chapter 4 พักผ่อน
ย้อนกลับไปหลังจากที่ลุคได้ออกจากกิลค์
ลูเทียร์ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ดมแอลกอฮอลล์เข้าไป ได้มีอาการมึนหัวเล็กน้อยจากการโดนกระแทก แต่เมื่อที่ตั้งสติได้เธอก็หันไปมองหาทั้งอีฟและลอยด์แทบจะทันที ก่อนจะพบแค่ลอยด์ที่นอนอยู่ส่วนอีฟนั้นก็นั่งพักอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งในจังหวะนั้นเองเกรซก็ได้พุ่งตัวเข้ามาถามอาการ พร้อมกับขณะเดียวกันก็เห็นลุคที่กำลังเดินออกจากกิลด์ไป
“ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ ” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังมีเลือดไหลจากแผลที่หัวอยู่
ลูเทียร์พยายามลุกขึ้นก่อนจะตรงไปถามอีฟว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งอีฟก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าลอยด์นั้นโดนกระบองหินฟาดเข้ากลางหลัง แต่ยังโชคดีที่มีโล่กันเอาไว้อาการบาดเจ็บจึงไม่รุนแรงมาก ลูเทียร์ที่ได้ทราบเรื่องทั้งหมดจึงได้รีบเข้าไปใช้เวทย์รักษาในทันที เพราะเธอคิดว่าอาจจะมีอาการบาดเจ็บภายในอยู่บ้าง
1 ชั่วโมงผ่านไป
“น่าจะไม่มีอาการบาดเจ็บแล้วล่ะ เหลือแค่พักผ่อนซักสองวันน่าจะเป็นปรกติดี” ลูเทียร์ที่ใช้มานาไปเยอะก็เหมือนมีอาการหน้ามืด รวมกับแผลที่หัวที่รักษายังไม่หายสนิทก็รีบไปรักษาลอยด์ จึงทำให้ในเวลาต่อมาเจ้าตัวจะสลบไป
เกรซที่เห็นลูเทียร์กำลังล้มลงก็ได้เข้าไปรับตัวก่อนจะเรียกให้คนอื่นมาพาพักผ่อน ส่วนอีฟที่เห็นลอยด์ค่อยๆลืมตาก็ได้ดีใจจนเธอเผลอเข้าไปกอด
“โอ้ย!” ลอยด์ร้องออกมาหลังจากที่อีฟพุ่งเข้าไปกอด ส่วนอีฟที่ตกใจเสียงร้องของลอยด์ก็ได้ดันตัวเองออก “เป็นอะไรมากรึเปล่า หรือมีแผลตรงอื่นอีก”
“เจ็บหลัง” การรักษาแค่ทำการทำให้แผลสมานตัว แต่ก็ยังมีอาการหลงเหลืออยู่จึงทำให้ต้องพักรักษา ก่อนที่ลอยด์จะขอให้อีฟพาตัวเองไปนั่งที่โต๊ะ และถามเกี่ยวกับลูเทียร์เพราะไม่เห็นว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
“พี่เขาพักอยู่ในห้องน่ะ หลังจากที่ใช้เวทย์รักษานาย วันหลังเดี่ยวค่อยมาเยี่ยมละกัน วันนี้ให้พี่เขาพักผ่อนไปก่อน”
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว ทั้งคู่จึงได้ไปคุยกับเกรซที่เพิ่งจะออกจากห้องของลูเทียร์ โดยเรื่องก็เกี่ยวกับรางวัลภารกิจ และเมื่อได้เงินมาแล้วเด็กทั้งสองคนก็ได้ขอตัวลาไปพักผ่อน พร้อมกับฝากขอบคุณลูเทียร์และบอกอีกว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะมาเยี่ยม
เช้าวันต่อมา
ลูเทียร์หลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มตั้งแต่เป็นลมไปจนถึงเช้าวันถัดไป แม้ว่าจะพักผ่อนเต็มที่แต่ดูเหมือนว่าผลของเวทย์ปลดขีดจำกัดจะทำให้ปวดเมื่อยร่างกาย และแผลที่ศรีษะก็ปวดอยู่นิดหน่อยเพราะโดนกระแทกอย่างแรง ถึงแม้แผลจะหายดีก็ตาม
เมื่อออกมาจากห้องเธอก็ตรงไปหาเกรซทันที พร้อมกับถามอาการของเด็กสองคนนั้น ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่าทั้งคู่ไม่เป็นอะไรมาก และเมื่อสบายใจแล้วเจ้าตัวก็คิดว่าจะออกไปหาอะไรทานสักอย่าง เพราะตั้งแต่กลับมาเมื่อวานก็ไม่ได้ทานอะไรเลย
“ก่อนจะไปเอานี่ไปก่อน” เกรซมอบเงินรางวัลของภารกิจเมื่อวานให้ พร้อมกับแนะนำให้พักสักวันหนึ่ง
“ขอบคุณมากค่ะ”
นี่ก็เป็นช่วงสายของวันแล้ว อากาศอุ่นขึ้นมากพอสมควรจึงไม่ต้องสวมเสื้อกันหนาว ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็มีลูกค้ามากมายตามความอร่อย โดยลูเทียร์เธอนั้นคิดจะทานอะไรที่เป็นเนื้อสักหน่อยเพราะหิวมากๆ ก่อนจะจบที่ร้านสเต็กท่ามกลางสายลมเย็น ซึ่งก็รอคิวไม่นานก็ได้เข้าร้านมา
“อาหารมาเสิร์ฟแล้วครับ”
ลูเทียร์สั่งไปทั้งหมดสองจานเพราะรู้สึกยังไม่อิ่ม ก่อนที่จะจ่ายเงินและออกไปซื้อเนื้อย่างข้างทางอีก แล้วมานั่งทานที่ม้านั่งตรงน้ำพลุกลางเมือง
ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปมาอย่างคับคั่ง ก่อนที่อยู่ๆจะมีชายแก่คนหนึ่งมานั่งข้างเธอและดื่มกาแฟร้อนอย่างสบายใจ ทั้งคู่นั่งเงียบกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ชายแก่จะเอ่ยคำทักทายขึ้น
“เมื่อวานได้ข่าวมาว่าโดนเล่นงานมาหรอ” เขาพูดขึ้นก่อนจะดื่มกาแฟอย่างสบายใจ
“พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรอคะ” ลูเทียร์แปลกใจที่อยู่ๆใครก็ไม่รู้มาถาม
“ความจำสั้นจัง” ชายแก่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นอลันเพื่อนของลุค
หลังจากเปลี่ยนกลับเป็นร่างปรกติลูเทียร์ถึงจะเพิ่งนึกออก โดยหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งอลันชวนไปเดินเล่นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพักผ่อนอยู่ แต่ก่อนจะไปเขาก็ได้ขอไปหาอะไรทานก่อนซะก่อน เพราะตั้งแต่เช้าก็เพิ่งจะออกจากร้านมาเอง
เขาเดินนำเข้าไปในตลาดพร้อมกับแนะนำร้านต่างๆ จนกระทั่งมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวที่อลันแนะนำเลยว่าให้ลองทานสักครั้งจะติดใจ ซึ่งเมื่อเข้าไปด้านในพ่อค้าก็ได้ทักทายเขาอย่างคุ้นเคยและลงมือทำเมนูให้ เวลาต่อมาอาหารก็ได้มาเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงมากมายตามความต้องการ ส่วนลูเทียร์ที่ทานอะไรมาจนอิ่มแล้วก็ได้แต่นั่งรอพร้อมกับนั่งมองอะไรไปเรื่อย
“ขอถามหน่อยสิ ทำไมเจ้าของร้านถึงสีผิวอย่างนั้นหรอ” เธอเกิดสงสัยเพราะเจ้าของร้านมีสีผิวแทนและเส้นผมสีขาว ซึ่งแตกต่างจากคนอื่น
“ไม่รู้จักพวกมงกะหรอ” ก่อนที่อลันจะอธิบายอย่างคร่าวๆให้ลูเทียร์ฟัง
เริ่มจากแผ่นดินที่ทั้งคู่กำลังอาศัยอยู่นั้นถูกเรียกว่า คาร์น ซึ่งเป็นผืนแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดบนทวีปนี้ ภายนอกแผ่นดินนี้ก็ได้มีหมู่เกาะมากมายที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนเผ่ามงกะ โดยส่วนใหญ่คนชนเผ่านี้จะไม่ค่อยยุ่งกับคนแผ่นดินใหญ่สักเท่าไหร่ เนื่องจากตามความเชื่อของพวกเขาคนนอกคือตัวหายนะ ที่จะนำพาสิ่งชั่วร้ายมาทำลายพวกเขาให้สูญสิ้น
แต่ด้วยช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านไป ทั้งสองกลุ่มก็ได้ค่อยๆเป็นพันธมิตรมากขึ้นเพราะยังไงก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ดี แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่ยังไม่ยอมรับและได้ออกจากเผ่าไปตั้งรกร้างบนเกาะอื่น แต่ถึงยังงั้นก็ยังถูกเรียกรวมกันว่าคือมงกะอยู่ดี โดยลักษณะเด่นของพวกเขานั้นคือสีผิวที่เป็นสีแทนจากการออกหาปลา หรือไม่ก็ทำงานที่ใช้ร่างกายตากแดดตากฝนจนกลายเป็นสีผิวประจำเผ่า และเส้นผมสีขาวที่ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนบนแผ่นดินก็คงมาจากร่างกาย ที่มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่ามาก
“แต่ที่แปลกคือพวกเขาไม่ใช้เวทมนตร์กันน่ะสิ แถมบางส่วนยังไม่ยอมขึ้นแผ่นดินใหญ่อีก” อลันพูดไปพร้อมสั่งอาหารเพิ่ม
“ทำไมล่ะ”
“ความเชื่อมั้ง ถามใครก็ตอบว่าที่แผ่นดินใหญ่มีสิ่งที่น่ากลัวอาศัยอยู่ ไร้สาระทั้งนั้น” พูดจบก๋วยเตี๋ยวอีกชามก็มาถึงพอดี
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเดินเล่นผ่านสวนดอกไม้ที่อยู่อีกฝั่งเมืองกับเขตนักประดิษฐ์ ซึ่งสวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองที่อยากจะสร้างให้ภรรยาทั้งสองคนของเขา ภายในนี้มีส่วนที่ห้ามเข้าเพราะเป็นเขตของภรรยาทั้งคู่ หลังจากเดินเล่นได้ครึ่งชั่วโมงทั้งสองก็ไปที่ต่อไป ซึ่งก็คือโรงฝึกที่ลูเทียร์เธออยากจะเห็นหลังจากได้ยินอลันพูดขึ้น
พอมาถึงเจ้าตัวก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปสำรวจว่าภายในมีอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตามคาดที่เธอได้คิดไว้ว่ามันต้องมีสนามฝึก กองดาบไม้เอาไว้ฝึกต่อสู้ ห้องฝึกเวทย์ที่สามารถจ่ายเงินเพื่อเลือกอาจารย์ให้มาสอนเวทย์ได้ และสิ่งที่น่าดึงดูดก็คงเป็นโรงยิมที่แปลกตา เพราะของเมืองอื่นจะเป็นพวกเหล็กหนักๆที่เอาไว้ยกเล่นกัน แต่ที่นี่เป็นเครื่องจักรซึ่งน่าจะเป็นพวกนักประดิษฐ์ที่อยากเอาของมาลอง
“เป็นยังไงบ้าง” อลันได้เดินเข้ามายืนข้างๆ พร้อมกับดาบไม้ในมือ
“เป็นโรงฝึกที่กำลังตามหาอยู่เลย” เธอพูดไปพร้อมกับมองไปรอบๆสนามด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ขนาดนั้นเลยหรอ?” อลันทำสีหน้าแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะชอบอะไรแนวนี้
พอได้คำตอบอย่างนั้นอลันจึงชวนให้มาลองสู้กัน ซึ่งก็เหมือนว่าทั้งคู่จะฝีมือพอๆกัน หรือไม่ก็เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้ใช้เวทย์ก็ไม่ทราบ และการฝึกต่อสู้ก็ได้ล่วงเลยไปหลายยกจนกระทั่งลูเทียร์ก็ได้บอกว่าอยากลองไปที่อื่นดู ซึ่งอลันก็เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะเพิ่งจะกินอะไรอิ่มๆมา พอออกกำลังก็เลยจุกนิดหน่อยจึงคิดว่าออกไปเดินเล่นน่าจะดีกว่า และสถานที่ต่อไปก็คือโบสถ์
โบสถ์ตรงหน้ามีขนาดใหญ่มาก สีกำแพงนั้นถูกทาด้วยสีขาวนวลพร้อมตกแต่งด้วยกระจกหลากสีสัน บรรยากาศที่ได้สัมผัสจากภายนอกให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ เสมือนกับราวได้อยู่หน้าทางเข้าประตูสวรรค์ ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเข้าไปด้านใน ซึ่งสิ่งแรกที่เห็นก็คือเก้าอี้ยาวหลายสิบตัวที่วางเรียงยาวทอด โดยมีนักบวชหญิงหลายคนกำลังนั่งสวดอะไรกันอยู่ พร้อมกับรูปปั้นเทพธิดาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านในสุด ซึ่งในจังหวะที่ลูเทียร์กำลังเดินชมรอบๆอยู่นั้น ก็ได้มีนักบวชหญิงคนหนึ่งเดินมาหา
“พวกลูกๆมีอะไรให้ช่วยรึเปล่าจ๊ะ” นักบวชหญิงที่ดูมีอายุได้พูดพร้อมกับส่งรอยยิ้ม
“ไม่มีค่ะ พอดีอยากจะชมโบสถ์ซักหน่อย”
“เป็นอย่างนั้นเองหรอ งั้นแม่ไม่ขอรบกวนเวลา” นักบวชหญิงได้เดินกลับไปนั่งสวดมนตร์ต่อกับท่านอื่นๆ
หลังจากได้อยู่ตามลำพังทั้งสองก็ได้เดินชมเล่นกันอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งใจไปสถานที่ถัดไป แต่ในจังหวะที่กำลังจะได้ออกจากโบสถ์ อยู่ๆก็ได้มีชายมอมแมมวิ่งเข้ามาด้านในและตรงไปหานักบวชหญิง ทั้งสองคนได้ยืนดูเผื่อจะเกิดเหตุอะไรขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากชายคนนั้นเข้ามาขอขนมปัง ก่อนที่เขาจะเดินไปกราบไหว้รูปปั้นเทพธิดาและวิ่งออกไปด้านนอก
ทั้งคู่ยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นจังหวะที่อลันได้แนะนำสถานที่ต่อไปให้ลูเทียร์ นั้นก็คือสมาคมนักประดิษฐ์
“เอาล่ะ สถานที่นี้ก็คือสมาคมนักประดิษฐ์ สถานที่ที่น่าจะเป็นที่ที่มีความทันสมัยที่สุด” เจ้าตัวพูดไปพร้อมกับทำตัวเป็นมัคคุเทศน์ โดยการพาเดินไปยังห้องต่างๆ
ก็น่าจะสมคำกล่าวของอลัน เพราะมันเป็นอาคารสามชั้นที่ทันสมัยแบบที่ลูเทียร์แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งภายในก็แบ่งเป็นหลายห้องเอาไว้ใช้ตามจุดประสงค์
“ชิ แค่จะเดินเข้าไปดูก็ไม่ได้ หวงจริงๆ” อลันได้พูดออกมาอย่างหัวเสียเพราะห้องที่จะเข้าไปต้องมีบัตรผ่าน ก่อนที่เจ้าตัวจะพาเดินไปดูที่ห้องอื่นๆแทน
พอออกมาจากอาคารสมาคมทั้งสองก็ได้ไปยังหอคอยเทเลพอร์ต โดยหอคอยนี้จะมีทั้งหมด 2 ชั้นซึ่งแต่ละชั้นจะสามารถจุคนได้ประมาณ 20 คน และภายในแต่ละชั้นก็จะมีนักเวทย์ที่ควบคุมการร่ายเวทย์เทเลพอร์ต ที่จะทำการส่งคนไปยังหอคอยในเมืองต่างๆ โดยยิ่งเมื่อมีคนเยอะก็จะทำให้ต้องใช้มานาเยอะตาม แถมด้วยเวทย์นี้นั้นต้องใช้มานาเยอะกว่าเวทย์ปกติทั่วไป จึงมีคนไม่มากนักที่สามารถมาทำหน้าที่นี้ได้
หลังจากเดินดูรอบๆทั้งด้านในและด้านนอกหอคอยแล้ว ที่ต่อไปที่อลันจะพาไปนั้นก็คืออาคารไปรษณีย์ของเมือง โดยในขณะที่กำลังเดินอยู่ทั้งสองก็ได้เจอกับลุคที่กำลังเดินออกจากเมือง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไปทักทายอะไรเพราะดูจากสีหน้าแล้วน่าจะกำลังยุ่งพอตัว ดังนั้นเดินทางต่อไปน่าจะดีกว่า
ตึกตรงหน้าพร้อมกับป้ายใหญ่ที่อยู่เหนือประตูทางเข้าเขียนว่า ไปรษณีย์ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปและพบว่าพนักงานสวมหมวกมากมายที่กำลังทำงานกันอย่างรีบเร่ง ก่อนที่พนักงานคนหนึ่งจะใช้เวทย์ลอยตัวบินผ่านหน้าพวกเขาไป เพื่อไปส่งพัสดุและจดหมายสำคัญ
ออกจากตึกไปรษณีย์ทั้งสองก็ได้กลับไปที่ตลาดอีกครั้งเพื่อนั่งพักให้หายเหนื่อย พร้อมกับคุยสัพเพเหระไปทั่วจนตอนนี้ก็น่าจะประมาณบ่ายสองโมงได้
“นี่ ช่วยพาไปอีกซักที่หน่อยสิ” ลูเทียร์พูดขึ้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังนอนพักสายตา ซึ่งอลันก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะตัวเองเป็นคนชวน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตรงไปยังกิลด์
“พี่เกรซ พอจะทราบที่อยู่ของอีฟกับลอยด์รึเปล่าคะ” ลูเทียร์ที่เพิ่งมาถึงกิลด์ไม่รอช้าตรงไปหาเกรซในทันที
เกรซได้บอกสถานที่ไปแต่ก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะไปถูกรึเปล่า แต่สุดท้ายก็หายห่วงเมื่ออลันเป็นคนบอกว่าจะพาไปเอง ซึ่งเธอก็ตกใจพอสมควรว่าทั้งคู่รู้จักกันได้ยังไง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเสนอตัวเล่าเรื่องอย่างกระชับฉับไวและลากตัวลูเทียร์ออกไป
“ไม่ต้องห่วง! อยู่กับผมสบายใจได้” เอาจริงๆเกรซห่วงอลันมากกว่าลูเทียร์ซะอีก
ทั้งสองใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ได้มาถึงโรงแรมที่น่าจะราคาไม่แพงมาก ก่อนที่ลูเทียร์จะเป็นคนเดินไปเคาะประตูห้องที่เด็กทั้งสองคนอยู่ ซึ่งรอไม่นานก็ได้มีคนมาเปิดประตูและก็เป็นอีฟที่ดูท่ากำลังเช็ดอาวุธอยู่ เพราะเจ้าตัวได้ถือมีดสั้นติดตัวมาด้วย แถมตอนนี้ก็กำลังสวมแค่เสื้อตัวใหญ่และกางเกงขาสั้น
“พอดีพี่ถือวิสาสะถามที่อยู่กับพี่เกรซน่ะ ว่าจะมาดูว่าลอยด์อาการเป็นยังไงบ้าง” ลูเทียร์รีบเปิดประโยคทักทายกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด เพราะการที่ใครรู้ที่อยู่ของใครสักคนนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมากในเมืองนี้ เนื่องจากมีคนหายตัวไปทุกวันแถมยังมีพวกอันธพาลเต็มเมืองไปหมด การระวังตัวเอาไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
“อ่อ ลอยด์หรอคะ เหมือนว่าน่าจะหายดีแล้วนะคะ ตอนนี้ก็น่าจะออกกำลังกายอยู่ค่ะ” พูดเสร็จก็ตะโกนเข้าไปในห้องเพื่อเรียกลอยด์ให้ออกมาหาหน่อย
“คนนี้ชื่ออลันน่ะ เป็นเพื่อนพี่เอง” ลูเทียร์แนะนำอลันให้อีฟรู้จัก เพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด
ครู่ต่อมาลอยด์ก็ได้เดินออกมาพร้อมกับทักทายพวกเขา ซึ่งเมื่อลูเทียร์เจอหน้าเธอก็ได้ถามไถ่อาการว่ามีอาการบาดเจ็บตรงไหนอีกรึเปล่า ทางด้านเด็กหนุ่มก็บอกไปว่าร่างกายปกติดีไม่มีอาการบาดเจ็บหลงเหลือ ก่อนที่หัวข้อคุยจะเปลี่ยนไปเรื่องที่เธอบาดเจ็บและทำให้สถานการณ์แย่ลง
“เรื่องนั้นไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เรื่องแบบนั้นใครก็ไม่อยากให้เกิด เอาจริงๆแล้วพวกเราก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ซักเท่าไหร่ด้วย ถ้าไม่ได้พี่ที่สร้างแผลใหญ่ไว้ให้พวกเราคงไม่รอด พวกเราต้องขอบคุณจริงๆค่ะ” อีฟตอบลูเทียร์
“แล้วเรื่องที่มีคนมาช่วยอีกด้วยใช่ป่ะ” ลอยด์พูดแทรก
“ใช่ๆๆ พอดีมีคนมาช่วยพวกเราไว้น่ะค่ะ”
ก่อนที่อีฟจะเริ่มเล่าเรื่องว่าเป็นมายังไง และสุดท้ายลูเทียร์ก็เหมือนจะนึกได้ว่าเกรซบอกว่าจัดการเรื่องออร์คให้ ซึ่งก็น่าจะเป็นคนคนนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ โดยเธอคิดว่าจะกลับไปถามเกรซสักหน่อยว่าเป็นใครเพราะอยากจะขอบคุณ
หลังจากคุยกันได้ระยะหนึ่งทั้งสองก็ได้กล่าวลาเพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อน แต่ก่อนจะไปนั้นอลันก็ได้เรียกลอยด์มาคุยด้วยกันสักหน่อย ซึ่งเป็นที่ลับตาคน
“มีอะไรหรอครับ” ลอยด์สงสัยว่าอีกฝ่ายเรียกเขามาทำไม
“เรื่องอีฟน่ะ พี่สงสัยว่าเขามีคนที่ชอบรึเปล่า”
“ก็ไม่มีนะครับ มีอะไรรึเปล่า” ลอยด์ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่
“ถ้าพี่จะขอจีบไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“อ่อ…เรื่องนั้นผมว่าคงไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมล่ะก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้วหนิ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นครับ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่” พูดจบลอยด์ก็เดินหนีไปทิ้งอลันให้ยืนงง
“หือ สงสัยจะเล่นแรงไปหน่อย” ที่จริงอลันก็ไม่ได้คิดจะจีบอีฟอะไรหรอก แค่พอเห็นลอยด์ที่คล้ายๆตัวเองเมื่อก่อนจึงอดแกล้งไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเดินไปเจอลูเทียร์ที่รออยู่ ซึ่งเธอก็ได้ถามว่าคุยเรื่องอะไรกันเพราะมันแปลกๆ สำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเจอหน้ากัน
“ก็คุยเรื่องที่ผู้ชายคุยกันทั่วๆไปนั้นแหละ เราคงต้องแยกกันตรงนี้ล่ะ” อลันบอกลาก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง ส่วนลูเทียร์ก็เดินกลับไปที่กิลด์
ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง
อลันเดินเข้าไปพร้อมสาดตามองว่ามีที่นั่งรึเปล่า ก่อนจะพบว่าเหลืออยู่ที่หนึ่งพอดี หลังจากนั่งเสร็จก็สั่งอะไรมาดื่มกินตามปกติ พร้อมกับคอยสอดส่องและแอบฟังข่าวซุบซิบจากคนรอบข้าง โดยหวังว่าจะมีข่าวใหญ่ๆเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินก้อนโต
“เห้ย อลัน ข่าวที่แกให้ข้าวันก่อนมันมั่วว่ะ” อยู่ๆชายตัวสูงพร้อมลูกน้องอีกสองคนก็เดินเข้ามา
“เดี๋ยวแปปนึง” อลันยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มก่อนจะวางลง
ชายที่กำลังโมโหได้กระชากคอเสื้อของอลันก่อนจะยกเขาลอยกลางอากาศ แต่ทางด้านของคนที่โดนยกกลับยังคงทำตัวสบายอยู่แม้กำลังถูกยกตัวลอยก็ตาม จนคำถามได้ออกจากปากของอลันว่าเขาข่าวอะไรไปผิด เพราะเขาก็มั่นใจว่ายังไงข่าวที่ให้ไปไม่มีทางผิดแน่นอน
“เรื่องนั้นนี่เอง” อลันพูดออกไปพร้อมตบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆแต่เหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่ก็จบลงที่ต้องสู้กัน แต่ผลมันก็ออกมาทนโท่อยู่แล้วตั้งแต่แรก แม้อีกฝ่ายจะมีถึงสามคนก็ตาม เพราะเพียงแค่อลันใช้เวทย์อัมพาตก็ชนะได้แล้ว
“ถ้ามันตื่นฝากบอกด้วยว่าข่าวที่ให้ไปไม่ผิดแน่นอน ที่ผิดก็น่าจะเป็นพวกแกต่างหากที่โง่เกิน” ลูกน้องทั้งสองอ้ำอึ้งกันเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่สุดท้ายก็ลากลูกพี่ตัวเองออกไปข้างนอกแม้จะอายๆอยู่ก็ตาม ส่วนอลันก็สั่งเบียร์มาดื่มต่อ และคิดว่ามีอะไรต้องไปทำอีกรึเปล่าในวันพรุ่งนี้
หลังจากลูเทียร์แยกกับอลัน เธอก็ตรงกลับไปที่กิลด์เพื่อจะชวนเกรซไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่แค่ต้องรออีกสักหน่อย เพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน จนกระทั่งถึงเวลานั้นทั้งคู่ก็ออกจากกิลด์เป็นคนสุดท้าย โดยร้านก็เป็นร้านเดิมที่ทั้งคู่เคยทานด้วยกัน และเมื่อมาถึงทั้งสองก็ได้สั่งอาหารมาทานกันก่อนที่ลูเทียร์จะชวนคุย เรื่องคนที่ช่วยพวกเธอไว้ตอนไปจัดการออร์ค
“พอดีเจ้าตัวเขาบอกว่าไม่อยากให้รู้น่ะ แต่พี่ใบ้ให้นะว่าเป็นคนที่ลูเทียร์รู้จักแน่ๆ” เกรซใบ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพราะเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก
“คนที่รู้จักหรอ?…คิดไม่ออกเลย” เจ้าตัวคิดจนหัวแทบระเบิดแต่ก็คิดไม่ออก จนอาหารจะมาเสิร์ฟพอดี
“เดี่ยวก็คิดออกเองแหละ” เกรซยิ้มให้ก่อนจะลงมือทาน
หลังทานอาหารด้วยกันเสร็จก็ถึงเวลาแยกย้ายโดยที่ลูเทียร์เธอขออาสาไปส่ง แต่เกรซก็ปฏิเสธไปพร้อมกับบอกว่าตัวเธอสามารถดูแลตัวเองได้ เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ไม่อยากจะรบเร้ามากก่อนที่ทั้งสองจะแยกกันไป
“คนที่รู้จักหรอ…คนที่เป็นไปได้ที่สุดก็น่าจะเป็นไอ้หมอนั้น แต่คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาช่วยซักหน่อย คงไม่ใช่นั้นแหละ วันหลังค่อยเซ้าซี้พี่เกรซใหม่ละกัน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 204
แสดงความคิดเห็น