แม่คุณปากเก่ง
“ฮึ! ยิ้มหน้าระรื่นเชียวนะ คงดีใจที่คุณพ่อให้ไปทำงานในบริษัทสินะ ก็อย่างว่าแหละ คนมันเคยอยู่แต่ในที่ต่ำๆ พอได้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงมันก็จะระริกระรี้หน่อย” อติวิชญ์พูดแขวะใส่วรเมธเมื่ออีกฝ่ายกลับมาบ้านในตอนเย็น
เพราะก่อนที่จะเดินไปถึงตึกเล็กก็ต้องเดินผ่านตึกใหญ่ ดังนั้นอติวิชญ์จึงมายืนรอหาเรื่องเขา เพราะไม่ชอบเขา
“ก็เป็นธรรมดาครับ อยู่ในที่ต่ำนานๆ มันดูอึดอัดแย่ พอได้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงมันก็เลยดูโล่งสบายไปเลยครับ” ขณะที่พูดวรเมธก็ยิ้มให้อีกฝ่าย
อติวิชญ์หัวเราะเยาะ
“ฮึ! นี่แกคงเผยธาตุแท้ของแกออกแล้วสินะ ฉันก็ว่าแล้วเชียว ว่าคนอย่างแกน่ะมันก็ไม่ได้เป็นคนดีซะเท่าไหร่หรอก คนอย่างแกมันก็เหมือนคนทั่วไปที่ชอบใฝ่สูง ชอบทะเยอทะยาน โธ่! นึกว่าฉันไม่รู้ทันแกหรือไงวะ”
“คนอย่างผมน่ะถ้าใครดีมาผมก็ดีกลับ แต่ถ้าใครร้ายมาผมก็ร้ายกลับเหมือนกัน เพราะคนอย่างผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะยอมให้คนอื่นรังแกอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ทำอะไรเลย ใครจะยอมก็ยอมไป แต่ผมไม่ยอมหรอก” โต้ตอบทันที
แล้วอีกฝ่ายก็ผลักไหล่วรเมธอย่างแรงจนเกือบล้ม แต่เขาทรงตัวไว้ได้ อีกฝ่ายหัวเราะเย้ย
“ถ้าแกไม่ยอมแล้วแกจะทำอะไรฉัน หา! ไอ้ลูกขี้ข้า แกจะต่อยฉันหรือไงวะ”
“ก็ไม่แน่ ถ้าคุณวิชญ์ทำให้ผมหมดความอดทนผมก็อาจจะทำอย่างที่คุณพูดก็ได้”
“เหรอ...ถ้างั้นแกก็ทำเลยสิ ทุกคนจะได้รู้ไงว่าแกเป็นคนที่ชอบเสแสร้ง ความจริงแล้วแกมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนักหรอก แกมันก็ชอบสร้างภาพให้คนอื่นคิดว่าแกเป็นคนดีเท่านั้นแหละ” อติวิชญ์ยิ้มเยาะ
แล้วอีกฝ่ายก็ถามกลับว่า
“แล้วคุณวิชญ์คิดว่าตัวเองดีแค่ไหนครับ”
“ฉันก็ดีกว่าแกก็แล้วกันโว้ย”
“คนดีที่ไหนชอบหาเรื่องคนอื่น คนดีเขาชอบพูดจาดีๆ ไม่ใช่พูดจาแบบจิกกัดเหมือนอย่างที่คุณวิชญ์ทำอยู่ตอนนี้ แบบนี้เขาเรียกว่าคนพาลซะมากกว่านะครับ...ผมขอตัวก่อนนะครับ ขี้เกียจทะเลาะกับคุณ” วรเมธหันหลังจะเดินไปที่ตึกเล็ก
แต่ก็ใช่ว่าอติวิชญ์จะยอมให้ไปง่ายๆ ชายหนุ่มดึงไหล่อีกฝ่ายให้หันกลับมาแล้วมองอย่างไม่พอใจ
“แกว่าฉันเสร็จแล้วแกคิดจะเดินหนีงั้นเหรอ หา! ไอ้ลูกขี้ข้า”
“หนึ่งคำก็ลูกขี้ข้า สองคำก็ลูกขี้ข้า เป็นลูกขี้ข้าแล้วมันยังไงครับ มันหนักหัวคุณวิชญ์นักเหรอครับ ถึงยังไงผมกับคุณวิชญ์ก็เกิดมาจากน้ำเชื้อตัวเดียวกัน”
“ถ้าฉันเลือกได้ฉันจะไม่อยากเกิดมามีพ่อคนเดียวกับแกโว้ย”
“แต่มันเลือกไม่ได้น่ะสิครับ เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องยอมรับมัน...ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มดึงมือของอติวิชญ์ออกจากไหล่ตัวเองแล้วยิ้มให้อย่างเป็นต่อก่อนจะหันเดินออกไป
แต่แล้วจู่ๆ อติวิชญ์ก็ดึงไหล่วรเมธให้หันกลับมาแล้วจัดการต่อยจนเลือดกบปาก เพราะหมั่นไส้มานาน หมั่นไส้ที่วรเมธได้เป็นลูกรักของบิดาคนเดียว บิดารักแต่วรเมธ อะไรๆ ก็เรียกหาแต่วรเมธ ขนาดงานในบริษัทยังเรียกให้วรเมธไปช่วยเลย จนเขาเองก็สงสัยว่าตัวเองยังเป็นลูกของพ่ออยู่ไหม แค่คิดชายหนุ่มก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว แต่เขาแค้นใจวรเมธมากกว่า
“ที่ฉันต่อยแกเพราะฉันหมั่นไส้แก แหม ชอบประจบเอาใจคุณพ่อ จนตอนนี้คุณพ่อแทบไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา แทบไม่คิดว่าฉันเป็นลูกเลยด้วยซ้ำ เขาน่ะรักแต่แกคนเดียว ไอ้เมธ...” ชายหนุ่มระบายความในใจ “แล้วตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ณิสไปอยู่ที่ไหน ถ้าพี่ณิสอยู่เขาจะช่วยฉันจัดการแก ไม่งั้นแกคงโดนคูณสองแน่”
วรเมธถูกต่อยจนเซแต่ไม่ถึงกับล้ม เขาสามารถทรงตัวไว้ได้ ตรงมุมปากมีเลือดไหลแต่ไม่ถึงกับเยอะมาก เขาเอามือปาดเลือดออกแล้วมองหน้าอติวิชญ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ใช่มองด้วยความเคียดแค้นแต่อย่างใด เขากลับยิ้มให้อีกฝ่ายอีกต่างหาก
“ผมว่าคุณวิชญ์สู้เอาเวลาที่มาต่อยผมไปดูแลเอาใจใส่คุณพ่อดีกว่าไหมครับ หรือไปช่วยงานคุณพ่อที่บริษัท ถ้าคุณวิชญ์อยากให้คุณพ่อรักอยากให้คุณพ่อภูมิใจคุณวิชญ์ก็ต้องไปช่วยงานท่านนะครับ...ผมฝากไว้ให้คิด”
“แกไม่ต้องสะเออะมาสอนฉัน ไอ้ลูกขี้ข้า”
“ผมไม่ได้สอน ผมแค่บอกคุณเฉยๆ ถ้าคุณไม่อยากให้คุณพ่อภูมิใจก็ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องทำตามที่ผมบอกก็ได้...อ้อ ผมไม่ได้โกรธที่คุณต่อยผมหรอกนะครับ แล้วผมก็จะไม่ใช่วิธีตอบโต้เดียวกับคุณ เพราะมันจะเสียแรงเปล่า สู้เอาแรงไปทำอะไรที่มันมีสาระจะดีกว่า” พูดจบวรเมธก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
อติวิชญ์ตะโกนตามหลังอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
“ไอ้เมธ แกกลับมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อนนะโว้ย กลับมาสิวะ โธ่โว้ย!...กูบอกให้มึงกลับมา กูไม่มีวันยอมแพ้มึงหรอก ไอ้ลูกขี้ข้าเอ๊ย”
ที่ไร่ ‘พงศ์พิริยะศักดา’ ในตอนเย็น หญิงสาวที่ความจำเสื่อมขณะนี้มีชื่อเรียกแล้วนั่นก็คือ ‘จี๊ด’ เป็นชื่อที่ตะวันฉายตั้งให้ ที่ชายหนุ่มให้หล่อนชื่อนี้คงเป็นเพราะว่าเขาเห็นหล่อนชอบขี้โมโห ชอบเอะอะโวยวายด้วยกระมัง เขาก็เลยคิดชื่อนี้ให้หล่อน แล้วอีกอย่าง ชื่อนี้ก็เป็นชื่อที่เรียกง่ายด้วย เรียกแค่สั้นๆ เท่านั้นเอง
จี๊ดตื่นนอนในตอนเย็นก็อาบน้ำแปรงฟันเพื่อที่จะออกไปหาอะไรกินที่บ้านของ ‘นายปากมอม’ เป็นคำที่เธอใช้เรียกตะวันฉาย เพราะเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับเขาก็เลยเรียกเขาอย่างนี้นั่นเอง
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วหล่อนก็เดินออกจากห้องนอน พอดีกับที่ตะวันฉายเปิดประตูหน้าบ้านเข้ามา ชายหนุ่มถือข้าวของพะรุงพะรัง ในมือของเขามีมากมายหลายถุงเลย ของที่อยู่ในถุงนั้นคืออาหาร มีทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง เขาเอามาให้จี๊ด
เมื่อเห็นตะวันฉายหญิงสาวก็โวยวายลั่น
“นี่นาย กล้าดียังไงถึงเข้ามาในบ้านฉัน หา!”
“คุณพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ที่นี่คือที่ของผม แล้วบ้านหลังนี้คือบ้านของผม ส่วนคุณน่ะก็แค่ผู้อาศัยเท่านั้นแหละ” ตะวันฉายยิ้มยียวนใส่อีกฝ่าย
จี๊ดถึงกับหน้าแตก แต่ก็ใช่ว่าหล่อนจะยอมเสียเมื่อไหร่
“ถึงฉันจะเป็นแค่ผู้อาศัย แต่ในเมื่อฉันเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วก็เท่ากับว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของฉันย่ะ...บ้านชั่วคราวน่ะ”
“คนอะไรขี้ตู่ชะมัด บอกว่าบ้านคนอื่นเป็นบ้านของตัวเอง อายปากบ้างมั้ยครับคุณผู้หญิง”
“นี่นาย...” หล่อนโกรธจนตัวสั่นเลยละ
อีกฝ่ายยิ้มกวนๆ ใส่หญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะยื่นถุงอาหารให้หล่อน
“ผมไม่ได้จะมาชวนคุณกัด เอ๊ย ผมไม่ได้จะมาชวนคุณทะเลาะหรอกนะ ผมแค่จะเอาของมาให้คุณทำกินเอง นั่นห้องครัว...” ชายหนุ่มชี้ไปทางห้องครัวอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก “ในห้องครัวมีอุปกรณ์ทำกินครบ ทั้งกระทะ ตะหลิว หม้อหุงข้าว หม้อต้มแกง จานชามกะละมัง แล้วก็อื่นๆ อ้อ ตู้เย็นก็มี เดี๋ยวคุณเอาข้าวของพวกนี้เข้าตู้เย็นนะ”
“เดี๋ยวนะ นี่นายจะให้ฉันหุงข้าวและทำกับข้าวเองงั้นเหรอ” จี๊ดทำหน้าเหวอๆ
คนถูกถามพยักหน้า
“ใช่ คุณเข้าใจถูกแล้ว”
“นายจะบ้าเหรอ ฉันทำไม่เป็น”
“ถ้างั้นก็อด...เอ้านี่” เขายัดถุงอาหารใส่มือหล่อน
“แต่ฉันกำลังป่วยอยู่นะ ฉันคงทำเองไม่ได้” หล่อนว่า
แต่ตะวันฉายกลับแค่นหัวเราะ
“ป่วยที่ไหนกัน คุณแค่ความจำเสื่อม ส่วนแขนขาของคุณไม่ได้เสื่อมตามสมอง เพราะฉะนั้นคุณทำอะไรกินเองได้ โอเคนะ”
“ให้ฉันไปกินกับนายที่บ้านไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้!”
“ทำไมล่ะ”
“ผมเกรงว่าถ้าคุณอยู่เฉยๆ รอกินอย่างเดียวเดี๋ยวจะกลายเป็นง่อย คุณทำกินเองน่ะดีแล้ว ข้าวของผมก็ซื้อมาให้แล้ว”
“คนอะไรใจร้ายจริงๆ”
“ผมเนี่ยนะใจร้าย”
“ก็ใช่น่ะสิยะ”
“ถ้าผมใจร้ายคุณก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอก ป่านนี้คุณคงได้ไปอยู่ที่อื่นแล้ว...ฝากไว้ให้คิด”
“แล้วฉันต้องขอบใจนายมั้ยล่ะ”
“อ้อ แน่นอน คุณต้องขอบใจผมสิ”
“ชาติหน้าเถอะย่ะ”
“ชาติหน้ามันนานไป เอาชาตินี้แหละ”
“เชอะ!” หล่อนสะบัดหน้าใส่เขา
ตะวันฉายแอบขำหญิงสาว จนกระทั่งเจ้าตัวรู้ตัวว่าถูกขำจึงถามอย่างไม่พอใจ
“ขำอะไรไม่ทราบยะ”
“เปล๊าาา” ปฏิเสธเสียงสูง “อ้อ เดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนนะ อยากกินอะไรก็ทำเอาเองเลย”
“นี่นายจะให้ฉันทำกินเองจริงๆ เหรอ”
“ใช่!”
“เออ ก็ได้ ฉันทำกินเองก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อนายเลย”
“ดี!”
“เชอะ!” หล่อนสะบัดหน้าใส่เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวทันที
ชายหนุ่มจึงตะโกนตามหลังว่า
“อย่าสะบัดบ่อยนักนะ เดี๋ยวคอมันจะหลุดไม่รู้ด้วยนะ” พูดจบเขาขำ แล้วเดินออกไปจากเรือนรับรองทันที
ทางด้านจี๊ด...เมื่อเข้ามาในครัวหล่อนก็จัดการเอาของเข้าตู้เย็นทันที ก่อนจะมายืนคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินดี เพราะหล่อนทำอะไรไม่เป็นเลย แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเพราะในสมองยังระบมอยู่ เมื่อคิดทีไรหล่อนก็ปวดศีรษะทุกที เพราะฉะนั้นหล่อนจึงหยุดคิดไปเลย
ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดอะไรไม่ออกก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้า
“นายนั่นจะมาทำไมอีกเนี่ย” หล่อนคิดว่าตะวันฉายมาหาหล่อนอีก หล่อนจึงเกิดความโมโหขึ้นมาทันใด แล้วก็เดินออกไปจากห้องครัวเพื่อไปเปิดประตูหน้าบ้าน เมื่อเปิดประตูแล้วหล่อนก็ตะโกนใส่หน้าคนเคาะโดยไม่มองหน้า “นี่นาย จะกลับมาทำไมอีก หา! จะมาเยาะเย้ยฉันหรือไงยะ”
“ขอโทษนะคะ ใครจะมาเยาะเย้ยคุณเหรอคะ” คนที่มาหาจี๊ดไม่ใช่ตะวันฉาย แต่กลับเป็นป้าจิตต่างหากเล่า
จี๊ดมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสูงวัยไม่ใช่ตะวันฉายก็ยิ้มแห้งๆ อย่างอายๆ ก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ หนูขอโทษต้องป้าด้วยนะคะ หนูคิดว่าป้าเป็นนายนั่น ว่าแต่ป้าเป็นใครเหรอคะ”
“ป้าชื่อป้าจิต ป้าเป็นแม่บ้านและแม่ครัวของไร่นี้ค่ะ” ป้าจิตตอบยิ้มๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู
อีกฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น
“จริงเหรอคะ ถ้างั้นป้าก็เป็นลูกจ้างของนายนั่นสิคะ”
“คุณหมายถึงคุณตะวันฉายเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ นายนั่นแหละ”
“ถ้างั้นก็ใช่ค่ะ ป้าน่ะเป็นลูกจ้างของคุณตะวันฉาย อยู่ที่นี่มานานแล้ว เป็นทั้งแม่บ้านคอยทำความสะอาดบ้านให้คุณตะวันฉายและทำอาหารให้คนงานในไร่กินกันค่ะ”
“อ้อค่ะ” หล่อนพยักหน้าเข้าใจ “เอ้อ แล้วนี่ป้าจิตมาหาหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ้อ คือคุณตะวันฉายให้ป้ามาช่วยสอนคุณทำกับข้าวและหุงข้าวน่ะค่ะ”
“นายนั่นเนี่ยนะคะให้ป้ามาช่วยสอนหนูทำกับข้าว ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ เมื่อกี้เขายังบอกว่าให้หนูทำเองเลยค่ะ”
“เชื่อเถอะค่ะ คุณตะวันฉายเธอบอกป้าอย่างนั้นจริงๆ นะคะ”
“หนูจะเชื่อก็ได้ค่ะ ถึงยังไงหนูก็ต้องขอบคุณคุณป้ามากนะคะที่มาช่วยสอนหนูทำกับข้าว” จี๊ดยกมือไหว้ขอบคุณผู้สูงวัยกว่า
อีกฝ่ายรับไหว้ยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ยินดีค่ะ เอาละค่ะ ไปทำกับข้าวกันดีกว่านะคะ นี่มันก็จะมืดแล้ว”
“ค่ะ ไปค่ะ” หล่อนเดินนำหน้าเข้าไปก่อน แล้วป้าจิตก็เดินตามไป
เมื่อเข้ามาถึงในห้องครัวแล้วแม่บ้านสูงวัยก็จัดการเอาของที่จะใช้ทำอาหารออกจากตู้เย็นพลางบอกจี๊ดว่า
“วันนี้ป้าจะสอนคุณจี๊ดทำแค่เมนูง่ายๆ ก่อนนะคะ”
“ป้าจิตคะ ป้าจิตอย่าเรียกหนูว่าคุณเลยค่ะ มันฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้ค่ะ” หญิงสาวว่า
แม่บ้านสูงวัยโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ได้สิคะ คุณจี๊ดเป็นคนที่คุณตะวันฉายช่วยเหลือและดูแล นั่นก็เท่ากับว่าคุณจี๊ดเป็นเพื่อนคุณตะวันฉายค่ะ เพราะฉะนั้นป้าต้องให้เกียรติคุณเหมือนที่ให้เกียรติเจ้านายของป้าค่ะ”
“ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านายของป้าคะ ปากมอมซะอย่างนั้น”
“ทำไมคุณจี๊ดถึงเรียกคุณตะวันฉายเธออย่างนั้นคะ”
“ก็หนูไม่ชอบเจ้านายของป้านี่คะ คนอะไรไม่รู้ปากมอมชะมัด”
“คุณตะวันฉายเธอไปพูดอะไรให้คุณจี๊ดโกรธหรือไม่พอใจคะ คุณจี๊ดถึงไม่ชอบเธอ”
“นายนั่นชอบมาทำปากมอมใส่หนูค่ะป้า หนูก็เลยไม่ชอบ”
“ความจริงคุณตะวันฉายเธอเป็นคนดีนะคะ เธอรักคนงานทุกคน แล้วเธอก็อัธยาศัยดีกับทุกคนเช่นกันค่ะ เธอไม่ใช่คนปากเสียอะไร แถมเธอยังเป็นคนตลกด้วยนะคะ”
“คงจะพูดดีแต่กับคนอื่นมั้งคะ แต่กับหนูนายนั่นชอบพูดจากวนประสาทที่สุดเลยค่ะ นี่ขนาดเพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งแรกนะคะ ถ้าเจอนานกว่านี้จะขนาดไหน” จี๊ดพูดถึงตะวันฉายอย่างโมโห
ป้าจิตจึงบอกว่า
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งโกรธหรือโมโหคุณตะวันฉายเลยค่ะ ป้ายืนยันได้ว่าคุณตะวันฉายเธอเป็นคนดีจริงๆ แล้วคนงานทุกคนก็รักเธอมากด้วยค่ะ”
“เอาเถอะค่ะ เขาจะเป็นคนยังไงก็ช่างเขาเถอะค่ะ เพราะหนูมาอาศัยเขาอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหนูจำเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเองได้หนูก็จะไปทันทีค่ะ” หล่อนบอก
“ค่ะๆ เอาละค่ะ เราหยุดพูดกันก่อนนะคะ ตอนนี้เรามาทำอาหารกันดีกว่านะคะ”
“ค่ะ” จี๊ดพยักหน้ายิ้มๆ “ว่าแต่วันเราจะทำเมนูอะไรกันคะ”
“ผัดผักบุ้งไฟแดงกับไข่พะโล้ค่ะ สองอย่างนี้ง่ายสุดแล้วค่ะ”
“แล้วต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนคะป้า”
“เราจะทำผัดผักบุ้งไฟแดงก่อน เดี๋ยวคุณจี๊ดเอาผักบุ้งไปล้างนะคะ แล้วเดี๋ยวป้าจะโขลกพริกกับกระเทียมรอ”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำหนักแน่น ก่อนจะหยิบถุงผักบุ้งแล้วเดินไปที่อ้างล้างจานทันที แล้วเอาผักบุ้งออกจากถุงจำนวนหนึ่งกำและวางในกะละมัง จากนั้นก็เปิดน้ำล้าง
ส่วนป้าจิตก็โขลกพริกกับกระเทียมรอ เมื่อโขลกจนละเอียดแล้วหล่อนพักทิ้งไว้ก่อน แล้วหันไปถามจี๊ดที่กำลังล้างผักบุ้งอยู่
“ล้างเสร็จหรือยังคะคุณจี๊ด”
“เสร็จพอดีเลยค่ะป้า” หล่อนบอกยิ้มๆ แล้วนำผักบุ้งที่ล้างเสร็จแล้วไปให้ป้าจิต “นี่ค่ะป้า”
“เดี๋ยวคุณจี๊ดหั่นผักบุ้งเป็นท่อนๆ นะคะ แต่อย่ายาวจนเกินไป เอาแบบพอดีๆ”
“ได้เลยค่ะ” รีบทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อหั่นเสร็จแล้วก็เอาให้ป้าจิตดู “แบบนี้พอใช้ได้มั้ยคะป้า”
“ว้าย! ยาวไปค่ะคุณขา” ป้าจิตร้องตกใจเมื่อเห็นว่าจี๊ดหั่นผักบุ้งยาวเกินไป “หั่นให้สั้นกว่านี้นิดหนึ่งนะคะ แบบนี้ค่ะ เดี๋ยวป้าทำให้คุณดูนะคะ” พร้อมกับสาธิตวิธีการหั่นผักบุ้งให้ดู
“อ้อ หั่นแบบนี้เอง โอเคค่ะ เข้าใจแล้วค่ะป้า” หล่อนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะทำตามป้าจิตทันที
ส่วนป้าจิตก็ยืนมองและคอยบอก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเสร็จแล้วหล่อนจึงบอกว่า
“ใช้ได้เลยนะคะเนี่ย”
“ขอบคุณนะคะ” จี๊ดยกมือไหว้ขอบคุณป้าจิต
อีกฝ่ายรับไหว้
“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ คราวหน้าไม่ต้องไหว้ป้านะคะ”
“ไม่ได้สิคะ ป้าจิตอายุเยอะกว่าจี๊ด เพราะฉะนั้นจี๊ดก็ต้องไหว้”
“เอาละค่ะ ขั้นตอนต่อไปก็ได้เวลาผัดแล้ว เดี๋ยวคุณจี๊ดไปเอากระทะมานะคะ แล้ว...”
ต่อจากนั้นป้าจิตก็สอนวิธีการผัดผักบุ้งไฟแดงให้หญิงสาวดู ส่วนหญิงสาวก็ทำตาม ตอนแรกหล่อนอาจทำแบบเก้ๆ กังๆ สักหน่อย แต่สักพักหล่อนก็ทำได้แบบถนัดมือ ไม่เก้ๆ กังๆ อีกต่อไปแล้ว เรียกได้ว่าสอนปุ๊บก็เป็นปั๊บเลยทีเดียว นั่นทำให้ครูสอนทำอาหารชั่วคราวอย่างป้าจิตถึงกับยิ้มพอใจมากๆ ที่ลูกศิษย์คนนี้ตั้งใจทำตามที่หล่อนสอน ถ้าจะให้ลงคะแนนหล่อนจะลงให้เต็มสิบเลยละ เพราะลูกศิษย์เก่งที่สุดเลยเชียว
“เป็นยังไงบ้างครับป้าจิต คุณจี๊ดเธอทำอาหารเป็นหรือยังครับ” ตะวันฉายถามแม่บ้านสูงวัยขณะที่หล่อนกำลังตักข้าวใส่จานให้เขาและลูกชาย เป็นอาหารค่ำ
เมื่อป้าจิตตักข้าวใส่จานเสร็จก็ตอบเจ้านายว่า
“เธอทำอาหารเป็นแล้วค่ะคุณตะวันฉาย แล้วทำเป็นเร็วซะด้วยค่ะ เพราะป้าเลือกเมนูที่ทำง่ายที่สุดให้เธอลองทำดู เป็นผักบุ้งไฟแดงกับไข่พะโล้ ดูเธอมีความตั้งใจมากเลยนะคะ”
“ก็ดีแล้วละครับ ทำเป็นเร็วก็ดี” ชายหนุ่มว่า
“แต่ความจริงคุณตะวันฉายน่าจะให้เธอมาทานข้าวที่นี่ด้วยนะคะ เพราะเธอตัวคนเดียว ไม่เห็นต้องให้เธอทำอาหารกินเองเลย” หล่อนพูดคล้ายกับสงสารจี๊ด
ตะวันฉายรีบโบกมือปฏิเสธ
“ผมดูๆ ไปแล้วเธอเป็นคนปากเก่ง ชอบอวดเก่ง แถมพูดจาจองหองอีก...คนปากเก่งและจองหองแบบนั้นให้ทำกับข้าวกินเองน่าจะดีครับ”
“แต่ดูแล้วเธอน่าสงสารนะคะ กำลังป่วยแล้วยังต้องทำอาหารกินเองอีก”
“เธอหายป่วยแล้วครับป้าจิต คุณหมอบอก”
“เธอยังป่วยค่ะ ป่วยทางสมอง ที่ป้าว่าเธอป่วยทางสมองป้าหมายถึงว่าเธอความจำเสื่อมค่ะ”
“สมองเธอเสื่อม แต่แขนขาเธอไม่ได้เสื่อมไปด้วยนี่ครับ”
“คุณตะวันฉายพูดเหมือนโกรธคุณจี๊ดมานานแสนนานเลยนะคะ ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรกเอง”
“ผมแค่อยากลองดูว่าคนอวดเก่ง ปากเก่งอย่างเธอจะเก่งไปได้สักกี่น้ำ”
“พ่อกับป้าจิตคุยอะไรกันครับ” เด็กชายอชิระถามอย่างสงสัย
ผู้เป็นบิดาจึงตอบว่า
“พ่อกับป้าจิตก็คุยเรื่องทั่วไปนั่นแหละครับ อชิยังเป็นเด็กไม่ต้องรู้หรอกครับ”
“ถ้างั้นป้าขอตัวก่อนนะคะ” แล้วป้าจิตก็เดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารทันที
เมื่ออยู่กันสองคนตะวันฉายก็บอกลูกชายว่า
“กินข้าวกันดีกว่านะครับลูก”
“พ่อครับ ในไร่ของเรามีคนเข้ามาอยู่เพิ่มเหรอครับ” เด็กน้อยถามเพราะอยากรู้อีกนั่นแหละ
ผู้เป็นบิดาลังเลเล็กน้อยที่จะตอบลูกชาย แต่สุดท้ายเขาก็ตอบ
“ใช่ครับลูก...เธอเป็นผู้หญิงความจำเสื่อม เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน พ่อก็เลยให้เธออยู่ที่นี่ไปก่อน อยู่ที่เรือนรับรอง พอเธอจำทุกอย่างได้เธอก็จะกลับไปที่บ้านของเธอ”
“ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้ล่ะครับพ่อ” ผู้เป็นลูกชายถามเพราะอยากรู้อีกตามเคย
ตะวันฉายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบลูกชายว่า
“เธอถูกทำร้ายครับลูก มีคนตีที่หัวเธอ แล้วสมองของเธอก็กระทบกระเทือนจนเธอความจำเสื่อม แต่ไม่นานเดี๋ยวเธอก็จำทุกอย่างได้”
“แล้ว...” เด็กชายอชิระจะถามอีก
แต่ผู้เป็นบิดารีบห้าม
“หยุดเลย...กินข้าวก่อนนะครับลูก แล้วพอกินข้าวเสร็จลูกจะถามอะไรพ่อก็ถามมาได้เลย แต่ตอนนี้กินข้าวก่อนนะ”
“ก็ได้ครับพ่อ” เด็กน้อยรับคำอย่างเซ็งๆ
แล้วตะวันฉายก็ตักเมนูโปรดใส่จานข้าวให้ลูกชาย นั่นก็คือไข่พะโล้
“กินข้าวให้เยอะๆ นะลูก จะได้โตเร็วๆ”
“พ่อก็ต้องกินข้าวเยอะๆ เหมือนกันครับจะได้โตเร็วๆ”
“พ่อโตแล้วครับลูก แต่ลูกนี่สิยังไม่โต ยังเด็กอยู่”
“อชิโตแล้วนะครับ”
“เอาละครับ กินข้าวกันนะครับ อย่ามัวแต่พูดเลยนะ”
แล้วสองคนพ่อก็ลงมือกินข้าวกันอย่างมีความสุข โดยผู้เป็นบิดาจะคอยตักอาหารให้ลูกชาย ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูโปรดของลูกชายทั้งนั้น เป็นเมนูที่ไม่เผ็ดเพราะไม่ได้ใส่พริกนั่นเอง เด็กชายอชิระก็เคี้ยวข้าวเอร็ดอร่อย ผู้เป็นบิดาก็มองลูกชายเอ็นดูและตักอาหารใส่จานข้าวให้เรื่อยๆ เลย
จี๊ดออกมานั่งตรงม้าหินอ่อนหน้าบ้านในตอนสี่ทุ่มเพราะนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะหล่อนยังปรับตัวกับที่นี่ไม่ถูกก็เลยทำให้นอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับหล่อนจึงออกมานั่งดูดาวข้างนอกนั่นเอง
“ดาวสวยจังเลย มีเป็นล้านดวงแน่ะ” หญิงสาวพูดกับตัวเอง
ขณะที่หล่อนนั่งดูดาวอยู่ก็เหลือบเห็นเหมือนเงาอะไรสักอย่างวิ่งเข้าไปในไร่องุ่นอย่างรวดเร็ว หล่อนตกใจ
“ใครวะ ใช่ผีหรือเปล่านะ ต้องใช่ผีแน่ๆเลยถึงได้วิ่งเร็วขนาดนั้น ตามไปดูดีกว่า”
ถึงแม้หล่อนจะบอกกับตัวเองว่าผีแต่หล่อนก็ยังอยากจะตามไปดูเงาอะไรสักอย่างที่วิ่งเข้าไปในไร่องุ่น หล่อนย่องตามไปเบาๆ ในมือถือท่อนไม้ใหญ่อีกด้วย แต่เมื่อย่องไปถึงตรงไร่องุ่นและมองหาเงาที่หล่อนก็ไม่เห็นอะไรเลย
“หรือว่าจะเป็นผีจริงๆ” เมื่อคิดได้ดังนั้นหล่อนก็ทำท่าขนลุก
แล้วขณะที่จี๊ดกำลังยืนอยู่เงียบๆ ก็มีมือของใครบางคนมาแตะที่ไหล่ของหล่อนจากด้านหลัง หล่อนตกใจเพราะคิดว่าเป็นผี
“กรี๊ดดดด!” หล่อนร้องลั่น แล้วเอาไม้หันไปฟาดใส่คนข้างหลังอย่างตกใจ โดยไม่มองอีกฝ่าย
คนถูกฟาดร้องลั่น
“โอ๊ยย เจ็บ!”
“เอ๊ะ ผีพูดได้ด้วยเหรอ” เมื่อหายตกใจหญิงสาวก็พูดกับตัวเอง
“ผมไม่ใช่ผี นี่ผมตะวันฉายเอง เจ้าของไร่น่ะ” อีกฝ่ายตอบ
จี๊ดรีบโยนไม้ทิ้งแล้วมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา เมื่อเห็นว่าเป็นตะวันฉายจริงๆ หล่อนก็ส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา
“อุ๊ย! ฉันขอโทษ ก็ใครใช้ให้นายมาเงียบๆ แล้วแตะไหล่ฉันเล่า ฉันก็ตกใจน่ะสิ”
“คุณมาทำอะไรแถวนี้ดึกๆ ดื่นๆ หา!” ตะวันฉายถามหญิงสาว
คนถูกถามจึงตอบว่า
“ฉันนอนไม่หลับก็เลยมานั่งดูดาวอยู่หน้าบ้าน...แล้วฉันก็เหลือบเห็นเหมือนเงาอะไรสักอย่างวิ่งเข้ามาในไร่ และฉันก็ตามมาดูก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วนายล่ะ นายมาทำอะไรแถวนี้ ยังไม่นอนหรือไง”
“ถ้าผมนอนคุณจะเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้เหรอ”
“คนอะไรกวนได้ตลอด”
“คุณกลับไปในบ้านได้แล้ว อ้อ แล้วอย่าออกมาข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ อีกล่ะ มันอันตราย” ชายหนุ่มบอก
“ทำไมล่ะ” จี๊ดถามอย่างไม่เข้าใจ
“คุณอย่าถามมาก คุณเพิ่งมาอยู่ที่นี่คุณยังไม่รู้อะไรๆ หรอก เดี๋ยวอยู่ๆ ไปคุณก็จะรู้เองว่าที่นี่มันอันตรายยังไง” เขาว่า แล้วจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในไร่องุ่นทันที
หญิงสาวมองตามผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นอย่างงงๆ
“เอ้า ยังไม่ตอบคำถามฉันเลย เดี๋ยวสินายตะวันฉาย กลับมาตอบคำถามฉันก่อน” หล่อนตะโกนตามเขา แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะอีกฝ่ายไม่กลับมา
หล่อนหันซ้ายแลขวาอย่างกลัวๆ พลันเสียงหมาหอนก็ดังขึ้น หล่อนร้องเสียงหลง
“กรี๊ดดด!” แล้ววิ่งไปบ้านพักและเปิดประตูเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็วเพราะความกลัว จากนั้นก็ปิดประตูดัง ปึง! ทันที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 294
แสดงความคิดเห็น