chapter 3 นักสืบลุค
ออกจากกิลด์ได้ลุคก็ตรงไปยังร้านเหล้าร้านประจำ เพื่อไปทำงานที่ได้รับมอบหมายมาจากสมาคมนักประดิษฐ์ โดยพอมาถึงเขาก็ตรงไปหาอลันที่ใช้เวทย์แปลงกายอยู่
“ได้ยินข่าวเกี่ยวกับชายที่หายตัวไปในตรอกเมื่อไม่กี่วันก่อนรึเปล่า” ลุคเข้าประเด็นทันทีเนื่องจากเป็นภารกิจที่เร่งด่วนมาก
“อะไรนะ ผู้ชายหายตัวหรอ ไม่ๆชั้นไม่สนใจผู้ชายหรอก” อลันได้พูดกวนๆออกมาในขณะที่กำลังเคลิ้มๆ
“นี่เรื่องด่วนอย่าทำเป็นเล่น” ลุคทำสีหน้าและเสียงจริงจัง
“อะไรกันเรื่องด่วนก็ไม่บอก แต่ยังไงฉันก็ไม่รู้อยู่ดีนั้นแหละ” อลันในร่างชายแก่พูดจบก็ได้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะก่อนจะมีเสียงกรนตามมา
ลุคมั่นใจพอสมควรว่าอลันไม่ได้โกหก เพราะถึงคนตรงหน้าจะเป็นคนที่ดูเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ถ้าไม่รู้จริงๆเจ้าตัวก็จะบอกไม่รู้ นั้นจึงทำให้เขาต้องออกไปหาหลักฐานพยานด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากตรอกที่มีพยานได้บอกว่าเห็นคนถูกลักพาตัวไป
ออกจากร้านเหล้าเสร็จลุคก็เดินตามเส้นทางที่พยานได้บอกไว้ ก่อนจะพบกับนักเลง 4 คนที่กำลังนั่งสุมหัวคุยกันอย่างสนุก โดยที่ในเวลาต่อมาพวกมันจะหันมาพบกับลุคที่เดินเข้าครอกมา
“พวกนายเคยเห็นผู้ชายสูงประมาณ 170 ซม. ผมสีน้ำตาล รูปร่างสมส่วน บ้างรึเปล่า” ลุคหยิบสมุดจดออกมาอ่าน ก่อนจะเดินเข้าไปถามนักเลงพวกนั้นทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา
“อะไรของมันวะ อยู่ๆก็มาถามพวกเรา อยากเจ็บตัวรึไง” ชายที่น่าจะเป็นหัวโจกได้พูดออกมาพร้อมเดินมาตรงหน้าลุคก่อนจะทำหน้ากวนๆใส่
“ถามว่าเคยเห็นรึเปล่า” ลุคปิดสมุดจดก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยังมีท่าทียียวน
“ไม่รู้สิวะ ถ้าอยากได้คำตอบก็จ่ายเงินมา เผื่อคำตอบมันจะหลุดออกจากปาก” ก่อนจะหัวเราะเสียงดังซึ่งลูกน้องอีก 3 คนที่นั่งอยู่บนกล่องไม้ก็ได้หัวเราะออกมาตามกัน
ตุบ
ชายหัวโจกล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับมือที่กุมท้องไว้ ก่อนที่เสียงหัวเราะของลูกน้องทั้งสามจะหยุดลงทันที พร้อมกับที่พวกมันได้เห็นลูกเหล็กสีดำลอยค้างอยู่กลางอากาศตรงหน้าของลุค ซึ่งไม่กี่อึดใจต่อมาลูกเหล็กนั้นก็ได้พุ่งเข้าหาแขนและขานักเลงอีก 3 คนที่ยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น จนสุดท้ายพวกมันก็ต้องร้องขอออกมา
“สรุปเคยเห็นรึเปล่า” ลุคจัดการเก็บลูกเหล็กหนัก 2 กิโลกรัมกลับเข้าไปในกระเป๋าคาดเอว ก่อนจะเอ่ยถามพวกที่นอนอยู่ที่พื้นอีกรอบ
“ไม่รู้เว้ย” หัวโจกได้ตะโกนออกมาหลังจากที่ลุกนั่งได้
“แล้วพวกนายอีกสามคนล่ะ” ลุคหันไปถามอีกสามคนที่เหลือ ก่อนจะมีคนหนึ่งตอบกลับมาว่าเขาเห็นคนที่ลักพาตัวชายที่ลุคตามหาไป
ลุคเอาสมุดขึ้นมาจดทันที ก่อนที่จะได้รูปพรรณสัณฐานของผู้ร้ายซึ่งมีกันสองคน คนแรกเป็นชายร่างใหญ่หัวโล้น ส่วนสูงประมาณ 180 ซม. ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายหน้าตาดี มีรอยสักหนามที่มือขวา ส่วนสูงประมาณ 170 ซม.กว่าๆ
หลังจากได้ข้อมูลลุคก็ได้กลับไปหาอลันอีกรอบ พร้อมกับคำถามที่ว่าเคยเห็นคนพวกนี้รึเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับมาดันทำให้เขาต้องมืดแปดด้านในทันที เพราะดูเหมือนว่าคนที่ลักพาตัวไปนั้นจะเป็นคนนอกเมืองหรือคนที่อาศัยอยู่ในเงามืดคอยทำงานสกปรกให้ผู้มีอิทธิพล จึงทำให้ไม่มีใครมีข้อมูลที่พอจะสืบสาวไปหาคนก่อเหตุได้ ดังนั้นทางออกสุดท้ายของลุคจึงต้องไปเจอใครสักคนไม่ค่อยอยากเจอสักเท่าไหร่
ณ ร้านขายทาส
ร้านนี้ตั้งอยู่ในหลืบที่ลึกพอสมควรเพื่อป้องกันคนเพ่นพ่านไปมา โดยทางเข้านั้นเป็นซุ้มที่กว้างพอที่คนสามคนจะเดินเข้าไปพร้อมกันได้ ซึ่งทางเข้าร้านนั้นก็มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ไว้ผมหางม้า มีเกราะช่วยป้องกันส่วนลำตัวและไหล่ พร้อมกับอาวุธขวานที่วางอยู่ข้างๆตัว
“ไง ไอ้นักสืบ” ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำสวมเกราะที่มีชื่อว่า เจสัน ได้กล่าวทักทายลุค พร้อมกับหยิบขวานเล่มใหญ่ขึ้นมาถือเล่น
“โว้วๆ รีบไปไหนล่ะ” ขวานถูกยกขึ้นมาขวางเพื่อไม่ให้ลุคเดินเข้าประตูไป
ก่อนที่ในเวลาต่อมาทั้งสองจะเกิดการปะทะกันเกิดขึ้น โดยเป็นลุคที่ได้เปรียบเห็นๆด้วยเวทย์ควบคุมที่สามารถควบคุมทุกอย่างที่ต้องการได้ ซึ่งเพียงแค่ยกร่างและเหวี่ยงอัดกับกำแพงซ้ายทีขวาทีก็ชนะง่ายๆแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน
(อธิบายเพิ่มเติม : เวทย์ควบคุมคือการควบคุมสิ่งของโดยการปล่อยมานาในตัวเข้าไปที่รอบๆวัตถุ ก่อนจะจินตนาการตามใจว่าอยากให้มันเป็นยังไงต่อ ซึ่งเวทย์นี้เป็นเวทย์ระดับสูงที่ผู้คนไม่นิยมใช้กัน เนื่องจากจะผลาญมานาเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าฝึกจนชำนาญก็จะสร้างความได้เปรียบอย่างมาก )
“รีบไปไหนล่ะ ข้ายังไม่ตายซักหน่อย” เจสันดันตัวเองขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงขวานมาหาลุค แต่ขวานเล่มนั้นก็ได้ถูกหยุดเอาไว้และถูกทำให้ลอยกลับมากระแทกเข้าที่ศีรษะ จนทำให้ชายร่างใหญ่ลงไปนอนกับพื้น
เมื่อหมดธุระแล้วเขาก็ได้เข้าไปด้านในทันทีเพราะตอนนี้กำลังรีบมากๆ ซึ่งสภาพด้านในนั้นเป็นเหมือนร้านขายของทั่วไปที่มีสินค้าโชว์อยู่สองฝั่งทางเดิน แต่ก็ตรงตามชื่อร้านที่เป็นร้านขายทาส สินค้าด้านในตู้กระจกมากมายก็เป็นทาสหลายเกรดที่ถูกจับมานั่งเรียงกันเพื่อโชว์ให้ลูกค้าเลือก ซึ่งก็มีหลายลักษณะทั้งมนุษย์ทั่วไป เผ่าครึ่งสัตว์ที่มีจำนวนหลายเผ่าให้เลือก จนกระทั่งลุคได้เดินมาถึงสุดทางเดินที่เป็นห้องของเจ้าของที่นี่ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ไง…ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย วันนี้มีอะไรอีกล่ะ” ชายร่างท้วมที่นั่งเก้าอี้อยู่ได้กล่าวทักทายลุค โดยเขามีชื่อว่า ลาลัส มอดัน อายุประมาณ 40 ต้นๆ ส่วนสูงประมาณ 165 ซม. ใส่สูทพร้อมซิกาในมือ กับทหารรับจ้างอีก 4 คนที่อยู่ด้านหลัง
“ฉันกำลังตามหาชาย 2 คน คนหนึ่ง ร่างใหญ่หัวโล้น ส่วนอีกคนมีรอยสักอยู่ที่มือขวาเป็นรูปหนาม”
ลาลัสไล่ลูกน้องของตัวเองออกไปทันทีที่ลุคบอกลักษณรูปร่างคนที่ตามหา และเข้าเรื่องที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล
“ดูจากรูปร่างของคนที่แกตามหาอยู่….น่าจะเป็นลูกชายของตระกูลหนึ่งอย่างแน่นอน” ลาลัสพูดออกมาพร้อมพ่นควันออกจากปาก
“ตระกูล?” ลุคถึงกับตกใจเพราะว่าเขายังไม่เคยเจอปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้ ถึงปกติจะทำงานให้พวกขุนนางอยู่แล้วก็ตาม ซึ่งเวลาปกติจะได้รับการคุ้มครองจากพวกขุนนางที่จ้างเขา แต่นี้เป็นปัญหาระดับที่เรียกว่าสงครามกลางเมืองย่อมๆก็ว่าได้
“ดูจากสีหน้าแกคงจะรู้สินะว่ามันใหญ่ขนาดไหน….” ลาลัสเพียงแค่มองดูหน้าของลุคที่สับสนก็พออ่านออกว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไร “แต่ข้าบอกได้ว่าตระกูลนั้นไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ ปัญหาก็คงอยู่ว่าเจ้าพวกนั้นมันมีคนหนุนหลังให้อยู่รึเปล่า”
ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับลุคแล้วว่าเขาจะเดินหน้าทำงานต่อหรือหยุดลงแค่นี้ เพราะถ้ายิ่งถลำลึกลงไปอาจจะทำให้เข้าไปพัวพันกับเรื่องน่าปวดหัว แต่สุดท้ายเขาก็ขอทำให้เต็มที่ไปก่อน เผื่อว่าปัญหาจะคลี่คลายลงได้ง่ายกว่าที่คิด ด้วยข้อมูลที่ได้จากลาลัสมานั้นแลกกับการครอบครองกำไร 20 เปอร์เซ็นต์จากสิ่งประดิษฐ์ที่ลุคกำลังสร้างอยู่ขณะนี้ หรือก็คือการลงทุนเพื่ออนาคตนั้นเอง โดยที่ลาลัสก็มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ลุคทำอยู่นั้น จะสามารถสร้างกำไรมหาศาลได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ข้อมูลเสร็จลุคก็ได้ข้อตัวทันที แต่ในจังหวะที่กำลังจะเดินออกไปได้ไกลนั้น สายตาก็ดันไปเห็นทาสคนหนึ่งที่แปลกจากคนอื่นๆ
‘เอลฟ์!’
เอลฟ์คือเผ่าพันธ์ุที่หายสาปสูญเป็นเวลากว่าสองร้อยปีหลังจากสงคราม 4 เผ่าพันธุ์ได้จบลง ซึ่งมีเรื่องเล่ามากมายที่เล่ากันว่าพวกเอลฟ์ได้สูญพันธุ์กันไปแล้วเนื่องจากการสูญเสียพวกพ้องจากต่อสู้ หรืออีกเรื่องเล่าก็พวกเขาได้ออกจากดินแดนนี้ไปตั้งถิ่นฐานที่เกาะรอบแผ่นดินใหญ่ แต่เรื่องสุดท้ายนี่ลุคนั้นเชื่อว่ามันดูมีเค้าโครงเรื่องจริงที่สุดก็คือพวกเขาได้สร้างม่านพลังอำพลางตัวเองเอาไว้ จนกระทั่งเขาได้เจอเด็กสาวเอลฟ์ตรงหน้าที่กำลังจะถูกส่งตัวเข้าตู้กระจก
“มีอะไรอีกล่ะ” ลาลัสเอ่ยถามลุคที่เปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรน
“อย่าส่งเด็กเอลฟ์คนนั้นเข้าไปขายเด็ดขาด!”
“เอลฟ์ที่ไม่ได้ถูกพบตัวมาเป็นเวลากว่าร้อยปี ถ้านำไปขายยังไงก็ได้กำไรเห็นๆ” เขาพูดเหมือนไม่รู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นตาม
“นายไม่รู้หรอว่าพวกเอลฟ์นั้นรักพวกพ้องขนาดไหน ถ้าพวกนั้นรู้เข้าสงครามระหว่างมนุษย์และเอลฟ์จะเกิดขึ้นแน่ๆ” นั้นคือสิ่งที่ลุคกลัวมากๆ แม้ว่าเทคโนโลยีและเวทมนตร์ของมนุษย์จะพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่ถ้าเอาจริงๆมนุษย์นั้นคือเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดในทวีปนี้ก็ว่าได้ การจะหาเรื่องไปทำสงครามกับเอลฟ์ที่สามารถควบคุมผืนป่าได้นั้นเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี
“ฮ่าๆๆๆ แกคิดว่าพวกมันจะรู้หรอว่าเด็กนั้นอยู่ที่ไหน ยังไงพวกมันก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาหรอก หลบอยู่ตั้งร้อยกว่าปี จะยอมออกมาเผยตัวเพราะเด็กคนเดียวน่ะหรอ ตลกสิ้นดี” ลาลัสหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“แล้วแต่ละกัน คิดให้ดีๆว่าอันไหนมันคุ้มกว่า เงินอันน้อยนิด หรือขอรางวัลที่ส่งตัวเด็กนั้นคืน” พูดจบลุคก็เดินออกจากร้านไปและหวังว่าลาลัสจะพอฉลาดอยู่บ้าง
ออกจากร้านเสร็จก็ตรงไปยังสลัมแห่งหนึ่งภายในเมือง ซึ่งตลอดทางก็ได้ใช้เวทย์ตรวจจับเพื่อหาจุดผิดสังเกต โดยเส้นทางที่ผ่านนั้นก็มีพวกไร้บ้านและขอทานนอนเรียงรายกันเต็มไปหมด แต่ลุคก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเพราะถ้าช่วยคนแรก คนที่สองก็ต้องตามมา จนกระทั่งเขาได้เดินผ่านบ้านหลังหนึ่งที่ปิดประตูอยู่ แต่ด้วยเวทย์ตรวจจับก็ทำให้รู้ว่าภายในบ้านนั้นมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคนถูกจับขังอยู่ภายในกรงด้วย ซึ่งมันชี้ชัดว่าพวกนี้ทำอะไรที่ผิดอยู่แน่ๆ
( อธิบาย : เวทย์นี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสิ่งรอบตัวในรัศมี 3-10 เมตร ขึ้นอยู่กับความชำนาญซึ่งลุคก็ใช้ได้ระยะประมาณ 8 เมตร โดยผลของการใช้เวทย์จะทำให้ผู้ใช้รับรู้ทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัว โดยจะส่งภาพเข้ามาในหัว )
‘เวทย์ลวงตาหรอ?’ ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
เวทย์ลวงตานั้นการจะใช้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิที่แกร่งและทักษะที่สูงมาก นั้นจึงทำให้มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีฝีมืออยู่พอตัว แถมจำนวนที่ตรวจจับได้ก็ทำให้หวั่นเกรงได้เหมือนกัน เพราะถึงลุคจะมั่นใจฝีมือตัวเองในระดับหนึ่ง แต่การสู้กับคนเยอะๆนั้นใช่ว่าจะง่าย เขาจึงยอมถอยออกมาก่อนและคิดหาวิธีเข้าไปอย่างปลอดภัยที่สุด
“มันไปแล้ว” ชายร่างใหญ่หัวโล้นพูดขึ้นพร้อมกับเดินถอยห่างออกจากประตู
“ยังไงก็ระวังตัวไว้ก่อน เพราะดูเหมือนมันจะรู้ว่าเราใช้เวทย์ลวงตา” ชายที่มีรอยสักหนามได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้พร้อมกับเดินลงไปชั้นใต้ดิน เพื่อไปเช็กสินค้าที่ตัวเองต้องนำไปส่ง
ทางด้านของลุคหลังจากเดินห่างออกจากบ้านหลังนั้นเขาก็ได้เดินสำรวจจนทั่ว และสุดท้ายก็ได้มาสะดุดกับบ้านหลังหนึ่งที่เมื่อลองใช้เวทย์ตรวจจับดูแล้ว ภายในบ้านได้มีอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เหมือนจะทอดยาวจนถึงอีกสถานที่หนึ่ง ก่อนที่ลุคจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป
แอดๆๆ
เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกลัวเสียงที่ตัวเองทำจะทำให้ใครสักคนรู้ตัว ก่อนที่เท้าทั้งสองข้างจะก้าวลงไปยังบันไดที่มีรอยรองเท้าอยู่ก่อนหน้า ซึ่งก็มีแค่เพียงแสงจากภายนอก ที่พอจะเผยให้เห็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่ทอดยาวลึกเข้าไปด้านใน และเมื่อเห็นอย่างนั้นลุคจึงตัดสินใจใช้เวทย์ควบคุมปล่อยมานาผ่านเท้าเพื่อยกตัวเองขึ้นจากพื้น เพื่อป้องกันเสียงจากรองเท้ากระทบพื้น ก่อนจะเดินประคองตัวเองไปตามกำแพง
ระยะเวลาที่ผ่านไปนั้นถ้าคาดเดาน่าจะประมาณ 5 นาทีได้ โดยที่ลุคก็ยังคงใช้เวทย์ตรวจจับเป็นพักๆเผื่อมีอะไรขวางทาง จนกระทั้งสุดสายตาได้ปรากฎแสงบางอย่างที่อยู่ไกลลิบ ซึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคือคบเพลิงหรือไม่ก็ไฟฉาย จนกระทั่งแสงได้ส่องทำให้เห็นว่ามีคนหลายสิบคนถูกโซ่ล่ามเอาไว้
“เร็วเข้า” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่ลุคอยู่
‘ดูเหมือนน่าจะเป็นพวกค้าทาสผิดกฎหมาย’ ลุคยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะโจมตีเลยดีรึเปล่า ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจัดการให้จบๆไปดีกว่า เพราะกลัวว่าพวกมันอาจจะมีกำลังเสริมมาอีก
เสียงวิ่งดังจากความมืดของอุโมงค์ทำให้คนที่ถือคบเพลิงอยู่เกิดสงสัย ก่อนที่อยู่ๆลุคจะวาร์ปมาอยู่ตรงหน้าและต่อยเสยคางเข้าไป หลังจัดการคนแรกเสร็จก็ตรงไปหาอีกคนพร้อมกับลูกเหล็กในมือ ที่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากใช้ทุบหน้าคนที่จะเข้ามา เนื่องจากหมดมานาไปเยอะกับพวกเวทย์ก่อนหน้านี้
“จัดการมันซะ แล้วแกไปเรียกหัวหน้ามา” ชายที่เป็นลูกพี่ได้สั่งให้ลูกน้องทั้งหมดไปจัดการลุค โดยมีคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปด้านบนเพื่อเรียกใครสักคน
สามคนที่พุ่งมาจัดการลุคแต่ก็ถูกจัดการลงอย่างง่ายดาย โดยใช้เพียงลูกเหล็กและเวทย์วาร์ปไม่กี่ครั้ง จนมาถึงที่คิวของคนที่น่าจะเป็นลูกพี่ของเจ้าพวกนี้
“ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่แกคงต้องตายที่นี่” ชายตรงหน้าลุคชักดาบคาดเอวออกมาก่อนจะวิ่งตรง ส่วนลุคที่เตรียมตัวจะวิ่งไปจัดการอีกฝ่ายกลับถูกใครบางคนพยายามขัดขวาง ซึ่งก็คือหญิงสาวที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้
“ปล่อยน่า” ลุคสะบัดขาจนหลุดมาได้ ก่อนจะบังคับให้ลูกเหล็กพุ่งชนชายที่กำลังวิ่งมา ซึ่งก็เหมือนจะยุ่งยากหน่อยๆเพราะมันสามารถปัดลูกเหล็กทิ้งได้ แต่สุดท้ายชายคนนั้นก็ถูกจัดการลงได้ในเวลาต่อมา
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วลุคก็ได้หันไปสนใจพวกคนที่ถูกจับ โดยได้ตะโกนถามไป “ในนี้มีใครเป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าง ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่อยู่ๆก็ได้มีผู้หญิงที่ดูผิวพรรณดีได้พูดขึ้นมา ว่าเธอเห็นคนที่น่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ต้นอุโมงค์ ก่อนที่ลุคจะละความสนใจจากพวกคนตรงหน้าและวิ่งไปที่ต้นอุโมงค์
“ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้ แกทำให้พวกเราลำบากพอตัวเลยนะเนี่ย” ชายผิวคล้ำหัวโล้นพูดขึ้นหลังจากที่ลุควิ่งขึ้นมา พร้อมกับสวมสนับมือทั้งสองข้าง โดยที่ในมุมหนึ่งมีคนถูกขังอยู่ในกรง
พูดจบประโยคชายหัวโล้นก็ได้วิ่งตรงมาพร้อมง้างหมัดต่อยเข้าเต็มแรง ซึ่งลุคก็สามารถหลบได้ทันแต่กลับถูกการโจมตีที่คาดไม่ถึง อย่างการใช้แขนข้างที่ต่อยไปแล้วมาโบกหลังมือใส่จนกระเด็น ก่อนจะกระโดดตามมาเพื่อจะปิดฉาก
“โว้ว เกือบตาย” ลุคสามารถวาร์ปออกมาทันก่อนที่อีกฝ่ายจะถึงตัว
หลังจากรอดมาได้ลุคก็ไม่รอช้ารีบวิ่งกระโดดเกาะหลังพร้อมใช้โซ่จากกระเป๋าคาดเอวรัดคอ โดยตอนแรกก็เหมือนจะดูดีจนกระทั้งถูกกระชากลงมากระแทกพื้น พร้อมกับจะโดนต่อยอย่างเต็มแรง จนต้องลุคใช้เวทย์ควบคุมผลักชายหัวโล้นไปกระแทกกับเพดาน ก่อนจะทำซ้ำอีกสองสามทีจนแน่ใจว่าสลบ
“นายเป็นนักวิทยาศาสตร์ใช่ไหม” ลุคหันไปถามคนที่ถูกขังขณะที่ตัวเองยังนอนแผ่กลับพื้น
“ใช่ครับ”
หลังจากยืนพักอยู่ครู่หนึ่งลุคก็ได้ตรงไปงัดแม่กุญแจ แต่ดูเหมือนว่ามันจะแข็งเป็นพิเศษจนเขาต้องใช้ระเบิดจิ๋วที่ประดิษฐ์มายัดใส่รูกุญแจ ซึ่งก็ได้ผลตามคาดไว้พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก แล้วชายนักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็ได้เดินออกมาพร้อมกับมีด
ฉึก
“ทำไม!?” ลุคเดินเซถอยออกมาพร้อมเอามือปิดปากแผลที่ถูกแทง
“ไม่คิดว่าจะติดกับง่ายขนาดนี้” ชายนักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนไปเป็นชายที่มีรอยสัก
“ไม่รักษาแผลหรอ หรือไม่ได้เรียนมา แย่จังคิดว่าจะสนุกกว่านี้ซะอีก” ก่อนจะกระหน่ำจ้วงแทงมีดแต่ลุคก็สามารถหลบได้แม้จะเลือดไหลอยู่
‘มันย้ายเขาไปแล้วสินะ เวรจริงๆ’ ลุคล้วงกระเป๋าคาดเอวก่อนจะปาระเบิดควันลงพื้น
ชายรอยสักอยู่ในความงุนงงเพราะมันไม่คิดว่าลุคจะมีระเบิดควัน ก่อนที่อยู่ๆมันจะถูกเข้าประชิดตัวและถูกจับทุ่มลงพื้น พร้อมถูกกระหน่ำต่อยจนเรียกว่ายับเยินที่พอจะเห็นได้ว่าคงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก ซึ่งพอเห็นว่าอีกฝ่ายสลบไปแล้วลุคจึงได้หยิบขวดยาสีแดงสดออกมาดื่ม
‘รู้งี้น่าจะเชื่อหัวหน้าว่าให้เรียนเวทย์รักษา เปลืองเงินเล่นอีกแล้วเรา’ สิ่งที่ดื่มไปนั้นคือโพชั่นเร่งการรักษาแผล ซึ่งปรกติส่วนใหญ่เอาไว้ใช้ตอนรักษาแผลใหญ่พร้อมกับเวทย์รักษา โดยสิ่งนี้เกิดจากคริสตัลมานาที่ถูกบดและถูกนำไปทำด้วยกลวิธีจากพวกนักปรุงยา จนออกมาเป็นยารักษากับฟื้นฟูมานา
ตู้ม
เสียงบางอย่างเหมือนกับประตูถูกพังซึ่งลุคพอจะเดาได้ว่าพวกมันหนีออกไปได้ โดยใจจริงก็อยากจะวิ่งตามไปแต่สังขารมันไม่พร้อม แถมเลือดก็ไหลเยอะอีก จนกระทั้งล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมงแผลที่ถูกแทงก็รักษาหายและก็เป็นเวลาที่ทหารยามมาถึง
“ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ” ลุคพูดพร้อมลุกปรากฎตัวให้ยามสองคนเห็น และบอกว่ามีคนถูกจับอยู่ชั้นล่างซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทหารยามไม่ได้สอบถามอะไรมาก เพราะคุ้นชินกับพวกลอบขายทาสและรู้ว่าชายตรงหน้าคือใคร
ในขณะที่กำลังลำเลียงคนออกมาจากอุโมงค์ ลุคก็ได้เดินไปหาหญิงสาวที่จับขาเขาไว้ตอนอยู่ในอุโมงค์
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอเจออะไรมา แต่ถ้ายังอยากมีชีวิตและงานทำก็ลองไปดู” พร้อมกับยื่นนามบัตรสถานที่ของลาน่าไป แม้เขาจะไม่อยากให้ไปทำแต่อย่างน้อยสถานที่แห่งนั้นอาจจะช่วยหญิงสาวคนนี้ได้ เพราะมันไม่ได้มีแค่งานอย่างว่า ลุคจึงหวังว่าเธอจะมีความสามารถอย่างอื่น
ณ สมาคมนักประดิษฐ์
ลุคได้ทำการมารายงานภารกิจที่ได้รับมากับเลขาของหัวหน้าสมาคม ก่อนจะขอตัวกลับเนื่องจากก็เป็นช่วงเย็นของวันแล้ว แต่ก่อนจะกลับก็ได้แอบไปดูงานประดิษฐ์ของคนอื่นๆที่จะประกวดอีกในไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยของทุกชิ้นก็ยังเป็นงานที่ยังไม่เสร็จดี แต่ก็น่าจะใกล้เสร็จแน่ๆเพราะยังไงก็ต้องมีการทดลอง ซึ่งเหตุผลที่พวกนักประดิษฐ์ทั้งหลายเอาของที่ตัวเองสร้างมาไว้ที่นี่ ก็เพราะว่าภายในอาคารมีอุปกรณ์ตรวจจับและเวรยามที่หนาแน่น นั้นจึงเหมาะที่จะเอาของพวกนี้มาไว้ที่นี่ แต่ก็ต้องแลกกับที่ว่ามีคนรู้สิ่งที่ตัวเองสร้าง ผิดกับลุคที่เขาได้สร้างมันไว้ที่บ้าน
“โอ้นั้นลุคหนิ” เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนที่ลุคจะหันไปดูและพบกับชายมีอายุคนหนึ่งสูงประมาณ 170 ซม. สวมเอี๊ยมพร้อมกับค้อนในมือ
“ไงครับลุงเมสัน”
เมสันเป็นเพื่อนของพ่อลุค ซึ่งในอดีตพวกเขาทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน ก่อนจะต้องแยกกันไปทำโปรเจคของตัวเอง แต่ตลอดเวลานั้นทั้งคู่ก็ได้ช่วยเหลือกันตลอด จนกระทั้งวันที่ลุคได้สูญเสียพ่อของเขาไปในเหตุระเบิดภายในบ้านพัก
“มีภารกิจที่นี่หรอ” เมสันได้เปิดบทสนทนาพร้อมกับเช็ดค้อนในมือตัวเอง
“เป็นภารกิจคนหายน่ะครับ เห็นว่าหายตัวไปหลายคนแล้ว ลุงพอจะรู้ข้อมูลอะไรบ้างรึเปล่า ” ลุคถามเผื่อว่าเขาจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ถึงที่จริงแล้วภารกิจจะจบไปแล้วก็ตาม
“ก็พอจะรู้อยู่บ้าง เห็นว่าคนที่หายไปส่วนใหญ่จะเป็นพวกเก่งเรื่องกลไก” กลไกที่เมสันพูดนั้นเหมือนจะเป็นเกี่ยวกับพวกส่วนที่คนส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ
หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พูดคุยกันอยู่สักพักก่อนที่ลุคจะขอตัวกลับ โดยการพูดคุยครั้งนี้ก็ทำให้ได้ข้อมูลมาว่าคนที่หายนั้นเป็นพวกที่เก่งอันดับต้นๆของสมาคม บ่งชี้ว่าพวกมันต้องการจะใช้ความรู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน และดูเหมือนจะต้องใช้คนเก่งเป็นจำนวนมากอีกด้วย
โดยระหว่างทางกลับลุคก็ได้มองตามรายทางของเมือง เพื่อสอดส่องความเป็นไป เพราะเขานั้นยังต้องอยู่ที่นี่อีกยาวเนื่องจากเป้าหมายคือได้รับการยอมรับว่าเป็นนักประดิษฐ์อันดับหนึ่ง โดยสานต่อโปรเจคต่อจากพ่อและเพื่อตามหาคนที่ฆ่าพ่อของเขา
“ลุค!”
ใครบางคนได้เรียกเขาจากทางด้านหลัง ก่อนจะหันไปเจอกับเกรซที่กำลังกลับบ้านพัก
“เป็นยังไงบ้างวันนี้ ได้ยินมาว่าสู้กับพวกลักลอบจับคนหรอ?” เกรซได้เร่งฝีเท้ามาขนาบข้าง
“ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมาก”
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยทั้งคู่ก็ได้ไปทานข้าวด้วยกันซึ่งก็คือร้านประจำของเกรซ เมื่อมาถึงลุคก็ได้สั่งไปหลายเมนูเพราะหิวจากการทำงาน โดยในขณะรอเขาก็ได้ถามเกี่ยวกับลูเทียร์และเด็กอีกสองคน
“ทั้งสามคนอาการดีขึ้นมากแล้ว ส่วนลูเทียร์ก็ให้พักอยู่ที่กิลด์ ลอยด์และอีฟทั้งสองก็กลับไปพักที่บ้าน แต่ทำไมลุคถึงสนใจล่ะ” เจ้าตัวได้ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพร้อมกับส่งสายตาไปหาชายหนุ่ม
“เรื่องปกติที่จะสนใจคนในกิลด์ไม่ใช่หรอ” เขาตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง
“หือ…อย่างนี้นี่เอง” เกรซพูดไปก็ขำไปจนอาหารได้มาเสิร์ฟพอดี
หลังจากทานอาหารเสร็จลุคก็ตั้งใจจะเดินไปส่งเกรซที่บ้าน แต่ก็ได้ถูกปฏิเสธ นั้นจึงทำให้ทั้งคู่ต้องแยกทางกันกลับ โดยพอมาถึงบ้านลุคก็ได้นั่งลงทำโปรเจคของตัวเองต่อจนดึกดื่น ก่อนที่จะนอนปาไปเกือบจะตีสาม
‘เมืองนี้เฮงซวยเป็นบ้า’
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 195
แสดงความคิดเห็น