‘น่าๆแค่นี้เอง พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ ส่วนเรื่องมอนสเตอร์รีบจัดการให้เสร็จเลยก็ดีนะ ฉันว่าแค่เธอคนเดียวก็จัดการได้หมดแล้วล่ะ’
โลเวลกระโดดไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดที่ออสตินกำลังเตรียมตัวสู้กับกองทัพมอนสเตอร์
‘หือ เบล ทางฝั่งมนุษย์ยังไม่โดนโจมตีเลย’ โลเวลโทรจิตไปแจ้งข้อมูลให้เบล
‘ท่านแน่ใจหรอ’
‘จะโกหกทำไมเล่า ก็นั่งดูอยู่เนี่ยว่าพวกมนุษย์กำลังตะโกนปลุกใจกันอยู่’
‘แล้วทำไมพวกมันถึงโจมตีพวกเราก่อน’
‘อย่างนั้นไง พวกเราจึงต้องออกมาดูว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เห็นไหมล่ะข้าคิดไว้ก่อนแล้ว’
เวลาเดินไปสักพักก่อนที่พวกมอนเตอร์จะเริ่มบุกกัน ฝั่งมนุษย์ที่ออสตินเป็นหัวหน้าทีมก็ได้สั่งการตอบโต้ทันที โดยทางด้านเอลฟ์ที่เบลเป็นคนสั่งการอยู่ก็ได้โจมตีมอนสเตอร์ที่กำลังเดินทัพอยู่เหมือนกัน
‘อยากช่วยจังแต่ข้าสัญญากับท่านพ่อไว้นะสิ’ เจ้าตัวคิดในใจพร้อมกับนั่งดูการต่อสู้อย่างสนุกสนาน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสิ่งที่มันควรจะเป็น ทั้งการโจมตีละลอกที่สองก่อนจะเกิดเหตุการณ์การคืนชีพของมอนสเตอร์ โลเวลที่เห็นว่าพวกมอนสเตอร์ทำการคืนชีพจึงโทรจิตไปถามท่านพ่อว่าพวกมันได้คืนชีพมารึเปล่า ซึ่งคำตอบกลับก็คือพวกมันยังนอนเป็นศพอยู่ และพอเขาหันกลับมาทางมนุษย์ การต่อสู้ได้หยุดลงหลังจากที่กลุ่มมนุษย์สามารถเอาชนะการโจมตีรอบนี้ได้ โลเวลที่นั่งเชียร์อยู่ก็โล่งใจทั้งที่ดูอยู่และฝั่งเมือง จนกระทั่งบางสิ่งที่น่ากลัวก็ได้โผล่ออกมา
เรดออร์คได้ทำการเข้าต่อสู้กับฮาเกนและออสตินอย่างดุเดือด ชนิดที่ว่าคนธรรมดาตายไปสิบกว่ารอบได้ ทางด้านโลเวลที่นั่งดูอยู่ตั้งนานตั้งแต่จำนวนหลายสิบคนจนเหลือเพียงอแค่สองคนนี้ ก็รู้สึกนับถือจากใจจริงว่าพยายามได้ดีมาก จนเจ้าตัวต้องปรบมือออกไป
โลเวลพยายามเอาใจช่วยจนวาระสุดท้ายของเรดออร์คมาถึง ซึ่งก็ทำให้เข้ารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะทำการกระโดดกลับไปหากลุ่มของเบลที่กำลังนั่งพักกันอยู่ แต่ในระหว่างนั้นเองเขาก็ได้ไปพบเข้ากับชายคุ้นหน้าและมนุษย์อีก 4 คน
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” เสียงลุคตะโกนไปยังหญิงสาวที่กำลังหันหลังให้เขาอยู่
หลังจากออกตามหาอยู่นานในที่สุดลุคก็สามารถหาตัวของแม่มดเจอสักที โดยตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากผิวชั้นดิน ชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรจึงได้คิดแผนการและเตรียมจะถ่ายทอดคำสั่ง กับสมาชิกทีมชั่วคราวของเขาที่ประกอบไปด้วยนักธนู 1 คน นักดาบ 2 คน และนักฆ่าอีก 1 คน ซึ่งทุกคนก็กำลังรอคำสั่งอย่างใจจดใจจ่อ
‘นายจะเอายังไง บอกมาเลย’ ชายนักธนูที่ใช้เวทย์ล่องหนแอบอยู่บนต้นไม้ถามลุค
‘พวกนายที่ใช้ดาบเข้าไปโจมตีก่อน แล้วให้นักฆ่าลอบเข้าไปหาจังหวะฆ่า’ ลุคโทรจิตบอกทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะทำตาม
นักดาบแรงค์แพลตตินั่มสองคนเริ่มวิ่ง ก่อนที่พวกเขาจะเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้แทบจะทันที แต่ไม่ทันที่จะได้ลงมือฟัน คลื่นมานาสีม่วงก็ได้กระแทกพวกเขาทั้งคู่จนกระเด็น ทางด้านนักฆ่าที่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าจะใครซ้อนการโจมตีอีก จึงได้วาร์ปไปหวังจะปิดฉากแต่ในจังหวะที่กำลังจะถึงตัวนั้นเอง หนามแหลมจากไหนไม่ทราบก็ได้พุ่งขึ้นมาแทงทะลุเท้าของเขาจนต้องร้องออกมา
แม่มดที่รับรู้ว่ามีคนจะรอบโจมตีก็ได้เสกบอลสีดำออกมาและหวังจะปาใส่นักฆ่าที่ขยับตัวไม่ได้ แต่ในขณะนั้นเองลูกธนูดอกหนึ่งก็ได้เสียบทะลุมือขวาที่กำลังถือบอลสีดำเอาไว้ นักดาบสองคนที่เห็นจังหวะจึงได้พุ่งไปโจมตี โดยที่สามารถหลบหนามที่พุ่งขึ้นได้ ก่อนที่ดาบสองเล่มจะแทงทะลุลำตัวของแม่มดไป
‘สำเร็จไหม’ นักธนูถาม
“ถอยออกมา!” ลุคตะโกนเสียงดังจนทำให้ทุกคนในทีมถึงกลับงง แต่แล้วในไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งสี่ก็ได้รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ร่างแม่มดค่อยๆเริ่มกลายเป็นเถาวัลย์ที่ก่อตัวเป็นร่าง ก่อนที่มันจะเริ่มงอกกิ่งไม้ที่แทงทะลุออกมาจากร่างทุกทิศทาง จนนักดาบและนักฆ่าต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน แม้จะใช้โล่ป้องกันแล้วก็ตามก็ยังสามารถทะลุเข้ามาได้ ซึ่งในช่วงเวลาคับขันนี้เองลุคก็รับรู้ได้ว่ามีใครบางคนกำลังเดินมาทางนี้ และปรากฎว่าเป็นแม่มดตัวจริงที่กำลังควบคุมบอลสีดำหลายสิบลูกอยู่ ก่อนที่พวกมันพุ่งตรงมาทางลุคและนักธนู
ลุคใช้เวทย์ป้องกันเอาไว้ได้ประมาณหนึ่งก่อนที่โล่จะแตก ส่วนนักธนูที่สามารถหลบได้สองสามลูกแต่สุดท้ายก็โดนจนล่วงลงมากระแทกกับพื้น
“นายเข้าใจความรู้สึกสูญเสียว่ามันเจ็บปวดขนาดไหนรึเปล่า กับการที่ต้องมองเห็นคนในครอบครัวหนาวตายลงทีละคน ทั้งๆที่พวกเขาไม่ควรได้รับอะไรแบบนั้น ถึงอย่างนั้นทุกคนก็บอกว่าไม่เป็นไร และสุดท้ายก็เหลือเพียงฉัน คนเดียวที่เหลือรอด มันทำให้ฉันรู้ว่าพวกมันจะต้องชดใช้ที่ได้ทำกับครอบครัวฉันแบบนั้น” หญิงสาวผมดำเดินไปหาลุคที่กำลังลุกขึ้น พร้อมกับเสกบอลสีดำโจมตีใส่ไปอีกหลายครั้ง และโล่ที่เอาไว้ป้องกันของลุคก็แตกกระจายอีกครั้ง
หลังจากจัดการเสร็จเธอก็ได้เดินไปหาลุคที่กำลังนอนหงายหน้า ก่อนที่เถาวัลย์จะเลื้อยมาพันตัวของเขาไว้ หญิงสาวที่มีใบหน้าอันสวยงามพร้อมกับผมสีดำสนิทได้เดินมานั่งยองข้างๆ พร้อมกับถามอีกฝ่ายว่าเป็นใคร แต่ลุคนั้นก็ปิดปากเงียบ เธอจึงเอานิ้วชี้แตะลงไปที่หน้าผากก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะแผ่ซ้านเข้ามาในร่างกาย
“อ้าๆๆๆๆๆๆ” ลุคร้องลั่นพร้อมกับดิ้นอย่างทุลนทุลาย แล้วเธอก็ยกนิ้วขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งหมดได้หายไป
“นายเป็นใคร” เธอยังคงถามคำถามเดิมส่วนลุคก็ยังคงปิดปากเงียบ จนเธอต้องทำอีกครัั้ง
การทรมาณดำเนินไปอีกประมาณสามครั้งก่อนที่ลุคจะยอมแพ้ เขาบอกชื่อพร้อมกับบอกภารกิจที่ได้รับมาให้ฟัง หลังฟังจบเธอก่อนก็ได้ลุกเดินจากไปพร้อมกับเถาวัลย์ที่รัดแน่นขึ้น ลุคที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่าจึงควบคุมดาบข้างเอวตัดเถาวัลย์รอบๆตัวจนหลุดออกมาได้ ก่อนจะควบคุมดาบให้พุ่งตรงเพื่อสังหารแม่มดในทันที แต่ก่อนที่ดาบจะถึงตัวมันกลับก็ได้กระเด็นออกเหมือนกับชนอะไรเข้า แม่มดที่รู้อยู่แล้วก็ได้เสกบอลสีดำออกมาอีกหลายลูกก่อนที่พวกมันจะพุ่งเข้าหาลุค
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
ลุคหลบได้โดยใช้เวทย์วาร์ป ก่อนจะทำการโยนระเบิดใส่อีกฝ่ายไปเพื่อเช็คอะไรสักหน่อย ซึ่งผลก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ว่ามีโล่ใสที่ป้องกันอีกฝ่ายไว้อยู่ เพราะทันทีที่ระเบิดทำงานโดมทรงกลมสีม่วงก็ได้ปรากฎรอบตัวแม่มด
แผนในการเข้าถึงตัวอีกฝ่ายคิดเสร็จทันทีที่รู้ว่ามีโล่ ลุคทำการโยนระเบิดอีกหลายลูกใส่โดยที่อีกฝ่ายก็ได้เอาเถาวัลย์มาสร้างเป็นกำแพง แต่ไม่ว่ากำแพงเถาวัลย์จะหนาสักแค่ไหนแรงระเบิดก็ได้สร้างแรงกระแทกจนเธอต้องล้มลง ลุคจึงใช้จังหวะนั้นไปช่วยสมาชิกทีมออกจากพื้นที่ต่อสู้ทั้งหมดจนครบ หลังจากช่วยเสร็จลุคที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมึนงงจากแรงระเบิดจึงได้โยนระเบิดแสงเข้าไปซ้ำ แสงจากระเบิดส่งผลให้แม่มดตาบอดชั่วคราวและเปิดโอกาสให้ลุคเข้าถึงตัวได้
“ยอมแพ้ซะ” ลุคล็อคคอพร้อมกับเอาดาบจ่อที่คออีกฝ่าย
“หึ ฉันวางแผนมาตั้งนานคิดว่าเรื่องแค่นี้จะหยุดฉันได้หรอ” เธอตอบกลับแม้จะหลับตาอยู่
“งั้นก็ถือว่าเตือนแล้วละกัน” ลุคค่อยๆกดดาบเข้าที่คอจนเลือดออก แต่อยู่ๆเขาก็ได้หยุดมือกะทันหัน พร้อมกับสายตาที่จ้องมองลงไปยังเนินอกของอีกฝ่าย และพบเข้ากับบางสิ่งที่ผิดปรกติ
แสงสีม่วงได้แผ่ออกมาจากบริเวณหัวใจ ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็นอะไรที่เป็นอันตรายอย่างมาก ลุคลังเลที่จะสังหารหญิงสาวตรงหน้าทันที เพราะเขาไม่รู้ว่าไอ้สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่ ในจังหวะนั้นเองแม่มดก็ได้ยกมือขึ้นมาก่อนจะแตะเข้าที่ศรีษะของลุค และความเจ็บปวดก็ได้แล่นเข้าสู่ทุกส่วนอีกครั้ง
ลุคเผลอปล่อยมือออกก่อนจะโดนรัดตัวด้วยเถาวัลย์อีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาคิดว่าตัวเองต้องไม่รอดแน่ๆ แต่แล้วหญิงสาวตรงหน้าก็ได้พูดอะไรบางอย่างออกมา
“ความตายหรือคนสอดแนม” เธอพูดก่อนที่เถาวัลย์บริเวณคอของลุคจะค่อยๆคลายออก
“สอดแนม เป็นคนสอดแนม” ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ใครๆก็รักชีวิตตัวเอง ซึ่งนั้นก็เป็นหนึ่งเหตุผล ส่วนอีกเหตุผลนั้น ก็คือถ้ายังมีชีวิตอยู่อาจจะหลุดพ้นจากสถานะนั้นในสักวันหนึ่ง
ร่างของลุคถูกยกลอยขึ้นก่อนที่แขนขวาจะถูกบังคับให้ยื่นออกไปด้านหน้า ในขณะนั้นเองหญิงสาวตรงหน้าก็ได้ทำการร่ายอะไรบางอย่างลงที่มือขวาตัวเอง ช่วงจังหวะนั้นเองในหัวของลุคได้ขบคิดว่าจะเอายังไงต่อดี เพราะเอาจริงๆในตอนนี้เขาพอมีโอกาสที่จะสังหารคนตรงหน้าได้ แต่ติดเพียงแค่ว่าแสงสีม่วงตรงเนินอกนั้นคืออะไร ถ้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าและทุกอย่างจะพังลง จะไม่ใช่แค่เขาแต่อาจจะเป็นคนทั้งเมืองที่ต้องรับเคราะห์
เธอร่ายคาถาจบก็ได้เอามือที่ร่ายเสร็จจับที่มือของลุค แสงสีม่วงได้แผ่ออกมาจากมือทั้งสองก่อนที่มันจะซึมทะลุผิวหนังเข้าไป ความรู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่มือลามขึ้นมาไหล่ ผ่านหน้าอกและตรงเข้าที่หัวใจของลุค ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที แต่ก่อนที่จะได้หยุดพักหายใจลุครู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามมา และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ภาพในหัวฉายให้เห็นเด็กสาวผมสีดำสนิทคนหนึ่งที่กำลังนั่งเรียนอยู่กับอาจารย์ ก่อนที่ทหารกลุ่มหนึ่งจะเดินเข้ามาให้ห้องของเธอพร้อมกับลากไปยังโถงใหญ่ ซึ่งมันก็คือโถงใหญ่ในบ้านของเธอนั้นเอง โดยสิ่งที่ฉายนั้นบ่งบอกได้ว่าครอบครัวของเธอนั้นเคยเป็นเจ้าเมืองของซันเดิลมาก่อน เพราะสถานที่โดยรอบที่ลุคเห็นนั้นมันคือปราสาทที่เจ้าเมืองคนปัจจุบันอาศัยอยู่ ก่อนที่สารคำสั่งบางอย่างจะได้บอกแก่ครอบครัวเธอว่า “พวกเจ้าถูกถอดยศขุนนางและหมดหน้าที่การดูแลเมืองนี้ นั้นคือคำสั่งจากองค์ราชาที่ให้พี่ชายของพระองค์ แม็กซีมัส พาเรน เป็นเจ้าเมืองนับตั้งแต่บัดนี้ไป” แทบจะทันทีที่จบประโยค ครอบครัวของเธอได้ถูกโยนออกนอกปราสาทให้เผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริง ที่ว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีอำนาจอยู่ในมือแล้ว
การเอาชีวิตรอดในช่วงแรกนั้นยังพอทำได้เนื่องจากยังพอมีเงินติดตัวอยู่ แต่ติดปัญหาที่ว่าเมื่อก่อนครอบครัวเธอนั้นได้สร้างความแค้นให้กับพวกขุนนางกลุ่มหนึ่ง และตอนนี้ก็เหมือนว่าพวกมันต้องการจะเอาคืนโดยเริ่มจากการคุกคามเล็กๆน้อยๆ จนเริ่มเป็นเหตุบานปลาย คนรับใช้และผู้ติดตามไม่สามารถทนรับความเจ็บปวดนี้ได้อีกจึงได้ขอแยกทาง การขอความช่วยเหลือจากคนที่เคยเป็นมิตรหรือคนรู้จักก็ไม่ได้ผล สาเหตุก็เพราะคนที่จะช่วยเหลือหรือต้องการช่วยพวกเธอจะถูกกล่าวหาและลงโทษข้อหาช่วยเหลือกบฎ ทั้งหมดจึงทำได้เพียงแค่กล่าวขอโทษก่อนจะเชิญพวกเขาออกจากบ้านของไป แต่บางคนกลับยื่นข้อเสนอแลกกับการที่เธอต้องไปเป็นทาสรับใช้ พ่อและแม่จึงตัดสินใจพาครอบครัวที่เหลือหนีออกจากเมือง โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองมันอีก
หลังจากออกจากเมืองมา ทั้งหมดได้ตรงเข้าป่าเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้เลยว่าบางทีการอยู่ภายในเมืองนั้นอาจจะปลอดภัยมากกว่า เพราะภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์นั้นคนที่เหลือรอดนั้นเหลือเพียงแค่เธอ สองคืนแรกน้องชายเธอได้จากไปเพราะความหนาวเย็น คนที่เหลือโศกเศร้าแต่ยังคงต้องฝืนร่างกายออกไปหาท่อนไม้เพื่อหวังจะสร้างที่พัก เวลาได้ผ่านไปหลายวันบ้านหลังนั้นก็เสร็จแม้จะไม่ได้สวยหรู วันหนึ่งพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ออกไปหาอาหาร แต่แล้วจนค่ำเขาก็ไม่กลับมา เช้าวันถัดมาผู้เป็นแม่จึงได้ออกตามหา ก่อนจะพบกับศพชายผู้เป็นที่รักนอนตายด้วยแผลขนาดใหญ่ช่วงท้อง ที่น่าจะเกิดจากหมูป่าพุ่งเข้าใส่
สองคนที่เหลือสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแต่ก็ผ่านมันมาได้แม้จะขมขื่น จนเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอตื่นมาและพบกับจดหมายและหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างตัวเธอ เธอวิ่งออกตามหาผู้เป็นแม่จนในที่สุดก็พบ แต่ก็เป็นเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณที่นอนหนาวตายอยู่ข้างต้นไม้ไม่ห่างจากบ้านมากนัก ศพผู้เป็นแม่ได้ถูกฝังรวมกับคนในครอบครัวที่จากไป
“แม่ขอโทษที่ไม่เข้มแข็งพอ แม่ไม่สามารถยอมรับความสูญเสียทั้งหมดนี้ได้ แม่ขอโทษนะเลน่า ใช้ชีวิตต่อไปนะลูก” นั้นคือข้อความที่อยู่ในจดหมาย พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มันอาจจะเป็นความหวังสุดท้ายที่มีอยู่ โดยเธอได้สาบานกับตัวเองว่าจะต้องทำลายคนที่ทำให้ครอบครัวของเธอต้องเจอกับเรื่องราวแบบนี้ ให้มันทรมาณจนต้องร้องขอความตาย
“เธอคือ เลน่า สตียาร์ด” ลุคหลุดจากภวังค์ ก่อนจะมองไปยังอีกฝ่ายที่น่าจะเจอเหตุการณ์เหมือนกัน
“สงสัยนี่คงเป็นขั้นตอนการทำผูกดวงจิตซินะ” เธอพูดออกมาโดยที่ไม่แม้แต่จะมองลุคที่อยู่ตรงหน้า
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวที่ลุครู้จักชื่อว่าเธอนั้นคือ เลน่า สตียาร์ด จะอธิบายบางสิ่งที่เขาควรรู้
“ต่อไปนี้ฉันคือเจ้าชีวิตของนาย แม้ว่านายจะตายไปแล้วก็ตาม เวทย์นี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป และไม่มีทางยกเลิกได้” เลน่าพูดจบเธอก็ได้ปล่อยมือและเดินจากไป ทิ้งให้ลุคทรุดตัวอยู่กับพื้นโดยไม่หันมาสนใจ
“บ้าเอ้ย แล้วจะบอกออสตินยังไงเนี่ย” เขามองไปยังมือขวาพร้อมกับรอยสักรูปหัวกระโหลกที่โผล่ขึ้นมาหลังมือ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพันธะสัญญาได้ถูกทำเป็นที่เรียบร้อย
“สาเหตุของการที่มอนสเตอร์บุกเข้ามาได้นั้นมาจากมนุษย์ที่ถูกเรียกว่าแม่มด”
ตอนนี้โลเวลกำลังกำลังอธิบายสิ่งที่เขาออกไปหาคำตอบ ทั้งที่ไม่รู้ว่าใช่รึเปล่าแต่อย่างน้อยก็ทำให้การออกไปครั้งนี้ไม่เสียเปล่า โดยข้อมูลนั้นก็มาจากการแอบฟังมนุษย์และการพบเจอแม่มดที่กำลังสู้กับชายคนหนึ่ง ซึ่งการจะเข้าไปช่วยนั้นดูเหมือนจะไม่จำเป็น เพราะมันจะกลายเป็นทำให้เรื่องวุ่นวายซะมากกว่า นั้นคือสิ่งที่โลเวลคิด เพราะขนาดมีโอกาสปลิดชีพแม่มดแล้ว ชายคนนั้นกลับไม่ทำซึ่งเป็นสิ่งที่โลเวลไม่รู้เพราะอะไร แต่ที่รู้ๆก็คือถ้าทำลงไปแล้วต้องเป็นอะไรที่ไม่คุ้มกับสิ่งที่ตามมาแน่ๆ นั้นคือเรื่องราวทั้งหมดที่โลเวลเล่าออกไป
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปได้แล้วล่ะ” เรนเดลบอกแก่โลเวล เพื่อให้สมาชิกสภาคุยกันต่อ
“ไปหาอะไรกินกัน” โลเวลที่ออกจากห้องประชุมก็ได้เดินไปชวนเบลทานมือค่ำ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพราะเธอก็มีเรื่องที่จะคุยเหมือนกัน
อาหารมื้อค่ำที่เป็นทั้งเนื้อย่าง เหล้าเบียร์ และของกินจุกจิกอีกมากมายได้ถูกนำมาวางที่โต๊ะในร้านอาหาร ก่อนที่ทหารในหน่วยทั้งหมดจะเริ่มฉลองงานที่ทำกันในวันนี้ โดยมีโลเวลเป็นเจ้าภาพซึ่งก็ทำให้ทุกคนมีความสุขเพราะมีคนเลี้ยง
“ออกมาทำอะไรข้างนอก” เบลเดินมาถามโลเวลเพราะเห็นเดินออกมานอกร้าน
“ก็แค่อยากคิดอะไรเรื่อยเปื่อย” พร้อมกับยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบ ก่อนที่เจ้าตัวจะกอดคอเบลแล้วลากเธอเข้าไปในร้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ต่างจากใบหน้าเมื่อครู่ที่เหมือนกับโหยหาอะไรบางสิ่งที่ขาดหายไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 200
แสดงความคิดเห็น