บทที่๒๐

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่๒๐

ปาณัทกลับบ้านมาในตอนค่ำ หลังจากไปทานอาหารกับรินรดาที่ร้านหรูชื่อดัง เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็เจอภูริชกำลังนั่งดื่มเบียร์ตรงห้องโถง ส่วนคนอื่นๆ เข้านอนกันหมดแล้ว ชายหนุ่มกำลังจะเดินผ่านไป ไม่อยากพูดคุยกับอีกฝ่าย ขี้เกียจทะเลาะด้วย แต่ภูริชกลับตาดีหันมาเจอเข้าจึงทัก

“อ้าว! แกกลับมาแล้วเหรอ...ไอ้ป้อง...มานั่งคุยกับฉันก่อนสิวะ”

“นายเมา...นายก็ควรขึ้นไปนอนได้แล้ว” ปาณัทบอก

“ใครบอกว่าฉันเมา ฉันไม่ได้เมาโว้ย” เขาลุกขึ้นเดินไปหาผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่เดินเซไปเซมา

อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ

“ฮึ! สภาพแบบนี้เนี่ยนะ บอกว่าไม่ได้เมา”

“เออสิ...”

“ฉันขอตัวก่อน” เขาจะเดินออกไป แต่กลับถูกทักท้วง

“เฮ้ย! จะรีบไปไหนวะ ฉันมีเรื่องจะถามแก”

ปาณัทหันกลับมา

“ถามว่าไง”

“ฉันอยากจะถามแกว่า...แกถูกน้องรินเทหรือยังวะ” พูดพลางหัวเราะ

“อ้อ ยังหรอก” เขาบอกยิ้มๆ มองท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะทำอย่างไรเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น

ภูริชแอบไม่พอใจ จึงถาม

“ทำไมวะ”

“ก็ฉันอธิบายให้น้องรินเข้าใจทุกอย่างไง...อ้อฉันว่าไอ้คนที่ส่งภาพมาให้น้องรินดูมันคงมีเจตนาทำลายความสัมพันธ์ของฉันกับน้องรินแน่ๆ แต่มันคิดผิดแล้ว ความสัมพันธ์ของฉันกับน้องรินน่ะยังคงเหนียวแน่น ไม่มีทางขาดง่ายๆ หรอก...และสมมุติว่าไอ้คนนั้นมันอยู่แถวนี้นะ ฉันอยากจะบอกมันว่ามันโง่มากที่ทำแบบนี้ ฉันขอตัวก่อนนะ” พูดจบก็เดินออกไป

ภูริชมองตามอย่างอึ้งๆ ไป

“หรือว่ามันจะรู้ว่าเป็นเราวะ แล้วทำไมมันไม่โวยวาย...โธ่เว้ย ทำไมทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแผนวะ แผนของลิต้าไม่ได้เรื่องเลย...นี่เราทำอะไรมันไม่ได้เลยหรือไง” เขารู้สึกโมโหมากที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ กลับพลิกเป็นแบบนี้...ชลิตาใช้แผนของเธอ แต่แผนของเธอกลับใช้ไม่ได้ผลเลย ซึ่งทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก และมีหรือที่คนอย่างภูริชจะยอมหยุดง่ายๆ เขาจะเอาให้ชนะปาณัทจนได้ ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง...ต้องมีสักวัน!

 

แล้ววันที่หมอนัดนางเพียรให้มาทำคีโมก็มาถึง แต่ก่อนจะทำคีโมนางก็ตัดสินใจที่จะบอกเรื่องสำคัญกับเป็นเอก เพราะนางไม่รู้ว่าหลังทำคีโมมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงต้องบอกไว้ก่อน

แล้วก่อนที่จะไปโรงพยาบาลนางเพียรก็บอกเป็นเอกว่า

“เอก...แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะบอกเรื่องสำคัญกับลูก ก่อนที่แม่จะไปทำคีโม เพราะไม่รู้ว่าหลังทำคีโมมันจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่บ้าง...”

“แม่อย่าพูดแบบนี้สิครับ ผมใจคอไม่ค่อยดี” เป็นเอกว่า

อีกฝ่ายฝืนยิ้ม

“ชีวิตของคนเรามันไม่แน่นอนหรอกลูก วันนี้เห็นยังดีๆ อยู่ แต่วันพรุ่งนี้อาจเป็นอะไรขึ้นมาก็ได้ และยิ่งแม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง ทำให้แม่รู้ว่าตัวเองคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะโรคนี้โอกาสหายน้อยมาก”

“แม่จะต้องหายครับ วันนี้คุณหมอนัดแม่ไปทำคีโมแล้ว”

“อย่าหลอกตัวเองเลยลูก...ต้องทำใจและยอมรับมันให้ได้ ชีวิตคนเรามันก็มีแค่นี้แหละลูก”

“แม่...” ชายหน้าทำหน้าเศร้า กอดผู้เป็นแม่

“ทำเป็นเด็กๆ ไปได้ โตจนอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว”

“แต่ผมยังเป็นเด็กน้อยของแม่นี่ครับ”

“หือ...” นางมองค้อนลูกชาย “เป็นเด็กตลอดไปไม่ได้หรอก อายุขนาดนี้แล้วต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ...เอาละ ถึงเวลาที่แม่จะบอกเรื่องสำคัญกับเอ็งสักที...ความจริงแล้วแม่ไม่ใช่แม่ที่ให้กำเหนิดเอ็งหรอก แต่แม่คือคนที่เก็บเอ็งมาเลี้ยง”

“แม่พูดอะไรครับเนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว หรือว่าพูดเล่น” เขามองผู้เป็นแม่อย่างไม่เข้าใจ

นางเพียรสั่นศีรษะ

“ไม่...แม่ไม่ได้พูดเล่น แม่พูดเรื่องจริง...เมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว...แม่เป็นแม่ค้าขายผลไม้ที่ตลาดสด ตอนนั้นแม่เพิ่งจะสูญเสียสามีกับลูกแท้ๆ ของแม่ไป แม่เสียใจมาก แต่แม่ก็ยังไปขายผลไม้ตามปกติ...พอขายเสร็จก็เดินกลับบ้าน เดินผ่านหลังตลาด ได้ยินเสียงเด็กร้องข้างถังขยะ แม่กับนังต้อยจึงไปดู ก็เห็นว่ามีเด็กถูกทิ้ง เด็กคนนั้นก็คือเอ็ง...เอ็งถูกวางในตะกร้า ตอนนั้นเอ็งยังตัวแดงๆ อยู่เลย เหมือนจะเพิ่งคลอด

และหน้าตาของเอ็งก็น่าเกลียดน่าชังมาก แม่ยังนึกสงสัยเลยว่าทำไมพ่อแม่แท้ๆ ของเอ็งถึงได้ใจร้ายใจดำเอาเอ็งมาทิ้งได้ลงคอ จิตใจทำด้วยอะไร...ตอนแรกแม่จะเอาเอ็งไปให้ตำรวจ แต่นังต้อยบอกว่าไม่ต้อง ให้แม่เก็บเอ็งไว้เลี้ยงเป็นลูก แทนลูกของแม่ที่เสียไป แม่จึงตัดสินใจเอาเอ็งมาเลี้ยงซะเอง และตั้งชื่อให้ว่าเป็นเอก...เรื่องทุกอย่างที่แม่เล่าคือเรื่องจริงทั้งนั้น”

“บอกผมทีสิครับแม่ ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แม่แค่สับสนอะไรบางอย่างใช่ไหมครับ บอกผมมาสิครับ” ชายหนุ่มปิดหน้าร้องไห้ น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมา ไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“ยอมรับความจริงเถอะลูก...เอ็งไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแม่ แม่แค่เก็บเอ็งมาเลี้ยง และถ้าเอ็งจะไปตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเอ็งแม่ก็ไม่ว่าอะไร แม่เข้าใจ” นางพูดพลางร้องไห้พลางอย่างเศร้าใจ

เป็นเอกปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะสั่นศีรษะ

“ไม่ครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมเติบโตที่นี่ เป็นลูกของแม่เพียร...ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจทิ้งผมตั้งแต่แบเบาะ ก็แล้วทำไมผมจะต้องไปตามหาพวกเขาด้วยล่ะครับ พวกเขาใจร้ายมากที่ทำกับลูกอย่างผมได้ ใจยักษ์ใจมารที่สุด”

ที่เขาพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าคนที่เอาเขามาทิ้งตั้งแต่แบเบาะก็คืออาเขยอย่างเขมนันท์ โดยคนที่วางแผนการก็คือประภา อาแท้ๆ ของเขา ไม่ใช่พ่อแม่ของเขา...แต่ในเมื่อเขายังไม่รู้ว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ เขาก็ยังคงคิดว่าคนที่เอาเขามาทิ้งก็คือพ่อแม่ของเขานั่นเอง

นางเพียรรีบปราม

“ไม่เอาลูก อย่าพูดแบบนี้ พ่อแม่ของเอ็งเขาอาจไม่ได้ตั้งใจเอาเอ็งมาทิ้งก็ได้”

“ไม่จริงหรอกครับ” ชายหนุ่มน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้งอย่างเสียใจ “ถ้าผู้หญิงคนนั้นเขาไม่อยากให้ผมเกิดมาลืมตาดูโลก แล้วทำไมเขาไม่เอาผมออกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเขาท้อง ทำไมเขาถึงให้ผมเกิดมาแล้วเอาผมมาทิ้งแบบนี้ ทำยังกับผมเป็นสิ่งของ ผมเกลียดพวกเขา”

“อย่าลูก...เป็นเอก...อย่าพูดแบบนี้ มันบาป”

“แล้วที่พวกเขาเอาผมมาทิ้งมันไม่บาปเหรอครับแม่ พวกเขาบาปยิ่งกว่าผมอีก”

“ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นพ่อแม่ของเอ็ง”

“เป็นพ่อแม่แล้วทำยังไงกับลูกก็ได้งั้นเหรอครับ”

“เอาเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้วนะลูก” นางแตะไหล่ลูกชายเบาๆ

เป็นเอกจึงหยุดร้องไห้ ปาดน้ำตาทิ้งแบบไม่ให้เหลือสักหยด แต่ตาแดง

แล้วนิชาภัทรก็เดินเข้ามา เห็นสองคนแม่ลูกนั่งคุยกันก็แปลกใจ

“อ้าว! ฉันนึกว่าน้าเพียรไปโรงพยาบาลแล้วซะอีก”

“กำลังจะไปแล้วล่ะ” นางเพียรบอกยิ้มๆ ก่อนจะถามว่า “แล้วนี่เอ็งมาทำไมเหรอ หึ!”

“ฉันว่าจะไปโรงพยาบาลด้วยจ้ะ ไปเป็นเพื่อน”

“อ้อ ถ้างั้นก็ไปเลยสิ” พูดจบนางก็ลุกขึ้น

แล้วนิชาภัทรก็สังเกตุเห็นตาของเป็นเอกแดง ก็เลยถามว่า

“ไอ้เอก...ทำไมตาของแกแดงวะ นี่อย่าบอกนะว่าแกร้องไห้”

“เปล่า...ไม่มีอะไร ก็แค่ฝุ่นเข้าตาฉัน รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ” เป็นเอกลุกตามแม่ ไปคว้ากระเป๋าเสื้อที่เตรียมเอาไปโรงพยาบาลด้วย เพราะคิดว่าต้องได้นอนที่โรงพยาบาลแน่ๆ

ทุกคนเดินออกมานอกบ้าน เป็นเอกล็อกประตู ก่อนจะบอกกับแม่และเพื่อนว่า

“ไปกันเถอะ”

แล้วก็เดินออกไปพร้อมกัน

ในที่สุดเป็นเอกก็ได้รู้ความจริงเสียที แต่เขายังไม่ยอมรับ เขายังมีอคติกับพ่อแม่แท้ๆ ของเขา เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันหนึ่งเขาได้เจอกับพ่อแม่ที่แท้จริง วันนั้นทุกอย่างจะกระจ่างเอง และตอนนี้เขาพยายามไม่แสดงสีหน้าเศร้าออกมาให้นิชาภัทรเห็น เขาเก็บไว้ในใจ รู้เพียงเขากับแม่เพียรเท่านั้น เพราะยังไม่อยากให้ใครรู้ด้วยนั่นเอง

 

หมอพานางเพียรไปทำคีโมแล้ว เป็นเอกให้นิชาภัทรนั่งรอแถวๆ เคาน์เตอร์จ่ายยา ส่วนเขาขอตัวออกไปเดินเล่นนอกโรงพยาบาล เขานึกถึงคำพูดของผู้เป็นแม่

‘ความจริงแล้วแม่ไม่ใช่แม่ที่ให้กำเหนิดเอ็งหรอก แต่แม่คือคนที่เก็บเอ็งมาเลี้ยง’

เขาเดินไปคิดไป

‘เมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว...แม่เป็นแม่ค้าขายผลไม้ที่ตลาดสด ตอนนั้นแม่เพิ่งจะสูญเสียสามีกับลูกแท้ๆ ของแม่ไป แม่เสียใจมาก แต่แม่ก็ยังไปขายผลไม้ตามปกติ พอขายเสร็จก็เดินกลับบ้าน เดินผ่านหลังตลาดได้ยินเสียงเด็กร้องข้างถังขยะ แม่กับนังต้อยจึงเข้าไปดูก็เห็นว่ามีเด็กถูกทิ้ง เด็กคนนั้นก็คือเอ็ง...เอ็งถูกวางในตะกร้า ตอนนั้นเอ็งยังตัวแดงๆ อยู่เลย เหมือนเพิ่งคลอด

และหน้าตาของเอ็งก็น่าเกลียดน่าชังมาก แม่ยังนึกสงสัยเลยว่าทำไมพ่อแม่แท้ๆ ของเอ็งถึงได้ใจร้ายใจดำเอาเอ็งมาทิ้งได้ลงคอ จิตใจทำด้วยอะไร...ตอนนั้นแม่จะเอาเอ็งไปให้ตำรวจ แต่นังต้อยบอกว่าไม่ต้อง ให้เก็บเอ็งไว้เลี้ยงเป็นลูกแทนลูกของแม่ที่เสียไป แม่จึงตัดสินใจเอาเอ็งมาเลี้ยงซะเองและตั้งชื่อให้ว่าเป็นเอก เรื่องทุกอย่างที่แม่เล่าคือเรื่องจริงทั้งนั้น’

แล้วชายหนุ่มก็พูดกับตัวเองว่า

“ถ้าพวกเขารักเรา อยากให้เราเกิดมาลืมตาดูโลก คงไม่เอาเรามาทิ้งข้างถังขยะหรอก พวกเขาใจร้ายใจดำมากที่ทำกับเราได้” พูดพลางร้องไห้พลางด้วยความเสียใจ

เขาเดินไปนั่งตรงม้าหินอ่อนที่ตั้งอยู่ตรงสวนหญ้าหน้าโรงพยาบาล และมีต้นไม้ร่มรื่น เป็นที่สำหรับญาติของคนไข้นั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย เขารีบปาดน้ำตาทิ้ง และถามตัวเองว่า

“แล้วเราจะร้องไห้ให้กับพวกเขาทำไม พวกเขาก็แค่คนใจร้ายก็เท่านั้นเอง”

แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใครเขาก็รีบกดรับสายทันที

“ว่าไง...ไอ้นิชา ฮะ! อะไรนะ อ้อ แม่ทำคีโมเสร็จแล้วเหรอ โอเค เดี๋ยวฉันจะรีบไป” แล้วก็วางสายไป

จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างเร่งรีบ แต่เมื่อเดินไปถึงประตูเลื่อนทางเข้าโรงพยาบาล เขาไม่ทันมองว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินเข้าไปเช่นกัน เพราะเดินอย่างเร่งรีบจึงชนเข้ากับอีกฝ่ายจนล้มลงทั้งคู่ เป็นเอกรีบขอโทษขอโพยคนที่เขาเดินชน

“ขอโทษครับ...ขอโทษครับ...ผมรีบไปหน่อย” แล้วก็ลุกขึ้น

อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นเช่นกันและบอกว่า

“ไม่เป็นไรครับ”

แล้วทั้งสองคนก็หันมามองหน้ากัน คนที่เป็นเอกเดินชนก็คือปาณัทนั่นเอง ทั้งปาณัทและเป็นเอกต่างมองหน้ากันอยู่สักครู่เพราะความตกตะลึงที่พวกเขามีหน้าตาเหมือนกัน โดยไม่รู้ว่าเป็นฝาแฝดกัน เหมือนกันมาก เหมือนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

เมื่อได้สติปาณัทก็ถามขึ้นก่อน

“ทำไมเราถึงได้หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้”

“นั่นสิครับ คุณกับผมไม่เคยรู้จักกัน และแน่นอนว่าพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ทำไมหน้าตาของพวกเราถึงได้เหมือนกัน ผมงงไปหมดแล้วครับ” เป็นเอกรู้สึกสับสนกับชีวิต

ปาณัทรีบดึงแขนเป็นเอกไปหลบคุยกันตรงมุมหนึ่งที่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าเท่าไหร่นัก

“ผมว่าพวกเราต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรสักอย่าง เพราะไม่อย่างงั้นพวกเราคงไม่มีทางหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ แต่พวกเราแค่ไม่รู้ก็เท่านั้นเอง”

“แต่ผมรับรองเลยว่า...ผมกับคุณไม่ได้เป็นญาติกันแน่นอน เพราะผมไม่รู้จักคุณ” เป็นเอกว่า

“คุณเอาอะไรมามั่นใจ” อีกฝ่ายถาม “คุณคิดดูสิ คนที่ไม่ได้เป็นฝาแฝดกัน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน...จะหน้าตาเหมือนกัน ราวกับพิมพ์เดียวกัน”

“ถ้างั้นพวกเราคงต้องสืบหาความจริง ว่าเพราะอะไรและทำไมพวกเราถึงได้หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ฝาแฝดกัน แต่ต้องเป็นการสืบแบบลับๆ เท่านั้นนะ”

“ใช่ พวกเราต้องสืบแบบลับๆ ให้ใครรู้ไม่ได้...เอ้อ...ว่าแต่คุณชื่ออะไร ผมน่ะชื่อปาณัท บวรเทพ ชื่อเล่นว่าปกป้องนะ”

“อ้อ ผมชื่อเป็นเอก”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เช่นกันครับ” สองหนุ่มจับมือกันและยิ้มให้กัน

แล้วปาณัทก็พูดขึ้นอีกด้วยความแปลกใจ

“ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนะครับ...ผมรู้สึกถูกชะตากับคุณตั้งแต่แรกเห็น มันบอกไม่ถูกเลย”

“ผมก็เหมือนกัน ได้เห็นหน้าคุณครั้งแรกก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนพวกเราเคยเจอกันมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก” เป็นเอกก็รู้สึกเช่นกัน

“เอาเถอะ ถ้าพวกเรารู้ความจริงเมื่อไหร่...เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าอะไรเป็นอะไร ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาล”

“อ้อ ผมพาแม่ของผมมาโรงพยาบาลครับ วันนี้หมอนัดมาทำคีโมครับ นี่ก็ทำเสร็จแล้ว”

“เอ้อ แม่ของคุณเป็นโรคมะเร็งเหรอครับ”

“ใช่ครับ เป็นโรคมะเร็งตับระยะที่สอง” เป็นเอกพยักหน้าเศร้า

ปาณัทจึงตบไหล่ให้กำลังใจเบาๆ

“ผมขอให้แม่ของคุณรักษาหายไวๆ นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้”

“ขอบคุณครับ ขอตัวก่อนนะครับ” เป็นเอกจะผละไป แต่ถูกเรียก

“เดี๋ยวก่อน”

อีกฝ่ายจึงหันกลับมา

“ว่าไงครับ”

“คุณต้องใส่หมวก ใส่แว่นตา และใส่หน้ากากอนามัย อำพรางตัว ไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเราหน้าตาเหมือนกัน...ผมมีของเหล่านั้นอยู่ที่รถ คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้” แล้วปาณัทก็เดินออกไปอย่างเร่งรีบ

ไม่นานนักชายหนุ่มก็เดินกลับมา พร้อมกับยื่นถุงใบหนึ่งให้เป็นเอก

“เอ้า! นี่”

“ขอบคุณครับ” เป็นเอกรับถุงมา ก่อนจะหยิบสิ่งของที่อยู่ในถุงออกมาใส่เพื่ออำพรางตัวเอง “เสร็จแล้ว...แล้วนี่ถุงของคุณ เอาคืนไป” ยื่นถุงเปล่าให้อีกฝ่ายคืน

“ไปได้ครับ” ปาณัทบอกยิ้มๆ

แล้วเป็นเอกก็ผละไปทันที ส่วนปาณัทก็ไปอีกทาง

สองพี่น้องฝาแฝดเจอกันแล้ว แต่ไม่รู้ความจริงว่าเป็นฝาแฝดกัน โดยคิดเพียงแค่ว่าคนหน้าเหมือนกันเท่านั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน...นั่นเพราะว่าปราภพกับพรรณนิภาไม่เคยบอกลูกชายว่ามีพี่น้องร่วมท้องเป็นฝาแฝด ปิดบังมาตั้ง ๒๐ กว่าปี เพราะมีความจำเป็นบางอย่าง แต่ก็เจอแล้ว...เจอก่อนพ่อแม่...ก็ไม่รู้ความจริงอีกอยู่ดี...แต่พวกเขาก็บอกกันและกันว่าจะพากันสืบหาความจริงว่าอะไรเป็นอะไร สืบแบบลับๆ ไม่ให้ใครรู้ สักวันต้องพวกเขาต้องรู้...ไม่นานความจริงจะต้องเปิดเผยแน่นอน

 

เป็นเอกเดินเข้ามาในโรงพยาบาลก็เจอผู้เป็นแม่กับนิชาภัทรนั่งรอตรงเคาน์เตอร์ เมื่อเดินมาถึงทั้งสองคน นิชาภัทรก็ถามผู้เป็นเพื่อนด้วยความแปลกใจ

“เฮ้ย! ไอ้เอก ทำไมแกต้องอำพรางตัวเองด้วยวะ ทำอย่างกับเป็นดาราอย่างนั้นแหละ”

“เออ แกไม่ต้องรู้หรอก ฉันมีความจำเป็นก็แล้วกันน่ะ” ชายหนุ่มตอบปัดๆ ไป ก่อนจะบอกกับแม่ว่า “ผมไปชำระค่ารักษาก่อนนะครับแม่”

“เดี๋ยว! เอก...เอ็งมีเงินเหรอ” นางเพียรถาม

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“มีสิแม่ ตั้งแต่ผมได้เป็นเชฟ ผมมีเงินเก็บในบัญชีตั้งเยอะแยะ เงินเดือนเชฟแพงด้วย...ว่าแต่แม่เป็นยังไงบ้างครับ หลังทำคีโม”

“ยังไม่มีอาการอะไรหรอกลูก”

“อ้อครับ ถ้างั้นผมขอตัวไปชำระค่ารักษาแม่ก่อนนะ” แล้วก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ทันที

คล้อยหลังเป็นเอก...นิชาภัทรก็พูดกับนางเพียร

“วันนี้ไอ้เอกมันดูแปลกๆ นะจ๊ะน้าเพียร”

“เอ็งคิดมากไปได้ ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย” นางสั่นศีรษะ

“แต่...” หญิงสาวกำลังจะพูดต่อ

แต่เป็นเอกก็เดินกลับมาก่อน

“ชำระเงินเสร็จแล้ว กลับบ้านกันเถอะ ค่อยๆ ลุกนะแม่” เขาประคองผู้เป็นแม่ให้ลุกขึ้น

จากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกไป แต่นิชาภัทรยังไม่หายสงสัยว่าทำไมเป็นเอกถึงต้องอำพรางตัวเอง เหมือนไม่อยากให้ใครเห็น หรือว่าเขาไปทำอะไรผิดมา เธอก็ได้แต่เดาไปสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่

 

 

วันถัดมา...ปาณัทกลับมาบ้านในตอนบ่าย ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปค้นหาความจริงในห้องนอนของพ่อกับแม่ ซึ่งวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ทางสะดวกสำหรับเขา เมื่อเข้าไปในห้องก็จัดการล็อกประตู ก่อนจะเริ่มเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงนอนค้นหา ก็ยังไม่พบอะไร เขาจึงไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของห้อง แต่ก็ไม่พบอีกอยู่ดี แล้วเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้

“ห้องทำงานของคุณพ่อ...ใช่เลย...ไปหาที่ห้องทำงานของคุณพ่อ”

แล้วเขาก็เดินออกไปจากห้องนอนของพ่อแม่ เดินไปที่ห้องทำงานของผู้เป็นพ่อที่อยู่ชั้นล่าง ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปในห้อง ล็อกประตู ก่อนเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ทำงานของผู้เป็นพ่อ ลองเปิดลิ้นชักดูก็เปิดไม่ออก เพราะลิ้นชักถูกล็อก

“โธ่เอ๊ย! ลิ้นชักก็ถูกล็อกอีก แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย ไปค้นหาที่ไหนดี” เขากุมขมับอย่างใช้ความคิด แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสมุดไดอารี่วางอยู่บนโต๊ะ ข้างๆ คอมพิวเตอร์ เขารีบหยิบมาดูและเปิดอ่าน ในสมุดถูกเขียนด้วยลายมือของปราภพว่า

‘ปิติกร บวรเทพ...ลูกชายฝาแฝดอีกคนของพ่อ ถูกขโมยไปตั้งแต่ยังเป็นทารกที่โรงพยาบาล โดยไม่รู้ว่าคนที่ขโมยเป็นใครและต้องการอะไร...เวลาผ่านไปยี่สิบหกปีก็ยังสืบหาตัวคนร้ายไม่พบ เพราะสมัยนั้นไม่มีกล้องวงจรปิดจึงตามหาตัวคนร้ายยากหน่อย และไม่รู้ว่าลูกปิติกรของพ่อป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง

มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายหรือมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก พ่อจ้างให้คนตามหาลูกแต่ก็ยังไม่พบ ลูกอยู่ที่ไหนกันแน่ และต่อให้พลิกแผ่นดินหาลูกพ่อก็จะทำ ไม่มีวันไหนเลยที่พ่อกับแม่จะไม่คิดถึงลูก รวมถึงคุณย่าท่านก็คิดถึงลูกเหมือนกัน และถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่หวังว่าอีกไม่นานพวกเราคงจะได้พบกันนะ...นี่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้บอกตาป้องเลยว่าเขามีน้องชายฝาแฝด เพราะพ่อกับแม่มีเหตุผลบางอย่าง

พ่อกับแม่ไม่อยากให้ตาป้องรู้เพราะกลัวกระทบกับเรื่องงาน ตอนนี้เขาเป็นประธานบริษัทแล้ว กลัวถ้าเขารู้เขาจะไม่มีจิตใจทำงานหรืออาจช่วยพ่อกับแม่ตามหาลูก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นงานในบริษัทมันจะยิ่งเชื่องช้า พ่อจะรอให้งานเปิดร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยผ่านไปก่อนแล้วพ่อจะหาโอกาสบอกตาป้องให้รู้ และอธิบายให้เขาเข้าใจเอง อ้อ และอีกหนึ่งเหตุผลที่พ่อยังไม่อยากบอกก็คือพ่อกลัวว่าถ้าบอกไป ถ้าแม่ของลูกรู้สภาพจิตใจของเขาจะยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม จึงรอเวลาที่เหมาะสมถึงจะบอกได้...จากพ่อปราภพ บวรเทพ...เขียนถึงลูกชายฝาแฝดอีกคน’

เมื่อได้อ่านข้อความที่ผู้เป็นพ่อเขียนบันทึกไว้ในสมุดไดอารี่ปาณัทก็ถึงกับอึ้งไป นี่เขามีพี่น้องฝาแฝดจริงๆ หรือ สิ่งที่เขาสงสัยกลับเป็นจริง นั่นก็แสดงว่าเป็นเอกก็คือพี่น้องฝาแฝดของเขาจริงๆ ถึงได้หน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะ เหมือนจนแยกไม่ออก เหมือนพิมพ์เดียวกัน ถึงว่าสิ! คนอะไรจะหน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน...วันนี้ได้รู้ความจริงทุกอย่างแล้ว มันกระจ่างชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ที่แท้เป็นเอกก็คือน้องชายฝาแฝดของเขา ที่ถูกพลัดพรากจากกันตั้งแต่ยังเป็นทารก มิน่าล่ะ เขากับเป็นเอกถึงได้ถูกชะตากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เขาถึงกับยิ้มดีใจ

“นี่เรามีพี่น้องฝาแฝดจริงๆ เหรอ นั่นก็แสดงว่าเป็นเอกก็คือน้องชายฝาแฝดของเราสินะ...ทุกคนปิดบังเรามาตั้งแต่ยี่สิบกว่าปี นี่ถ้าไม่ได้อ่านข้อความที่พ่อเขียนบันทึกไว้ในสมุดไดอารี่ก็คงไม่รู้ความจริง...แต่พ่อกับแม่ก็มีเหตุผลที่ไม่บอกเรา...มิน่าล่ะ เรากับเป็นเอกถึงได้ถูกชะตากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ก็เพราะพวกเราเป็นฝาแฝดกันนี่เอง” แล้วเขาก็ปิดสมุดไดอารี่ เอาไปเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะได้รู้ความจริงทุกอย่าง...ความสงสัยของเขาได้ถูกเปิดเผยแล้ว เขาดีใจมาก และยินดีมากที่มีพี่น้องอย่างเป็นเอก

 

วันใหม่...วันนี้ปาณัทขอหยุดอยู่บ้านครึ่งวัน เพราะมีคำถามจะถามพ่อกับแม่ ชายหนุ่มรู้ความจริงอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของพวกท่าน เพราะฉะนั้นวันนี้เขาจึงเข้าไปหาพ่อกับแม่ในห้องนอน โดยเคาะประตูก่อน

“ขออนุญาตเข้าไปนะครับ คุณพ่อคุณแม่”

“เข้ามาได้เลยลูก พ่อไม่ได้ล็อกประตู” ปราภพบอก

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปาณัทเดินเข้ามา เขาเห็นพ่อกับแม่นั่งคุยกันอยู่บนเตียง เขาจึงไปเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องมานั่งข้างๆ เตียง

“มีอะไรหรือเปล่าลูก” พรรณนิภาถามลูกชายอย่างแปลกใจ

อีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออก จากนั้นก็พูดกับพ่อและแม่ว่า

“ผมขอถามคุณพ่อกับคุณแม่ตรงๆ นะครับ และคุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องตอบผมตรงๆ เหมือนกันครับ”

“ว่ามาลูก” พรรณนิภาบอกยิ้มๆ

แต่ปราภพกลับสงสัยลูกชาย

“ทำไมวันนี้พ่อว่าแกดูแปลกๆ แกมีอะไรหรือเปล่าฮึ! ตาป้อง”

ชายหนุ่มจึงตัดสินใจยิงคำถามออกไปทันที

“เอ้อ...ผมมีพี่น้องฝาแฝดจริงหรือเปล่าครับคุณพ่อคุณแม่”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินที่ลูกชายถามก็ถึงกับอึ้งไป แสดงว่าลูกชายต้องไปรู้อะไรมาแน่ๆ ถึงได้ถามออกมาเช่นนี้

“ทำไมแกถึงถามแบบนี้ล่ะ แกไปรู้อะไรมาเหรอตาป้อง” ปราภพมองหน้าลูกชายอย่างสงสัยระคนแปลกใจ

พรรณนิภาก็ถามลูกชาย

“นั่นสิจ๊ะ ทำไมอยู่ๆ ลูกถึงได้ถามพ่อกับแม่แบบนี้ล่ะ”

ปาณัทจึงบอกอีกว่า

“เอ้อ...วันนั้นผมไปเจอคนหน้าเหมือนผมที่โรงพยาบาลครับ เหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน นี่ถ้ามีคนเห็นก็จะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร...ผมก็เลยสงสัยว่าผมมีพี่น้องฝาแฝดหรือเปล่าครับ เมื่อวานผมก็เลยแอบเข้าไปในห้องทำงานของคุณพ่อ ก็เลยเจอเข้ากับสมุดไดอารี่ของคุณพ่อ ผมก็เลยตัดสินใจหยิบมาเปิดอ่านดู ก็เห็นข้อความยาวเหยียด...ข้อความในสมุดมีเนื้อหาเขียนถึงลูกชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมยไปเมื่อ ยี่สิบหกปีที่แล้ว ผมขอโทษนะครับคุณพ่อที่เสียมารยาทเปิดอ่าน แต่เพราะผมอยากรู้ความจริงว่ามันเป็นยังไงกันแน่ ผมก็เลยต้องทำแบบนั้นครับ”

“ไม่เป็นไรลูก...ในเมื่อแกรู้ความจริงก็ดีแล้ว พ่อก็ไม่อยากปิดบังแกอีกต่อไปแล้ว นี่พ่อกะว่าจะให้งานเปิดร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยผ่านไปก่อนแล้วจะบอกเรื่องนี้กับแก แต่แกมารู้ก่อน...” ผู้เป็นพ่อว่า

ผู้เป็นแม่น้ำตาไหลพรั่งพรู พูดกับลูกชาย

“แม่ขอโทษนะลูก ที่แม่ปิดบังความจริงกับลูกมานานถึงยี่สิบกว่าปี เพราะความจำเป็น...แม่ยังไม่ลืมความเจ็บปวดเมื่อตอนนั้นที่ถูกขโมยลูกชายฝาแฝดอีกคนไป สภาพจิตใจของแม่ย่ำแย่มาก ที่แม่ยังไม่อยากบอกให้ลูกรู้ก็เพราะแม่กลัวว่าสภาพจิตใจของแม่จะยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม เพราะถูกกระตุ้นความเจ็บปวดที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน แม่...”

“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมเข้าใจครับ...และผมก็รู้เหตุผลทุกอย่างที่คุณพ่อเขียนเอาไว้ ว่าเพราะอะไรคุณพ่อกับคุณแม่ถึงไม่ยอมบอกผมเรื่องฝาแฝด...และผมไม่เสียใจเลย กลับดีใจด้วยซ้ำที่รู้ว่ามีพี่น้องร่วมท้อง แถมยังเป็นฝาแฝดอีกต่างหาก” เขาพูดพลางยิ้มพลางด้วยความดีใจ “แล้วผมก็ได้พบน้องชายฝาแฝดของผมที่ถูกพลัดพรากจากกันตั้งแต่ยังเป็นทารก ตอนแรกที่เห็นเขาผมก็อึ้งไป ถึงกับงงว่าทำไมเขาถึงหน้าตาเหมือนผมได้ขนาดนี้ ผมก็เลยสงสัยว่าผมกับเขาต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นผมกับเขาคงไม่ได้หน้าตาเหมือนกันแบบนี้ ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เหมือนจนแยกไม่ออก”

“นี่แกเจอเขาแล้วเหรอตาป้อง” ปราภพถามอย่างตื่นเต้น

พรรณนิภารีบปาดน้ำตาทิ้ง พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“ลูกเจอน้องชายฝาแฝดของลูกแล้วใช่ไหม แล้วเขาอยู่ที่ไหนจ๊ะ”

“ผมไปเจอเขาที่โรงพยาบาลครับ แต่ไม่ได้ถามว่าบ้านเขาอยู่แถวไหน แต่เขาชื่อเป็นเอกครับ”

“แล้วทำยังไงถึงจะรู้ที่อยู่ของเขาล่ะ” ผู้เป็นพ่อถาม

ปาณัทจึงบอกว่า

“เดี๋ยวผมจะไปถามประวัติของคนไข้ คือเป็นเอกเขาพาแม่ของเขา...เอ้อ...ผมหมายถึงแม่ที่เก็บเขาไปเลี้ยงน่ะครับ เขาพาไปรักษาที่โรงพยาบาล เดี๋ยวผมจะไปถามประวัติของแม่ที่เลี้ยงเป็นเอกที่โรงพยาบาลครับ”

“แล้วทางโรงพยาบาลเขาจะยอมบอกเหรอลูก ชื่อนามสกุลของผู้หญิงคนนั้นลูกรู้ไหมจ๊ะ”

“เอ้อ...จริงด้วยครับ ผมลืมไปเลยครับคุณแม่ ผมไม่รู้จักชื่อของผู้หญิงคนนั้น” ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ “แต่ผมจะพยายามตามหาให้พบครับ พวกเขาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ นี่แหละครับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ อ้อ แต่ผมคิดว่าเป็นเอกต้องพาผู้หญิงคนนั้นมารักษาที่โรงพยาบาลอีกแน่นอนครับ”

“แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะพาแม่ที่เลี้ยงเขามารักษาตอนไหนนี่” ปราภพว่า

“ไม่ยากหรอกครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมให้น้องรินช่วยดูให้ เพราะน้องรินก็ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่แล้วครับ”

“ดีจ้ะลูก แม่อยากพบเขาเหลือเกิน อยากให้พวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสี่คน และไม่อยากให้พรากจากกันไปไหนอีก” พรรณนิภายิ้มให้สามีกับลูกชาย

ผู้เป็นลูกชายจึงบอกว่า

“ไม่นานครับคุณแม่...”

“จ้ะ แม่จะรอ”

“พ่อก็รอ”

ในตอนนี้ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกต่างก็ยิ้มแย้มดีใจที่ฝาแฝดอีกคนยังมีชีวิตอยู่ และคงอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เพราะอีกฝ่ายพาแม่ที่เก็บเขามาเลี้ยงมารักษาที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็คงอยู่ในกรุงเทพฯ และอาจพากลับมารักษาอีก...ใบหน้าของทั้งสามคนมีความหวังล้นเปี่ยม หวังที่จะได้เจอฝาแฝดอีกคนที่ถูกพลัดพรากไปตั้งแต่ยังเป็นทารก

และขณะที่พ่อแม่ลูกคุยกันอยู่ในห้องก็มีใครคนหนึ่งแอบฟังอยู่ข้างนอกห้อง คนคนนั้นก็คือประภา เธอได้ยินทุกคำที่ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทคุยกัน เธอกำมือแน่นด้วยความแค้น

“นี่ไอ้เด็กแฝดอีกคนมันยังไม่ตายอีกเหรอ แล้วไอ้ป้องมันก็ได้เจอน้องชายฝาแฝดของมันแล้ว โธ่เอ๊ย! ถ้าไอ้ฝาแฝดอีกคนกลับมา ทรัพย์สมบัติก็ต้องถูกแบ่งเพิ่มอีกส่วน ทีนี้ละวุ่นวายแน่ๆ ไม่ได้การละ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างไม่ให้พวกมันได้เจอกัน” เธอยิ้มอย่างมีแผน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.