chapter 5 เรื่องคาดไม่ถึง

คาร์น ดินแดนเวทมนตร์
คุณกำลังอ่าน: คาร์น ดินแดนเวทมนตร์

-A A +A

chapter 5 เรื่องคาดไม่ถึง

        แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านม่านที่บดบัง ก่อนกระทบเข้ากับร่างของลุคที่กำลังนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะลุกขึ้นจากเตียงและตรงไปล้างหน้า พร้อมกับเดินมาดูแบบแปรนสิ่งประดิษฐ์ที่ทำค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งวันนี้ก็มีสิ่งที่เขาต้องไปทำ คือการหาแร่สามชนิดเพื่อเอาไปทำอุปกรณ์

        “ปวดตัวจัง” ลุคบ่นออกมาหลังจากที่ต้องก้มหยิบดาบสองเล่มจากพื้น ก่อนจะใช้มือทุบตามตัวไปสองสามที 

        หลังจากออกจากบ้านเสร็จก็ตรงไปร้านขนมปังก่อนเพื่อหาอะไรทานลองท้อง หลังจากนั้นก็ไปร้านขายแร่ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก โดยแร่ส่วนใหญ่ที่ผู้คนต้องการมักจะนำไปใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการสร้างอาวุธหรือสิ่งของ แต่ก็มีแร่บางชนิดที่อยู่ในรูปของผลึกเมื่อนำไปหลอมพร้อมกับเหล็กหรือโลหะชนิดอื่น ก็จะมีผลที่ทำให้โลหะนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นแตกต่างกัน เช่น แร่บลูไนซ์ จะมีผลทำให้โลหะรับแรงกระแทกได้มากขึ้น หรือแร่เยลโล่ควิส จะมีผลทำให้ผิวสัมผัสของเหล็กนั้นเรียบเนียน เหมาะกับการทำเป็นชิ้นส่วนที่ต้องมีรายละเอียดสูง

        เมื่อมาถึงร้านแร่ลุคก็ไม่รอช้ารีบตรงไปหาพ่อค้าที่กำลังปัดฝุ่นอยู่ ก่อนจะถามเกี่ยวกับแร่ที่ได้สั่งเอาไว้ และคำตอบที่ได้กลับก็คือเจ้าของร้านได้ขายแร่นั้นไปแล้ว เนื่องจากลุคนั้นมาช้าแถมยังมีคนที่ให้ราคาสูงลิ้ว จนเจ้าของร้านเกิดอาการหิวเงินขึ้นมา 

        พอเป็นอย่างนั้นลุคก็คิดว่าคงไม่ต้องพูดคุยอะไรกันให้มากความกับเจ้าของร้านแบบนี้ เขาจึงตรงไปร้านอื่นแทนเพื่อสอบถามถึงแร่ที่ต้องการ แต่ก็ได้คำตอบเหมือนๆกันว่าแร่พวกนั้นไม่ค่อยถูกนำเข้ามาขาย เพราะแร่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในถ้ำของมอนสเตอร์ระดับสูง ซึ่งโดยปรกติแล้วมักจะอยู่ลึกเข้าไปในป่าที่คนส่วนใหญ่คาดว่าเป็นเขตแดนของเอลฟ์ หรือไม่ใช่เอลฟ์ก็เป็นพวกมอนสเตอร์ระดับแรร์ที่อันตรายกว่า จึงเป็นอะไรที่เสี่ยงกับการเข้าไปเอาแร่ออกมา

        “ต้องเข้าไปในป่าจริงๆหรอเนี่ย” เจ้าตัวพูดพร้อมกับขยี้ผมตัวเองจนฟู ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเข้าไปเนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น แต่ก่อนจะไปก็ต้องมีการเตรียมตัว โดยไปซื้อยามาเผื่อเอาไว้อย่างละ 2 ขวด และกลับไปจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเข้าป่า 

        และเมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ลุคก็ไม่รอช้ารีบออกจากเมืองก่อนจะตรงไปยังป่าฮัทฟา ซึ่งเป็นป่าใหญ่ที่ล้อมเมืองซันเดิลเอาไว้ โดยป่าฮัทฟานั้นถูกแบ่งเป็นเขตหนาวกับเขตอบอุ่น เขตหนาวจะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง ส่วนเขตอุ่นจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตลอดการเดินทางเจ้าตัวก็ได้ระมัดระวังตัวตลอด เนื่องจากอาจมีมอนสเตอร์แอบซุ้มโจมตี แต่จนกระทั่งมาถึงเขตอบอุ่นก็ไม่มีมอนสเตอร์สักตัว

        “ไม่มีมอนสเตอร์?”

        ทุกการก้าวเดินก็ได้มองหาถ้ำหรือดันเจี้ยนซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก ก่อนที่สายตาซึ่งถูกเสริมด้วยเวทย์มองไกลจะเห็นปากทางเข้าถ้ำที่ถูกปกคุลมไปด้วยเถาวัลย์ และใช้เวลาไม่นานลุคก็มาถึง ซึ่งก่อนจะเข้าไปก็ได้ใช้เวทย์ตรวจจับเพื่อตรวจสอบความลึก พร้อมกับตรวจสอบว่ามีกับดักรึเปล่า 

        ‘ดูท่าจะลึกพอตัว แต่ปัญหาว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างล่างน่ะสิ’ ถึงไม่ต้องใช้เวทย์ตรวจจับก็รับรู้ได้จากทางเข้าที่เป็นรอยเลื้อยของงู แถมขนาดตัวก็บอกได้เลยว่าใหญ่พอจะทับคนให้ตายได้ แต่สิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือทุกอย่างรอบๆตัวกลับเงียบจนผิดสังเกต

        ‘มาขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องได้อะไรติดมือกลับไปล่ะ’ ก่อนจะเข้าไปก็ไม่ลืมหยิบคบเพลิงที่อยู่ในกระเป๋าสะพายออกมา แล้วตรงเข้าถ้ำไปอย่างตื่นเต้นแต่ก็ต้องสงบใจ

        แสงไฟจากคบเพลิงได้สาดส่องนำทาง ส่วนสายตาก็ได้สาดส่องเพื่อหาแร่ที่ต้องการ ซึ่งการจะหาแร่ในถ้ำนั้นก็ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ถ้าใช้เวทย์ตรวจจับตลอดเวลา แต่ปัญหาคือเวทย์บทนี้กินมานาเยอะเกินไปที่จะใช้ต่อเนื่อง เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงต้องใช้วิธีโยนหินถามทางไปก่อนเพื่อให้รู้ว่าทางด้านหน้าปลอดภัยรึเปล่า จนกระทั่งมาถึงทางแยกซ้ายขวาซึ่งตอนนี้จำเป็นต้องใช้เวทย์ เพื่อตรวจเส้นทางว่าทางไหนคุ้มค่ากว่ากัน

        ‘ทางขวาดูท่าจะมีโถงอะไรอยู่ ส่วนทางซ้ายก็มีก็อบลิน’ เมื่อลองเทียบดูแล้วจัดการทางซ้ายก่อนก็น่าจะปลอดภัยกว่า เพราะเผื่อว่าทางขวามีอะไรที่โหดกว่าก็อบลินจะได้ไม่มีตัวอะไรมาขวางตอนหนี แต่ก่อนจะไปจัดการก็อบลินก็ไม่ลืมที่จะลบกลิ่นตัวเพราะพวกมันจมูกดีเอามากๆ ด้วยดินที่อยู่บนพื้นจนลุคมั่นใจแล้วว่าไม่มีกลิ่นตัว

        ‘โชคยังดีที่ปากถ้ำมีเถาวัลย์ อากาศเลยไม่ค่อยถ่ายเท’

        หลังตัดสินใจเสร็จก็ปักคบเพลิงลงพื้นตามลายทางเผื่อฉุกเฉิน โดยไม่ลืมวางกับดักเล็กน้อยกันเอาไว้ก่อนวางกระเป๋าสะพายเอาไว้ตรงทางแยก เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ชักดาบสองเล่มข้างเอวออกมา ก่อนจะเริ่มใช้เวทย์ตรวจจับและตรงไปหากลุ่มก็อบลินที่ดูท่ากำลังสนุกอยู่

        ก๊าซ  ก๊าซ  ก๊าซ 

        ก็อบลินสามตัวกำลังคุยกันอย่างสนุกท่ามกลางความมืดที่พวกมันมองเห็น ก่อนที่อยู่ๆดาบเล่มหนึ่งจะพุ่งเสียบเข้าที่คอของหนึ่งในพวกมัน และไม่ทันที่พวกมันจะได้ตั้งตัว ลุคก็ได้วาร์ปมาฟันสองตัวที่เหลือจนลงไปนอนเลือดอาบกับพื้น

        “คงเหลืออีกเยอะ” พูดจบก็ตรงเข้าไปด้านในที่ลึกกว่าเดิมอีก ก่อนจะพบกับก็อบลินอีกหลายสิบตัวที่กำลังนอนหลับอยู่ และเมื่อสถานการณ์เป็นใจอย่างนี้เขาก็ไม่รอช้ารีบจัดการพวกมันทั้งหมดในทันที ด้วยความเงียบเชียบจนหมดทุกตัวตรงทางเดิน แม้ว่าจะมีบางตัวที่ตื่นขึ้นมาทันเพราะได้กลิ่นเลือด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ 

        หลังจากจัดการเสร็จก็เดินเข้าไปต่อจนไปถึงโถงใหญ่ที่จุก็อบลินเอาไว้ โดยดูคร่าวๆแล้วน่าจะมีประมาณ 30-40 ตัว พร้อมกับฮ็อบก็อบลินที่นอนอยู่ในสุด เมื่อเป็นอย่างนั้นลุคก็ไม่รอช้ารีบควบคุมดาบให้มันพุ่งเข้าเสียบที่บหัวใจของตัวบอสนทันที แต่ด้วยความบังเอิญหรืออะไรไม่รู้เจ้าฮ็อบก็อบลินดันหลบดาบของลุคได้อย่างฉิวเฉียด 

        ก๊าซซซ

        เสียงร้องของมันได้ปลุกก็อบลินทั้งหมดที่อยู่ในโถงขึ้นมา พอสถานการณ์เป็นอย่างนี้ลุคจึงล้วงมือเข้าไปหยิบบางอย่างจากกระเป่าคาดเอว ก่อนจะโยนไปตรงกลางโถงพร้อมกับคบเพลิงที่เพิ่งถูกจุด จนเกิดเป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่ส่องสว่าง ให้เห็นก็อบลินจำนวนมากที่กำลังกรูกันเข้ามา 

ดาบทั้งสองเล่มกลับเข้าหาเจ้าของเพื่อเตรียมตัวฟาดฟันกับก็อบลินจำนวนมาก และด้วยจำนวนที่มากกว่าลุคจึงวิ่งถอยออกมาพร้อมกับโจมตีกลับไปพลาง แต่ในจังหวะที่กำลังยุ่งกับก็อบลินตรงหน้า หอกยาวก็ได้ถูกปามาจากฮ็อบก็อบลิน ซึ่งเหมือนว่ายังโชคดีอยู่เพราะเจ้าตัวเผลอหลบได้อย่างฉิวเฉียด

        เวลาผ่านไปไม่นานลุคก็สามารถจัดการกับก็อบลินได้เกือบหมด แต่ก็ยังติดอยู่ที่ตัวหัวหน้าอย่างฮ็อบก็อบลิน เพราะเหมือนมันจะรู้ว่าเขาทำอะไรได้ จึงทำการกระโดดหลบไปมาไม่ให้ถูกจับตัวได้ แต่ยังไงสุดท้ายลุคก็ใช้ดาบบินที่เร็วกว่าตัดหัวมันได้สำเร็จ ก่อนจะเริ่มเก็บกวาดหลักฐานไปแลกเงิน

        “ดูท่าจะได้เยอะอยู่” 

        หลังจัดการทุกอย่างเสร็จก็ไม่รีรอที่จะไปอีกเส้นทาง แต่ก่อนจะไปก็ไม่ลืมเอากระเป๋าสะพายไปด้วย แต่พอมาถึงเขาก็ต้องตกใจทันทีกับภาพตรงหน้า เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นงูยักษ์ตามที่คาด ที่กำลังขดตัวนอนด้วยเกล็ดสีน้ำตาลพร้อมกับรอยจุดสีดำจางๆและเศษดินที่ติดอยู่ บ่งบอกว่ามันพัฒนาจนสามารถใช้เวทย์ดินได้แล้ว

        ‘ทำไมมันถึงไปโผล่ตรงนั้นวะ’ ที่จริงจะหนีก็ได้เพราะลุคก็ไม่อยากจะยุ่งกับมันสักเท่าไหร่ แต่พอมองดูดีๆข้างในนั้นมันดันมีแร่เยลโล่ควิสอยู่น่ะสิ แถมถ้าพลาดไปก็ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่ายๆอีก 

        ‘ลองเทคนิคนี้ละกัน’ 

        ตัดสินใจเสร็จก็เอาทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋าสะพายเพื่อเอาไว้ใส่แร่ ก่อนจะเริ่มใช้เวทย์ควบคุมส่งมานาเข้าไปที่เพดานถ้ำ และใช้การโหนตัวไปเรื่อยๆพร้อมกับหวังว่ามันจะไม่ตื่นขึ้นมาก่อน 

        คริสตัลมานานั้นคือหินที่ถูกมานาจากธรรมชาติแทรกซึมเข้าไปจนหินเหล่านั้นเริ่มเปลี่ยนแปลง และกลายสภาพเป็นคริสตัลสีฟ้าสว่าง ที่เมื่อถูกกระตุ้นอย่างถูกวิธีก็จะสามารถใช้มานาที่ถูกกักเก็บเอาไว้ได้ ส่วนถ้าเป็นพวกมอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ใกล้คริสตัลมานาเป็นเวลานาน ก็จะทำให้พวกมันกลายพันธุ์หรือจะเรียกวิวัฒนาการก็ไม่ผิด เพราะเมื่อมานาได้แทรกซึมเข้าไปในร่างนั้น ทุกส่วนในร่างกายจะพัฒนาขึ้นจากเก่า แถมบางตัวยังสามารถใช้เวทย์ธาตุเหมือนกับมนุษย์ได้

        หลังจากใช้เวลาพักหนึ่งก็ได้มาถึงที่หมาย ก่อนจะเริ่มทำการดึงแร่ที่ดูท่าจะดึงง่ายสุดออกมาก่อน ส่วนอันที่ชิ้นใหญ่หรือดูท่าจะเอาออกยากนั้นก็ใช้เวทย์ควบคุมแทนเพื่อไม่ให้มันเกิดเสียงดัง จนกระทั่งในขณะที่แร่ก้อนโตกำลังจะหลุดออกจากพื้นดินนั้น 

        “งานเข้าแล้วสิ” ลุครู้ได้ทันทีว่างูยักษ์ได้ตื่นขึ้นแล้ว ก่อนจะหันไปเห็นก้อนดินขนาดใหญ่สามก้อนที่กำลังรวมตัวกันและพุ่งตรงมาทางเขา

        ตู้ม ตู้ม ตู้ม

        เสียงดังเกิดขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจากการโจมตีที่ทำให้ฝุ่นภายในตลบไปด้วยฝุ่น ลุคที่หลบอย่างฉิวเฉียดได้หอบกระเป๋าและวิ่งตรงไปยังทางออกทันที โดยระหว่างทางก็พยายามหลบก้อนดินขนาดใหญ่ที่ยังกระหน่ำโจมตีอยู่ จนกระทั่งเมื่อฝุ่นเริ่มจะหนาเกิดไปที่จะคลำหาทางออกเจอ ลุคจึงต้องดึงตัวเองขึ้นไปอยู่บนเพดานและมองลงล่างว่าทางออกอยู่ไหนกันแน่ 

        ‘มองไม่เห็นเลย’ ลุคใช้เวลาอยู่สักพักแต่ก็ยังหาทางออกไม่เจอ เพราะอากาศที่ไม่ถ่ายเทจึงทำให้ฝุ่นยังคลุ้งเต็มไปหมด จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งฝุ่นก็ได้เริ่มบางตาและทางออกก็ปรากฏ 

        เมื่อเห็นแล้วก็ไม่รอช้าโหนตัวไปทางออกทันที แต่ในจังหวะที่กำลังจะไปถึงนั้นอยู่ๆก็ได้มีกำแพงดินขึ้นมาปิดทางออกเอาไว้ และก็ตามคาดลุคได้พุ่งชนกำแพงอย่างจังจนของที่อยู่ในกระเป๋าหล่นลงพื้น ซึ่งทุกอย่างกำลังจะแย่เพราะงูยักษ์กำลังเลื้อยตรงมาหา ลุคจึงตัดสินใจหยิบระเบิดแสงออกมาก่อนจะเขวี้ยงมันไป โดยกะจังหวะให้งูยักษ์มาถึงพอดี

        ตู้ม

        ระเบิดแสงทำงานได้อย่างเต็มที่จนงูยักษ์ตาบอดไปชั่วขณะ ส่วนลุคก็เก็บของเข้ากระเป๋าก่อนจะปาระเบิดจิ๋วใส่กำแพงจนเป็นรู และวิ่งหนีออกมาพร้อมกับของเต็มกระเป๋า

        ครืด

        “อย่าบอกนะว่ามันออกมาได้แล้ว” เสียงดังตามมาข้างหลัง โดยตอนนี้เจ้างูยักษ์นั้นได้เลื้อยตามออกมาได้ ซึ่งมันก็ได้ทุลักทุเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มตามลุคทัน

        ลุควิ่งเต็มกำลังก่อนจะออกจากถ้ำได้สำเร็จโดยที่มีงูยักษ์เลื้อยออกมาตามติดๆ แต่เมื่อมันออกมาแล้วนั้นดันไม่เจอกับลุคที่เพิ่งจะออกมา เพราะตอนนี้กำลังหลบอยู่หลังต้นไม้และหวังว่ามันจะมองไม่เห็น

        ตู้ม

        เสียงระเบิดได้ดังขึ้นบริเวณหน้าถ้ำขณะที่ลุคหลบอยู่ ก่อนที่จะแอบดูเล็กน้อยและพบว่ามีอะไรบางอย่างกำลังโจมตีงูอยู่ โดยอาวุธที่โจมตีส่วนใหญ่เป็นหอกและธนูจำนวนมาก ซึ่งบอกได้ว่าสิ่งที่โจมตีนั้นมีจำนวนเยอะพอสมควร และเหมือนว่าพวกนั้นจะรอให้เขาล่อมันออกมา

        การต่อสู้ของกลุ่มปริศนาและงูยักษ์ได้ดำเนินไปสักพักใหญ่ๆ เพราะว่าหอกและธนูทำอะไรงูยักษ์ไม่ได้สักเท่าไหร่  ก่อนที่สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ๆรากไม้ที่มาจากไหนไม่ทราบได้เริ่มเข้ารัดตัวของงูยักษ์ และเริ่มแทงทะลุผิวหนังจนมันได้ดิ้นทุรนทุรายก่อนจะตายลง 

        ‘น่าจะถึงเวลาต้องหนีแล้วสิ’ เมื่อเห็นจังหวะหนีก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งหนีออกจากตรงนั้นทันที แต่เหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ เมื่ออยู่ๆหอกก็ได้ถูกปามาดักหน้าเอาไว้ พร้อมกับการปรากฏตัวของเอลฟ์จำนวนมากที่เดินง้างธนูมา ซึ่งใครเห็นก็รู้ว่าต้องทำยังไง

        ‘ซวยจริงๆ’ และก็ตามสภาพเพราะไม่มีทางสู้ได้เลย ดังนั้นลุคจึงต้องเดินนำหน้าไปหาเอลฟ์อีกกลุ่มที่กำลังจัดการศพของงูยักษ์อยู่ โดยพอมาถึงก็ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่่า ก่อนที่เอลฟ์ชุดเกราะเงินที่ดูดีที่สุดจะยื่นอะไรบางอย่างมาให้

        ‘คงจะเป็นหัวหน้าสินะ’ ลุคยื่นมือทั้งสองไปรับสิ่งที่อีกฝ่ายจะให้ ซึ่งพอรับมาดูมันก็คือเขี้ยวงูที่มีขนาดใหญ่มากจำนวนสามซี่ โดยหลังจากนั้นก็ได้มีทหารนายหนึ่งมายืนตรงหน้าลุค พร้อมกับยื่นมือออกมาเหมือนจะทำการร่ายอะไรสักอย่าง

        “เดี๋ยว ข้าได้กลิ่นเอลฟ์จากมนุษย์คนนี้” อยู่ๆก็ได้มีเอลฟ์คนหนึ่งพูดขึ้น ซึ่งพอเป็นอย่างนั้นทหารที่ยืนรอบๆก็ทำการชักดาบ ก่อนจะจี้มาที่คอของลุคจนเขาต้องยกมือขึ้น

        “เดี๋ยวๆ ฉันอธิบายได้” ตอนนี้ดูท่าจะแย่ ถ้าไม่ยอมทำตามไปก่อนลุคคิดว่าคงจะรอดยาก

        “ทำการร่ายเวทย์พรางตา” เอลฟ์ในชุดเกราะที่ดีที่สุดสั่งการ ก่อนที่ทหารคนอื่นๆจะเริ่มร่ายเวทย์ที่เหมือนจะป้องกันการมองเห็นจากภายนอก

        “มัดมันไว้ และใช้เวทย์สะกดจิตเอาข้อมูลออกมา” 

         “เดี๋ยวๆไม่เอาสะกดจิต เดี๋ยว!” เหมือนจะไม่ทันการแล้วสิ เพราะนิ้วชี้ได้ถูกสัมผัสที่หน้าผากก่อนที่สติจะดับลง

 

        ‘ปวดหัว’ ลุคค่อยๆเริ่มมีสติก่อนที่จะมองไปรอบๆและเห็นเอลฟ์ในชุดเกราะจำนวนมากยืนล้อมอยู่

        “เจ้าต้องนำเด็กคนนั้นมาให้พวกเรา ภายในวันพรุ่งนี้ ไม่ยังงั้นพวกเราจะไปรับตัวคืนเอง” เอลฟ์หัวหน้าพูดก่อนที่ทั้งหมดจะค่อยๆเลือนลางไป

        “คิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่เหมือนจะเจองานยากแล้วสิ” ลุครู้ตัวได้ทันทีว่าเขาเจอปัญหาใหญ่แล้ว แถมภายในวันพรุ่งนี้อีก 

 

        “ขอดูบัตรประจำตัวด้วย” ทหารยามได้พูดกับชายตรงหน้าที่ถือกระเป๋าสัมภาระ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหยิบออกมาให้ดูทั้งสองใบ ซึ่งใบแรกเป็นบัตรประชาชนของเมืองกับบัตรนักผจญภัย โดยเมื่อตรวจเช็คแล้วนั้นก็ได้ปล่อยให้เข้าไป

        (บัตรประชาชนจะมีได้เพียงแค่จ่ายเงิน 5000 กูซ ซึ่งบัตรจะหมดอายุภายใน 5 ปี โดยถ้าใครมีบัตรการเข้าเมืองจะไม่เสียค่าผ่านทาง)

        “เดี๋ยว ขอตรวจสอบของในเป้ก่อน” เพื่อป้องกันเหตุก่อการร้ายหรือขนของผิดกฎหมาย

        ลุคที่รู้สึกรำคาญก็ได้วางกระเป๋าลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนจ้องเขม็งอีกฝ่ายในขณะที่ตรวจสอบ ซึ่งเมื่อทหารยามพบกับแร่ก็ได้สอบถามที่มาก่อนจะปล่อยไป และอีกสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าก็คือเขี้ยวงูขนาดใหญ่ บ่งบอกว่าคนตรงหน้าฝีมือไม่ธรรมดา ซึ่งที่จริงแล้วพวกเอลฟ์ต่างหากเป็นคนฆ่า 

        “ขอบใจมาก เชิญเข้าไปได้” 

        โดยที่จริงแล้วควรจะตรวจสอบมากกว่านี้เนื่องจากแร่ไม่ได้หากันง่ายๆ จึงถูกคิดว่าขโมยหรือฆ่าใครเพื่อเอามา แต่ด้วยหน้าตาของลุคที่คนใหญ่โตนั้นเรียกใช้งาน ถ้ามีปัญหาด้วยอาจจะซวยซะเอง ทหารชั้นผู้น้อยจึงไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง

        เมื่อหมดธุระจากประตูหน้าเมืองลุคก็ได้ตรงไปยังร้านอาหารเพื่อหาอะไรทานก่อนที่จะไปที่ต่อไป ซึ่งก็คือร้านของลาลัส โดยเป้าหมายก็คือเอลฟ์เด็กคนนั้น

        ก็อก ก็อก ก็อก

        เคาะประตูเสร็จก็ไม่รอใครบอกอนุญาต เพราะตอนนี้รอไม่ไหวหรอก

        “มีอะไรอีกล่ะถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น” ลาลัสนั่งทำตัวสบายๆอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับสูบซิก้า

        “ส่งเอลฟ์เด็กคนนั้นมา นี่เรื่องด่วน” ลุคเข้าประเด็นทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลา

        “ทำไมต้องให้ด้วยล่ะ เอลฟ์นั้นยังโตได้มากกว่านี้อีก คิดว่าอีกสักสามปีก็น่าจะได้ราคางามๆอีกมาก” ลาลัสคงยังทำตัวเป็นพ่อค้าเห็นแก่เงินอยู่เพราะไม่รู้ถึงสิ่งที่จะตามมา

        “พวกเอลฟ์ มันต้องการเด็กคนนั้นคืน ถ้าไม่อย่างนั้นพวกมันจะมาเอาคืนเอง” ลุคพูดอย่างจริงจังจนอีกฝ่ายสัมผัสได้

        “บ้าจริง ไอ้พวกขี้ขลาดนั้น คิดว่าคนอย่างข้าจะกลัวคำขู่มันหรอวะ” พูดจบเขาก็ได้สั่งให้ลูกน้องไปพาคนมาเพื่อเตรียมตัวอะไรบางอย่าง

        ตึง 

        ลูกน้องลาลัสเปิดประตูเข้าด้วยหน้าตาตื่น “เจ้านาย! เราถูกโจมตี” พูดจบก็ได้มีอะไรบางอย่างลอยกระแทกเข้าที่หลังหัวจนชายคนนั้นสลบลง ก่อนที่จะปรากฏเป็นเอลฟ์สาวที่ปิดหน้าช่วงล่างเอาไว้ พร้อมกับกระบองสั้นที่น่าจะทำจากเหล็ก

        ลาลัสเห็นอย่างนั้นก็ได้สั่งให้ลูกน้องทุกคนเข้าไปจัดการทันที แต่ผลที่ได้ก็คือชายตัวโตทั้ง 4 คนถูกซัดจนสลบอย่างรวดเร็ว จนตอนนนี้เหลือแค่ลุคกับลาลัสที่เผชิญหน้ากับเอลฟ์สาว

        “จัดการมันสิวะ ยืนทำบื้ออะไร” ลาลัสที่อารมณ์เสียสั่งให้ลุคไปจัดการ

        “อย่าโง่หน่อยเลย เอาเด็กคืนไปก็จบ ถึงสู้ไปก็เจ็บตัวเปล่าๆ” ลุคนั้นต้องรักษาตัวไว้อย่างดีเพราะเขามีงานที่ยังต้องทำอีก เขาจึงไม่อยากบาดเจ็บกับอะไรที่ไม่จำเป็น

        “ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง” พูดจบลาลัสก็หยิบแส้ที่แขวนอยู่ข้างๆเก้าอี้และฟาดไปยังเอลฟ์สาว แต่ผลลัพธ์คือเธอจับมันเอาไว้ได้ ก่อนจะปากระบองเหล็กใส่หน้าผากลาลัสจนเขาสลบไป

        “เดี๋ยว ฉันไม่รู้เรื่องด้วย”

        เอลฟ์สาวหันไปมองประตูห้องที่ปิดอยู่ก่อนจะไล่เปิดทีละบาน จนท้ายที่สุดเธอก็เจอเด็กคนนั้นที่เหมือนจะถูกล่ามโซ่ที่ขาเอาไว้ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักเท่าไหร่เพราะเพียงแค่ใช้กระบอกเหล็กทุบแรงๆเพียงครั้งเดียวโซ่ก็ขาดออกจากกัน

        ‘แรงบ้าอะไรกัน’ ลุคที่แอบดูถึงกับตกตะลึงกับแรงมหาศาลที่ขัดแย้งกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ

        หลังจากเอาเด็กออกมาได้เธอก็ได้เดินออกจากห้องไป โดยที่เมื่อลุควิ่งไล่ตามไปดูก็ไม่ทันแล้ว เพราะอีกฝ่ายได้หายตัวไปแล้ว

        “รอดตัวอีกแล้วเรา แล้วจะเอายังไงกับพวกนี้ดี” เขามองไปยังทุกคนที่นอนเต็มพื้นไปหมด ก่อนจะเริ่มยกคนนู้นคนนี้ไปพิงกำแพง โดยระหว่างทำก็คิดอะไรไปด้วยอย่างเช่น ถ้าจะให้เขาสู้กับเอลฟ์สาวเมื่อครู่ เขาก็คงจะพอสู้ได้แบบที่ชนะขาดลอย แต่ถ้าคิดดูดีๆแล้วอีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้เวทย์อะไรสักบทเลยด้วยซ้ำ แถมดูจากทักษะการต่อสู้เธอคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นการตัดสินใจที่จะไม่สู้ก็คงเป็นทางเลือกที่ถูกแต่แรก

        “ฝันดีละกัน” ลุคเดินออกจากห้องไปหลังจัดการท่านอนให้ทุกคนเสร็จ ก่อนจะพบว่าข้างนอกก็เละพอๆกัน แต่คงต้องเดินผ่านไปเพราะเขาขี้เกียจเกินจะจัดท่าให้ แถมยังมีอีกที่ที่ต้องไป

 

        ก็อก ก็อก ก็อก 

        ลุคเคาะประตูก่อนจะชะโงกมองหน้าต่างที่เปิดไฟอยู่ ซึ่งใช้เวลาไม่นานคนที่อยู่ในบ้านก็ได้เดินมาเปิดประตูพร้อมกับชุดนอนและแว่นตา

        “อ้าว ลุค มีอะไรหรอ” คนที่มาเปิดประตูนั้นก็คือเกรซ ซึ่งดูเหมือนพึ่งจะอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน

        “อยากจะให้ดูของให้หน่อย” ก่อนที่อีกฝ่ายจะเชิญเข้ามาในบ้าน โดยไม่ลืมที่จะปัดฝุ่นตามตัวทิ้งไปก่อน

        บ้านของเกรซนั้นอยู่ในโซนที่พักอาศัยซึ่งส่วนมากนั้นจะเป็นตึกสามชั้นเพื่อประหยัดพื้นที่ และด้วยจำนวนทหารกับการพัฒนาของเทคโนโลยี ก็ทำให้แถวๆนี้ปลอดภัยจากการจี้ปล้นซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการความสงบ แต่ทางด้านเกรซนั้นบ้านจะเป็นบ้านเก่าชั้นเดียว โดยอยู่ลึกที่สุดของโซนเพราะแถบนี้ราคาถูก เนื่องจากความเจริญต่ำแต่แลกมากับความเป็นส่วนตัวสูง 

        เมื่อเข้ามาในห้อง ลุคก็ได้เดินไปนั้งเก้าอี้ที่อยู่แถวๆหน้าต่าง ก่อนจะค้นของในกระเป๋าและหยิบเขี้ยวงูโยนให้เกรซที่นั่งเล่นบนเตียง

        “นี้มันงูพันธ์ุอะไรเนี่ย ทำไมเขี้ยวมันใหญ่จัง” เกรซได้พลิกไปพลิกมาเพื่อสังเกตรายละเอียด

        “ไม่รู้สิ ตัวมันออกสีน้ำตาลอ่อนๆ มีลายเป็นจุดสีดำจางๆ” ลุคอธิบายลักษณะของงูไปพร้อมกับหยิบจับอะไรในห้องเล่น

        “น่าจะรู้แล้วแหละ ขอเปิดหนังสือก่อน” เกรซเอี้ยวตัวไปหยิบหนังสือที่ตู้ข้างเตียง

        “ขอเข้าห้องน้ำหน่อยละกัน” 

        ลุคใช้เวลาไม่นานในการทำธุระส่วนตัวเสร็จ และพอดีที่เกรซหาข้อมูลเจอพอดี ซึ่งก็ได้มาว่างูตัวนั้นมีชื่อว่าแซนไฮล์ เป็นจำพวกงูมีพิษที่ไม่รุนแรงเมื่อโดนกัดจะทำให้เป็นอัมพาตระยะหนึ่ง โดยมันมักจะชอบดักซุ้มโจมตีเหยื่อโดนการพรางตัวบนพื้นหรือใต้ผืนทราย  

        ‘ดูท่าจะเอาไปทำอาวุธได้อยู่ แต่ราคาดูจะไม่แรงเท่าไหร่ เอาไปขายเลยดีไหม’ เจ้าตัวครุ่นคิดเกี่ยวกับเขี้ยวงูที่มีอยู่ เพราะใจหนึ่งก็คิดว่าทำเป็นอาวุธขายเองก็ได้กำไรเยอะอยู่พอสมควร แต่มันจะทำให้เสียงานหลักที่ต้องทำ

        “แล้วนายได้มันมาจากไหน”

        พอโดนถามตอนแรกลุคก็ไม่อยากจะเล่าสักเท่าไหร่เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็เล่าออกไปเพราะอยากได้ความคิดเห็น

        “เรื่องจริงเหรอเนี่ย นายต้องโกหกแน่ๆ จะบอกว่าเอลฟ์ที่ไม่ปรากฏตัวหลายร้อยปีช่วยนายเอาไว้ ไม่สิต้องเรียกว่าพวกนั้นใช้นายเป็นตัวล่อ แถมยังแบ่งเขี้ยวให้อีก น่าจะไปแต่งเรื่องที่มันดีกว่านี้หน่อยนะ” 

        “ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอต้องไม่เชื่อ แต่จะบอกว่าฉันสามารถจัดการสัตว์กลายพันธ์ที่ใช้เวทย์ดินด้วยตัวคนเดียวได้หรอ นั้นยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่” ลุคยกความจริงขึ้นเถียงจนเกรซเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด

        “มันก็จริงนั้นแหละ ถึงนายจะเก่งแค่ไหน แต่เจอตัวแบบนั้นพวกแรงค์สูงยังหืดขึ้นคอกันเลย แถมนายไม่ค่อยได้ออกไปล่ามอนสเตอร์ด้วย ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อจริงๆสินะ” 

        “ใช่แล้ว อย่างไอ้หมอนี่มันอ่อนซะขนาดนั้น จัดการเองคนเดียวได้คงต้องเรียกว่าพระเจ้าช่วยก็ได้มั้ง” เสียงใครบางคนดังขึ้นภายในห้อง ก่อนที่สีหน้าของลุคจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เบื่อหน่าย

        “ขอตัวกลับบ้านละกัน” ดูเหมือนลุคจะรู้ว่าเป็นเสียงของใคร และเขาก็ตั้งใจจะหลีกเลี่ยงการเจอหน้าทันที

        “ไปไหนไอ้หนู จะหนีข้าคนนี้หรอ” 

        ตรงกลางห้องที่ว่างเปล่าได้มีเปลวไฟก่อตัวขึ้นมา ก่อนที่มันจะระเบิดและเริ่มจับตัวเป็นรูปร่างชายสวมเกราะที่มีแต่ส่วนบนพร้อมไฟลุกโชนทั่วร่าง โดยสิ่งที่ปรากฏออกมานั้นคือสปิริตของเกรซ โดยไม่กี่เดือนก่อนสปิริตตนนี้ได้รับการเพิ่มระดับความสามารถ โดยมันขึ้นอยู่ที่สปิริตว่าต้องการไหม ซึ่งการจะทำอย่างนั้นต้องทำการจำศีลเสียก่อน เพื่อรวบรวมมานาจากธรรมชาติก่อนจะขยับความสามารถของตนเองขึ้นไปอีกขั้น แต่การทำอย่างนั้นต้องแลกกับความเสี่ยงที่ผู้ทำสัญญาจะเป็นอันตราย เพราะถ้าคนทำสัญญาตายสปิริตก็ตายตามไปด้วย

        “ฉันก็บอกนายแล้วว่าอย่าออกมา” เกรซดุอาร์มันโดสปิริตของตัวเองที่ไม่ฟังเธอขอ

        สปิริตตนนี้มีชื่อว่าอาร์มันโด โดยมีสถานะเป็นวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากสปิริตหลายร้อยตัว เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วสปิริตจะต้องมีกายหยาบ เพราะสปิริตนั้นคือดวงวิญญาณของคนตายที่ยังคงยึดติดกับโลกคนเป็น และการจะทำอะไรหรือติดต่ออะไรได้นั้นจะต้องอาศัยร่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ร่างเป็นสัตว์ซะส่วนมาก เพราะดวงวิญญาณมนุษย์มีพลังงานมากกว่าดวงวิญญาณสัตว์ เพียงทำการเข้ายึดร่างสัตว์ที่กำลังใกล้ตายก็จะได้ร่างกายหยาบอีกครั้งและได้รับพลังเวทย์จำพวกธาตุมาใช้ได้อีก โดยขึ้นอยู่กับสัตว์ตัวนั้นมีธาตุในตัวเป็นธาตุอะไร ส่วนของอาร์มันโดนั้นเป็นสิ่งพิเศษที่หาได้ยากที่แม้เแต่หล่าจอมเวทย์ช่วยกันศึกษา แต่ก็ไม่สามารถสรุปที่มาของสปิริตสถานะวิญญาณได้ว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่มีสมมุติฐานว่าพวกเขานั้นมีพลังวิญญาณมากกว่ามนุษย์ทั่วไป จึงสามารถสร้างกายหยาบที่จับต้องไม่ได้และจับได้ในเวลาเดียวกัน

        “พอดีข้าเบื่อที่จะต้องทนฟัง พวกอ่อนด้อยประสบการณ์มาพูดพล่ามอะไรเรื่อยเปื่อย” 

        “พอดีก็ขี้เกียจพูดกับพวกหลงๆลืมๆเหมือนกัน” ลุคปิดประตูเสียงดังก่อนจะเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดีเพราะได้จี้จุดอาร์มันโด

        “ไม่เป็นอะไรนะ” 

        สปิริตทุกตัวนั้นจะหลงลืมความทรงจำตอนเป็นมนุษย์หลังจากที่ได้ร่าง รวมถึงอาร์มันโดด้วยแม้จะเป็นสถานะวิญญาณ นั้นจึงเป็นจุดที่เรียกว่าน่าสงสารที่สุดเพราะแม้ว่าส่วนลึกของจิตใจจะสัมผัสได้ว่าต้องการอะไร แต่มันกลับเลือนลางเสียจนไม่สามารถประติดประต่อ และจะต้องทนกับความรู้สึกค้างคาใจจนกว่าสปิริตตนนั้นจะหายไป ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ามันคือบทลงโทษของผู้ฝ่าฝืนความเป็นจริงของโลก ที่ว่าคนเป็นกับคนตายอยู่ด้วยกันไม่ได้

        “ไม่เป็นอะไรหรอกคุณหนู นอนเถอะ” อาร์มันโดแม้จะหลงลืมความปรารถนา แต่เขานั้นก็พอใจกับสิ่งที่เลือกในตอนนี้ เพราะการได้อยู่กับเกรซนั้นได้เติมเต็มความรู้สึกที่ได้ขาดหายไป

 

        ณ ถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมือง 

        เหล่าก็อบลินและออร์คจำนวนมากที่มากระจุกตัวกันอยู่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยด้านในสุดได้มีบัลลังก์พร้อมกับออร์คที่มีสีผิวสีแดงสด ก่อนที่มันจะตะโกนออกคำสั่งให้เตรียมตัวจัดทัพ เพื่อบุกไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดอย่างเมืองซันเดิล

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.