STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 16 เอื้อนเอ่ย
ออร่ามานาในธรรมชาติเป็นดั่งสายธารที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ต้องฝึกอีกมากแค่ไหนถึงจะอยู่ในระดับเดียวกับคุณวิกตอเรียหรือชิมม่อนกันนะ?
ซึฮากินั่งสมาธิเพื่อเพ่งประสาทสัมผัสทั้งหมดไปกับการใช้มานาตรวจจับ ต้นไม้ใบหญ้าการสั่นไหวของสายน้ำ แมลงหรือสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาห่างออกไปหลายสิบเมตร
“มีอะไร?” เสียงฝีเท้าที่อยู่ห่างออกไปกำลังก้าวเข้ามาหา ซึฮากิจึงเอ่ยทักเสียก่อนที่จะเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ
“ยังฝึกอยู่สินะ ทางนี้เตรียมพร้อมแล้ว” ร่างกายที่ตัวเล็กระทักรัดโยนกระบอกน้ำให้ไม่บอกไม่กล่าวแต่ซึฮากิก็คว้ามันไปได้อย่างกับมองเห็น
“พัฒนาไปอีกขั้นแล้วเหรอ? นายจะเก่งเกินมนุษย์แล้วนะแค่ไม่กี่วันก็สามารถเลื่อนระดับพลังได้ ถ้าเป็นฉันก็คงจะใช้เวลาสักสองสามเดือน”
“ก็ไม่เห็นยาก หรือว่าฉันจะไม่ใช่มนุษย์กันนะ?”
“ฮ่า ๆ อย่าล้อเล่นเลยแต่ก็น่าคิดเหมือนกันนะเนี่ย” สเตล่าจ้องมองใบหน้าอันเฉยชาที่ยิงมุกออกมาทำให้มันน่าขำเสียยิ่งกว่ามุกอีก
“ไปกันเถอะมันใกล้เวลาที่โฟลจะติดต่อมาแล้ว”
“อืม...ว่าแต่นายรู้เวลาได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ไม่มีนาฬิกา”
“ดวงอาทิตย์ไงล่ะหรือว่าเธอไม่เคยดูเวลาจากดวงอาทิตย์”
พวกเขาเดินเท้ากลับไปยังบ้านใหญ่ที่เปรียบเสมือนเสาหลักของเมืองเอลโฟเรีย จากบ้านไม้ธรรมดาค่อย ๆ ต่อเติมจนกลายเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่และด้วยจำนวนแรงงานมากมายทำให้สามารถซื้อวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์หลาย ๆ อย่างที่ต้องอาศัยคนขนเพราะไม่มีทางเดินรถเข้ามา
“ตอนนี้ภาพรวมถือว่าดีแล้วเหลือแค่ระบบคมนาคม สร้างเส้นทางสำหรับเดินรถเพื่อให้เดินทางสะดวกขึ้น” ซึฮากิกวาดสายตาบ้านเมืองและผู้คนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
“ทำไมถึงมาทำมันตอนนี้ล่ะ? หรือเพราะว่าคนงานไม่พอ”
“อืม...ถูกต้องแล้ว การสร้างถนนจำเป็นต้องใช้คนงานจำนวนมากเพราะระยะทางหลายสิบกิโลเมตร ไม่เหมือนกับสร้างบ้านที่สามารถทำเสร็จเป็นหลัง ๆ ไปได้ แถมก่อนหน้านี้ฉันยังหาหินปูนไม่ได้”
“สวัสดีค่ะพี่กิ!” คิโนริวิ่งหน้าตั้งเข้ามากอดรัดอย่างกับไม่เจอกันหลายปี
“ฮ่า ๆ ท่าทางแบบนี้มีเรื่องอะไรดี ๆ ใช่ไหมล่ะ”
“หนูเปลี่ยนรูปมานาเป็นวง ๆ แบบพี่ได้แล้ว”
“อัจฉริยะจริง ๆ คิโนริของเรา งั้นมาลองรูปทรงที่ยากขึ้นสักหน่อยแล้วกัน” ซึฮากิวาดมานาเป็นรองเท้าผ้าใบที่ใส่กันเป็นประจำแต่มันมีรายละเอียดมากกว่าทรงห่วงยางเป็นไหน ๆ ชั้นความหนาของมานาที่ทำให้เห็นมิติของรองเท้าอย่างกับภาพฉายสามมิติในร้านขายรองเท้า
“โห! มันสวยมากเลยค่ะ”
“ยิ้มกับเขาก็เป็นแฮะ” สเตล่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้เห็นซึฮากิหัวเราะยิ้มตอบโต้กับคิโนริ
“เดี๋ยวพี่ต้องไปทำธุระไว้กลับจะซื้อของกินมาฝากนะ”
“ได้ค่ะ!” คิโนริวิ่งกลับไปยังลานฝึกที่เพื่อน ๆ ของเธอรวมตัวกันอยู่
“ใครบอกว่าฉันยิ้มไม่เป็น ก็แบบนี้ไง” ซึฮากิยิ้มให้กับสเตล่าแต่แทนที่เธอจะชอบมันกลับกลั้นขำไว้แทน
“ไอ้รอยยิ้มที่เหมือนมีใครมาจับแหกปาก..มันไม่เรียกว่ายิ้มหรอกนะ”
ทันใดนั้นพวกเซนก็มาสมทบหลังจากขนของเรียกเหงื่อได้พอเหมาะ เขามองเห็นรอบยิ้มอันสยดสยองที่ดูเหมือนฆาตกรกำลังยิ้มให้กับเหยื่อพอดิบพอดีเล่นเอาขนลุกไปตาม ๆ กัน
“พวกเราพร้อมแล้วล่ะ” เซนยิ้มเจื่อนทำเป็นไม่เห็นภาพก่อนหน้านี้แต่ก็ปกปิดสายตาของซึฮากิไม่ได้
“อืม ไปกันเถอะ”
กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่บรรจุอาวุธและข้าวของเครื่องใช้จำเป็นไว้แบกขึ้นหลังคนละใบ เส้นทางที่ต่างออกไปขึ้นตรงไปทางเหนือ เมืองที่เต็มไปด้วยเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์หรือที่เรียกว่าไฮเอลฟ์ อีกทั้งยังมีดาร์คเอลฟ์และเอลฟ์ลูกผสมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นแรงงาน
“กิมีคนติดต่อมาทางหินสื่อสาร” สเตล่ายื่นก้อนหินเรืองแสงที่ตอบรับกับมานา
“ว่าไง...” เขาใช้มานาใส่ลงไปเพื่อเป็นการรับสายที่ติดต่อมา
“ฉันพอจะได้ข้อมูลขอสำนักมนต์ดำมาบ้าง...อยากฟังไหม?” เสียงของนัตโตะที่เต็มไปด้วยความสงสัยเขาหรี่เสียงลงป้องกันคนได้ยินเผื่อเอาไว้
“รีบเล่ามาเถอะ ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเวลานะ”
“งั้นฟังให้ดี สำนักมนต์ดำมีแฝงตัวอยู่ทุกอาณาจักร ผู้บริหารทั้งเจ็ดคนจะกระจายกันไปจัดการสาขาของแต่ละอาณาจักรโดยมีฉายาหรือโค้ดเนมที่ใช้เรียกกัน อย่างผู้บริหารที่อยู่ในอาณาจักรอาฟจะมีฉายาว่าคนโลภแต่ไม่มีข้อมูลว่าฉายาจะเกี่ยวกับตัวตนหรือความสามารถของเขาหรือเปล่า”
คนโลภเหรอ...
“ปกติแล้วสำนักมนตร์ดำมักจะทำงานตามผู้ว่าจ้างไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คนโลภกลับไม่ทำตามนั้นแล้วทำงานให้กับราชาเอลฟ์คากิ อะ-แค่นี้ก่อน”
“เขาไปแล้วสินะ” คานะที่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจต้องตกใจที่นัตโตะวางสายไปดื้อ ๆ
“อืม...”
“ถ้าเราสามารถล้มราชาคากิได้แล้วพายูกิขึ้นครองราชย์แทน พวกเราก็จะมีอำนาจ ที่ดิน แผ่นดินที่สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ...หรือเปล่านะ?”
“ดูลังเลนะกิ” คานะสอดสายตามองใบหน้าที่เฉยชาของซึฮากิที่ดูเหนื่อยกว่าปกติ
“เรากำลังจะทำเรื่องอย่างโค่นล้มบัลลังก์เลยนะ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว” เซนกระตุกยิ้มอย่างกับคนบ้าอีกทั้งยังวางแขนบนไหล่ของซึฮากิไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
“สนุกเหรอ? ...ก็อาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้” ซึฮากิหลับตาเพื่อผ่อนคลายดวงตา ก่อนที่เขาจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ป้องกันภัยอันตรายที่อาจจะมาเยือนได้ทุกเวลาถ้าเทียบเซนที่เอาแต่เดินนำหน้าวิ่งกระโดดโลดเต้นกับคานะสองคนช่างต่างกันเสียเหลือเกิน
“พวกเขาดูร่าเริงตลอดเวลาเลยนะ ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ที่ทำแบบนั้นได้” สเตล่าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูทุกข์ปนสุขชายตามองใบหน้าของซึฮากิที่กำลังยิ้มในหน้าออกมาไม่รู้ตัว
เหอะ ๆ ที่แท้ก็เป็นพวกปกปิดความรู้สึกนี่เอง สเตล่ายิ้มปริ่มออกมาทันทีที่ได้เห็นใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของซึฮากิ
“มองอะไร? มีอะไรติดหน้าเหรอ?” ซึฮากิลูบคลำใบหน้าที่ดูหยาบกร้านริ้วรอยที่ไม่ได้รับการดูแลทำให้เขาเหมือนคนอายุยี่สิบปลาย ๆ แต่สำหรับบุคลิกอย่างซึฮากิก็เหมาะไม่น้อยเลย
“เปล่า ๆ ฉันแค่คิดอะไรเพลิน ๆ” ตอนนั้นฉันก็ดันเข้าใจผิดคิดว่ากิเป็นพวกเดียวกับสำนักมนตร์ดำ พวกมันจะมีเอกลักษณ์ก็คือการใช้มนต์ดำ
“อีกกี่กิโลนะกิ” เซนตะโกนถามมาแต่ไกลเพราะพวกเขาเดินนำหน้าไม่สนใจเลย
“สามร้อยกิโลเมตร ถ้าเดินเท้าก็น่าจะไม่เกินสี่วัน”
“โหขี้เกียจเดินจริงเลย ทำไมเราไม่วิ่งไปล่ะ?”
“จะเอาแบบนั้นก็ได้แต่ของในกระเป๋ามันอาจจะเสียหายน่ะสิ”
เซนกระตุกยิ้มเพียงแค่เห็นก็รู้คำตอบ “ไม่เป็นอะไรหรอกน่าอาจจะกระทบนิดหน่อย”
ซึฮากิถอนหายใจสั้น ๆ พยักหน้าตอบรับความปรารถนาอันแรงกล้าของเซน ทันทีที่ซึฮากิตอบเซนและคานะก็ออกตัววิ่งสุดฝีเท้าหายวับไปกับตา
“เป็นคู่ที่แรงดีไม่มีตกจริง ๆ เลยนะว่าไหมกิ”
“เราก็ไปกันบ้างเดี๋ยวพวกนั้นจะไปก่อเรื่องอะไรอีก” รอยยิ้มที่กระตุกขึ้นเสี้ยววินาทีเพียงแค่นั้นก็ทำให้สเตล่ารู้ได้ถึงความรู้สึกของซึฮากิ
พวกเขาวิ่งผ่านป่าเขาจำนวนมากอ้อมเมืองที่เป็นจุดสังเกตแม้จะไกลขึ้นแต่ก็ยังดีกว่า หลังจากที่ฟ้าเริ่มมืดพวกเขาก็จะหาที่พักกันในป่าหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีคนพลุกพล่านจนกระทั่งเขามาถึงเมืองรอบนอกของอาณาเขตที่ราชาคากิปกครอง
“หลังจากนี้ต้องระวังเป็นพิเศษนะทุกคน เราไม่รู้เลยว่ามีพวกที่มีตรวจจับระยะไกลกี่คน”
“แหม่ ๆ กลัวเป็นเหมือนกันนี่กิ” เซนเลิกคิ้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ที่นี่เป็นการปกครองที่แบ่งเป็นหลาย ๆ อาณาเขตเปรียบเสมือนประเทศเล็ก ๆ อยู่รวมกันซึ่งแต่ละประเทศก็จะสามารถกำหนดกฎหรือทำอะไรก็ได้” ซึฮากิปล่อยมานาออกมาค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างของมันจนกลายเป็นร่างโคลน
“ใช้ร่างโคลนไปตรวจสอบแทนสินะ ถ้าถูกจับได้ก็ไม่เป็นปัญหาแต่มันจะสำรวจอะไรได้เหมือนคนอย่างเราไหม?” สเตล่าชำเลืองมองดูร่างโคลนของซึฮากิเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกเป็นใครก็ไม่รู้อย่างกับชาวบ้านตาสีตาสาดูไม่มีพิษภัย
“ที่เหลือก็รออยู่ตรงนี้ก่อน”
ป่าลึกที่มีต้นไม้สูงใหญ่อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าเมืองนักสามารถใช้หลบสายตาของทหารคุ้มกันหรือพวกชาวเมืองได้อีกทั้งยังมีต้นไม้ที่สูงมากเป็นพิเศษช่วยให้สามารถสอดแนมโลกภายนอกได้
“เราใช้เวลาวันครึ่งในการมาที่นี่ และอีกหลายชั่วโมงกับการรอเจ้าร่างโคลนอะนะ” เซนนั่งห้อยขาบนต้นไม้แกว่งเท้าสบาย ๆ อย่างกับอยู่บ้าน
“ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงถือว่าได้พักแล้วกัน” คานะกระโดดปีนป่ายตามขึ้นไปอย่างรวดเร็วทอดสายตามองออกไปทางเมืองที่อยู่ตรงหน้า
“นั่นไงกลับมาแล้ว” ด้วยท่าทางร้อนรนตื่นเต้นกระโดดลงจากต้นไม้รอฟังข่าวอย่างตั้งอกตั้งใจ
“มีนายทหารประจำการอยู่ในเมืองสองร้อยนาย แต่การป้องกันคนข้างหละหลวมไม่ค่อยมีใครใส่ใจกับผู้คนนัก ต่อให้เป็นโจรเดินเข้าไปก็ไม่ถูกตรวจหรือสงสัยเลยแม้แต่น้อย” ร่างโคลนรายงานได้รวบรัดเข้าใจง่ายแม้จะเป็นเซนก็ตาม
“แค่นั้นสินะ งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” ซึฮากิใช้เวทปลอมแปลงเหมือนอย่างเคยกลายเป็นใบหน้ารูปร่างของใครสักคนที่ไม่เคยรู้จัก
พวกเขาเดินผ่านทหารหน้าประตูไปได้ง่าย ๆ นายทหารเหล่านั้นแทบจะไม่ทำงานของตัวเองด้วยซ้ำเอาแต่คุยกันสนุกปาก อาจเป็นเพราะบ้านเมืองที่อยู่กันอย่างเป็นกันเองธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างร้านอาหารหรือเสื้อผ้าก็เป็นเพียงร้านเล็ก ๆ ไม่น่ามีอะไรให้ขโมย
“ก็ดูสงบสุขดีนี่หรือเพราะมันสงบสุขพวกทหารก็เลยไม่กระตือรือร้น” เซนขมวดคิ้วสงสัยเมื่อมองไปรอบ ๆ
“เมืองที่สงบสุขก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” สเตล่ากระตุกยิ้มมุมปากเอ่ยออกมา
“มันน่าสงสัยนี่น่า ปกติถ้าราชานิสัยแบบนั้นก็ไม่น่าดูแลประชาชนดีขนาดนี้ เหมือนในหนังหรืออนิเมะหลาย ๆ เรื่อง”
การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่นผ่านเมืองที่เปรียบเสมือนประตูสู่อาณาเขตของราชาคากิ เมืองแล้วเมืองเล่าที่แสนจะปกติสุขไร้พิษภัยจะมีก็แค่ทหารที่ประจำการมากเกินจำเป็นจนไม่มีอะไรทำเลยก็ว่าได้
“ชักจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว!” เสียงถอนหายใจลากยาวเดินคอตกจนคานะต้องเข้ามาชวนคุย
มันง่ายเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็น่าจะเข้าเขตราชวัง ทันใดนั้นหินสื่อสารก็มีสัญญาณขึ้นมา
“ทางนั้นใกล้มาถึงหรือยัง? ฉันกำลังดูเส้นทางให้อยู่ดูเหมือนวันนี้พวกทหารยามจะน้อยลงผิดปกติด้วย” เสียงของโฟลที่ดูร้อนรนอย่างกับมีใครกำลังตามเอามีดจ่อหลังอยู่
“น้อยลงเหรอ? นายไปดูที่ที่พวกทหารรวมตัวไว้พวกเขาอาจจะกำลังทำสงครามหรือก่อจลาจลก็ได้”
“อืม...เดี๋ยวจะติดต่อกลับไปอีกที” สัญญาณมานาของหินสื่อสารดับลงหลังจากคุยกันไม่ถึงนาที
เมืองหลวงของอาณาเขตเอลฟ์ที่ราชาคากิปกครองเป็นที่ซึ่งรวมเอลฟ์ทั่วทั้งอาณาจักรอาฟไว้ ชื่อเสียงของเมืองวิทานั้นดังไปไกลข้ามอาณาจักรจนมีเอลฟ์อพยพตามกันมาไม่หยุด
“เมืองที่มีประชากรเป็นเอลฟ์มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นดั่งทรวงสวรรค์ของพวกเอลฟ์”
“แต่เท่าที่ดู ๆ ไม่เห็นจะน่าอยู่เลย” เซนเอ่ยทักท้วงเมื่อได้ยินประโยคเช่นนั้นจากซึฮากิ แม้บ้านเมืองจะดูสงบสุขสะอาดสะอ้านกว่าเมืองอื่น ๆ แต่บรรยากาศกลับมืดทะมึนเหมือนมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา ผู้คนใช้ชีวิตของตนเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุคคลนอกครอบครัวนัก
“ช่วยหลบให้หน่อยสิ” เอลฟ์หนุ่มสามคนเดินสวนทางกันมาท่าทางสงบเสงี่ยมอย่างกับเป็นนักบวชผู้ที่ละกิเลสได้
“เชิญเลยครับ” เซนผายมือให้ทางกับพวกเขาด้วยท่าทางเคารพเหมือนเจอพระภิกษุ
“คนเมืองนี้เขาบวชกันหมดเลยหรือยังไง? ไม่คิดจะมีอารมณ์ร่วมกันเลย” คานะพูดเสริมเห็นด้วยกับความคิดของเซนยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกเบื่อง่วงเหงาหาวนอน
“พวกนี้จะน่าเป็นชนชั้นกลางดูจากการแต่งตัวกับผิวพรรณ ถ้าเป็นเอลฟ์ชนชั้นแรงงานเหมือนที่โฟลเคยเล่าจะอยู่กันที่แคมป์คนงาน” ซึฮากิกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบมีพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย อุตสาหกรรมและแหล่งอาหาร
หลังจากเดินอ้อมไปยังแคมป์คนงานแทนที่จะต้องหวาดระแวงว่าจะถูกจับได้แต่ทหารภายในเมืองกลับมีน้อยนิดจนหาได้ยาก
“โฟลจะทำสัญลักษณ์ไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าแคมป์คนงาน”
หลังจากค่อย ๆ เลาะกำแพงเพื่อหลบสายตาพวกเอลฟ์คนงานไปยังต้นไม้ใหญ่สูงกว่ายี่สิบเมตรเด่นที่สุดในเมืองที่เจริญเช่นนี้ ที่กิ่งของต้นไม้มีรูปสี่เหลี่ยมขีดไว้ต้องปีนขึ้นไปถึงจะเห็นและยังมีแผ่นกระดาษที่ห่อไว้อย่างดีป้องกันฝนตกสอดแทรกอยู่ในเปลือกไม้
“รีบไปเถอะที่นี่มันเป็นจุดเด่นเกินไป”
ซึฮากินำทางไปยังสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยมีคนนัก
“มันเขียนอะไรไว้?” เซนสอดสายตาชะเง้อคอมองด้วยความสงสัย
“...มันคือแผนที่” เส้นทางที่ทำขึ้นมาลวก ๆ วาดเพียงแค่จุดเด่นที่สำคัญอย่างประตูราชวัง ป้อมทหารยามที่ตั้งอยู่บนกำแพงสี่ทิศล้อมรอบราชวัง
“เส้นทางพวกนี้โฟลคงจะเป็นคนทำ หลังจากนี้เราจะแยกเป็นคู่จะได้เคลื่อนไหวได้สะดวก” พวกเธอพยักหน้าตอบรับทันทีโดยมีสเตล่าที่ไปกับซึฮากิส่วนคานะไปกับเซน
“แผนก็คือพวกนายสองคนจะเป็นคนดึงความสนใจที่ด้านหน้าราชวัง ฉันหวังว่าพวกนายจะหนีกันทันนะ ส่วนพวกเราจะลอบเข้าไปตามเส้นทางของโฟลเพื่อไปถึงราชวังให้ไวที่สุด ฉันจะจัดการราชาคากิด้วยพิษเพื่อให้เอลฟ์คนอื่น ๆ คิดว่าเป็นฝีมือของสำนักมนตร์ดำรวมทั้งจัดฉากการทะเลาะและทิ้งร่องรอยระบุตัวตนไว้”
“เดี๋ยว ๆ เรื่องนั้นไม่ต้องบอกฉันก็ได้ ฉันกับคานะทำแค่ล่อพวกมันสินะฝากที่เหลือด้วยล่ะ” เซนเอ่ยทักแทรกคำพูดของซึฮากิก่อนที่เขาจะพูดไหลยาวเป็นน้ำ
“งั้นก็ตามนั้น เวลาที่จะเริ่มก็คือดวงอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้าอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เวลานั้นจะมียามเปลี่ยนกะซึ่งเป็นช่วงที่หละหลวมที่สุดเหมาะแก่การลอบเข้าไป”
“จัดไปตามนั้น” เซนกระตุกยิ้มพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้มั่นอกมั่นใจเต็มร้อย
หลังจากที่แยกกันไปใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงจุดที่เตรียมพร้อมไว้ และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วราชวังและเมืองวิทาทำเอาเอลฟ์ทั้งหลายตกใจวุ่นวายกันไปหมด
“ฮ่า ๆ ๆ ได้ระเบิดพลังเล่นแบบนี้ก็สนุกเหมือนกันนะเนี่ย” เซนยิงบอลไฟไปทั่วทุกสารทิศโชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น
“นั่นไงพวกทหารมากันแล้ว” คานะชี้ขึ้นไปที่ราชวังที่บันไดขึ้นสูงสุดมีนายทหารจำนวนหนึ่งกำลังจ้องมองลงมา
“เยี่ยมไปเลยส่งของขวัญให้พวกเขาสักหน่อยสิ”
คานะยิ้มอย่างมีเลศนัยขว้างลูกบอลน้ำขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่จะตกใส่พวกทหารมันก็ระเบิดกลายเป็นฝนขนาดย่อม ๆ ทำให้ทหารเอลฟ์เหล่านั้นเปียกโชก
“กิ พวกเขาเริ่มแล้วเราควรจะทำยังไงต่อ?” แม้จุดที่พวกเธออยู่จะไกลจากกองเพลิงแต่ก็สามารถเห็นได้
“รออีกเดี๋ยว...ทหารพวกนั้นกำลังไปสมทบกับหน่วยอื่น”
หลังจากที่ทหารยามหลายคนพากันวิ่งกรูไปหาพวกเซนซึฮากิก็ชิงจังหวะนี้ลอดผ่านเส้นทางที่โฟลทำไว้
ภายในราชวังที่ดูเงียบสงบผิดปกติกับด้านนอกที่กำลังวุ่นวายอย่างกับอยู่คนละโลก ขณะที่กำลังเดินเลาะริมสวนดอกไม้ก็มีนายทหารสองคนเดินมาพอดี ซึฮากิและสเตล่ารวบนายทหารสองคนนั้นเข้ามาในพุ่มรัดคอแน่นจนหมดสติไป
“เดี๋ยวจะปลอมตัวให้แล้วไปกันต่อเถอะ” ซึฮากิใช้รูปลักษณ์ใบหน้าของนายทหารสองคนเพื่อเปลี่ยนตัวเขาและสเตล่าเป็นไปตามนั้น หลังจากที่เดินผ่านทหารยามคนอื่น ๆ ในวังมาได้เขาก็ตรงไปยังห้องของราชาคากิ
“มีสารมาส่งถึงองค์ราชาพ่ะย่ะค่ะ” เสียงที่ประกาศดังหนักแน่นสมเป็นชายชาติทหารไม่นานนักคากิก็เปิดประตูออกมาโดยที่ยังใส่แค่ผ้าเช็ดตัวและมีสาวน้อยหลายคนนอนอยู่บนเตียง
“สารอะไรมาส่งมืด ๆ เช่นนี้ เอามาดูสิ!” ท่าทางหงุดหงิดอารมณ์ร้อนเพราะไปขัดจังหวะคนกำลังรื่นเริงคว้าเอาจดหมายจากซึฮากิไปแทบจะกระชากแขนเขาไปด้วย
“มีเหตุบุกโจมตีใจกลางเมืองวิทา พวกเราต้องการกำลังเสริม เหอะ! เรื่องแค่นี้ยังจะต้องส่ง-” ซึฮากิใช้จังหวะที่คากิกำลังอ่านจดหมายเหวี่ยงมีดสั้นหวังตัดคอให้ขาดในทีเดียวแต่ทันใดนั้นกลับมีกลุ่มก้อนมานาแปลเปลี่ยนเป็นโล่ป้องกัน
พลาดเหรอ?
สเตล่าขว้างมีดสั้นเล็งไปที่หัวของคากิทันทีที่ซึฮากิพลาดแต่ก็ไม่อาจทะลุการป้องกันของเขาไปได้ จากนั้นเพียงหนึ่งหายใจก็มีชายหญิงในชุดรัดรูปปกปิดใบหน้าโผล่ออกมาจากความมืดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเงาพวกนั้น
“แหม่ ๆ มีคนจะลอบสังหารองค์ชายคากิเสียด้วย” น้ำเสียงที่ดูมีความสุขยิ้มระรื่นพร้อมกับปรบมือช้า ๆ ก้าวเท้ามาตรงหน้าไม่มีความเกรงกลัว
“สเตล่า” ซึฮากิเอ่ยคำสั้น ๆ ก่อนที่คมมีดวายุจะสาดสะบั้นไปทั่วทุกสารทิศแต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าไม่อาจฝ่าโล่มานาของพวกเขาไปได้
พวกนี้คงเป็นสำนักมนตร์ดำ ซึฮากิวาดดาบที่สร้างมาจากมานาเพ่งเล็งไปที่คากิแต่ก็มีมีดคู่จากชายหนุ่มผู้นั้นป้องกันไว้ได้และยังสะบัดออกส่งแรงกระแทกสวนกลับมา
“เหอะ ๆ พวกแกคงเป็นคนของยูกิสินะแต่ก็ดี !” โยนชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความทะนงตนเหลือบตามองหน้าคากิที่กำลังลนลานจนทำอะไรไม่ถูกแข็งขาอ่อนจนแทบจะยืนไม่อยู่
“ต้องขอบใจพวกแกจริง ๆ ที่มาได้จังหวะดี” ทันใดนั้นคมมีดของโยนก็ตัดผ่านคอของคากิรวดเร็วจนเขาไม่อาจรู้ตัวได้ว่าตายไปแล้วก่อนที่หัวจะค่อย ๆ หลุดจากบ่า
ทรยศโดยเอาเรามาเป็นแพะ แค่มองตาซึฮากิก็คาดเดาแผนของโยนได้และใช้เวทหมอกควันสร้างจังหวะให้เขาและสเตล่าฝ่าวงล้อมออกไปได้
“นี่มันผิดแผนไปหมดเลย” สเตล่าเหงื่อแตกพลั่กเลิ่กลั่กกลอกตาไปรอบ ๆ
“ก็ไม่เชิง ตอนแรกว่าจะให้พวกมันคิดว่าหักหลังกันเองแต่ก็ไม่ อย่างน้อยการสังหารราชาคากิก็สำเร็จ” ซึฮากิทิ้งร่างโคลนไว้กลางทางเพื่อถ่วงเวลาคนจากสำนักมนตร์ดำซึ่งตามมาได้รวดเร็วยิ่งนักอย่างกับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเขา
“พวกมันตามมาติด ๆ เลยกิ”
“ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่ พวกเขาเป็นนักฆ่ามืออาชีพการตามรอยก็คงเป็นเรื่องง่าย ๆ”
ขณะที่กำลังวิ่งหน้าตั้งก็มีลูกไฟพุ่งเฉี่ยวใบหูของสเตล่าไป แต่ก่อนที่ลูกไฟลูกถัดไปจะมาถึงตัวซึฮากิก็ร่ายเวทขอบเขตสุญญากาศลบมันออกไป
“หะ? นั่นมันเวทอะไรกัน” นักฆ่าผู้เป็นเจ้าของลูกไฟอุทานออกมาเสียงดัง
“อย่ามัวแต่ยืนสิ! พวกแกไปดักหน้าซะ” พรรคพวกของเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มแยกกันไป
เสียงข้าวของตกแตกพังจนเละไม่เพียงแค่ด้านหน้าของราชวังเท่านั้นที่วุ่นวายแต่ภายในก็เช่นกัน
“ไม่นะท่านคากิ” โยนตะโกนลั่นถือหัวของราชาคากิไว้พร้อมกับหลั่งน้ำตาปลอม ๆ ออกมาทำให้หญิงสาวหลายนางที่หลบซ่อนอยู่ในห้องได้เห็น
“ไอ้พวกนั้นมันกล้าดียังไงถึงสังหารราชาเอลฟ์ พวกข้าสำนักมนตร์ดำจะแก้แค้นให้เอง”
การแสดงของเรามันสุดยอดจริง ๆ ตอนที่ฆ่าเจ้าโง่คากิเราใช้ม่านมานาบังไม่ให้พวกนางเห็น พวกนางจะรับรู้แค่มีคนมาลอบสังหารแล้วพวกเราก็ออกมาช่วยแค่นั้น
“ฉันฝากแม่นางดูแลพระบรมศพของพระองค์ด้วย พวกเราจะไปตามล่ามือสังหารพวกนั้น” หญิงสาวพวกนั้นเดินออกมารับร่างของคากิไว้ด้วยความทะนุถนอมก่อนที่โยนจะมุ่งหน้าตามไปสมทบกับพรรคพวก
โชคดีจริง ๆ ที่มีเจ้าพวกนั้นเข้ามาเราจะได้โบ้ยความผิดให้มันได้ ทีนี้ยาเสริมกำลังก็จะเป็นของเรา
“กิข้างหน้ามีสองคน” สเตล่าใช้ความสามารถล่วงรู้มองเห็นอนาคตอันใกล้ที่กำลังมาถึงช่วยให้ซึฮากิหลบหนีได้ง่ายขึ้น
“ต้องหาจังหวะสลัดพวกมันออกให้ได้” พวกเขารอดพ้นสารพัดการโจมตีจากสำนักมนตร์ดำไปได้ไม่ยากทั้งการตรวจจับและยิ่งมีสกิลล่วงรู้
“เซน!” ซึฮากิตะโกนลั่นหลังจากที่วิ่งมาด้านหน้าของราชวังที่ที่พวกเซนกำลังระเบิดต้นไม้หรือไม่ก็กำแพงเป็นว่าเล่น
“เออ!” เซนที่เห็นว่าพวกเขากำลังถูกไล่ล่าจึงดึงคานะมายืนรอ
“มังกรคลั่ง” เสียงที่เปล่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงเช่นเดียวกับมานาที่ผสานกันอย่างลงตัวค่อย ๆ เปลี่ยนร่างเป็นมังกรสีชาดพุ่งใส่สำนักมนตร์ดำแผดเผาทุกสิ่งรอบข้าง
โยนและพรรคพวกของเขารวมตัวกันผสานเวทมนตร์สร้างโล่มานาขนาดใหญ่ปกป้องตัวเองไว้ได้แต่ก็คาดสายตาจากซึฮากิไปเสียแล้ว
“ว่าไงพวกนายทำสำเร็จไหม?” เซนเอ่ยทักด้วยความสงสัยขณะที่เหลียวหลังมองพวกนั้น
“จะว่าสำเร็จมันก็ใช่ แต่พวกมันอาจจะประกาศสงครามหรือทุ่มกำลังไปที่เอลโฟเรียก็ได้เช่นกัน”
“ว่ายังไงนะ! งั้นพวกเราก็ต้องรีบกลับบ้านแล้ว”
พวกเขาพยักหน้าตอบรับวิ่งสุดฝีเท้าไม่มีการหยุดพักตลอดเส้นทางไม่สนใจพวกทหารหรือการปกปิดตัวอีกต่อไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 270
แสดงความคิดเห็น