กลายเป็นคู่กัด
หลังจากที่เด็กชายอชิระล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็เข้าไปที่ห้องรับประทานอาหาร คนตัวน้อยนั่งบนเก้าอี้ สักพักผู้เป็นบิดาก็นำข้าวต้มกุ้งร้อนๆ มาเสิร์ฟพร้อมกับกำชับว่า
“ลูกต้องกินให้หมดนี่เลยนะ พ่อตั้งใจทำให้ลูกสุดฝีมือเลย เอ้า กินได้แล้วละ”
“ครับพ่อ” เด็กน้อยยิ้มให้บิดาจนเห็นฟันขาวสะอาดที่เพิ่งถูกแปรงมาหมาดๆ จากนั้นก็ตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากแล้วเคี้ยวก่อนจะกลืนลงคอ
เมื่อข้าวคำแรกถูกกลืนลงท้องผู้เป็นลูกชาย ผู้เป็นบิดาจึงถามลูกชายว่า
“เป็นยังไงบ้างครับลูก”
“อร่อยที่สุดเลยครับพ่อ” เด็กน้อยตอบยิ้มๆ
“จริงเหรอครับลูก” ตะวันฉายถามลูกชายอีกครั้ง
ผู้เป็นลูกชายพยักหน้า
“ครับ...พ่อของอชิทำอะไรก็อร่อยอยู่แล้วครับ”
“ช่างพูดช่างจานะเราเนี่ย”
เด็กชายอชิระไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะเบาๆ
ผู้เป็นบิดาหัวเราะผสมโรง ก่อนจะบอกลูกชายว่า
“เอาละๆ กินข้าวต้มต่อเถอะ เดี๋ยวถ้าเย็นแล้วมันจะไม่อร่อยนะลูก”
“ครับ” เด็กน้อยพยักหน้า “แล้วพ่อไม่กินด้วยเหรอครับ”
“พ่อกินเรียบร้อยแล้วละ”
“อ้อครับ” พยักหน้ารับรู้ ก่อนกินข้าวต่อไป
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าห้องรับประทานอาหาร
“อาขอกินข้าวด้วยคนสิครับ”
ทั้งสองคนพ่อลูกหันขวับไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน ก็เห็นว่าชลธรยืนยิ้มอยู่
“อ้าว อาชล สวัสดีครับ” เด็กชายอชิระยกมือไหว้ชลธรยิ้มๆ
อีกฝ่ายเดินเข้ามาลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู
“สวัสดีครับ อชิกินข้าวอยู่เหรอครับเนี่ย”
“ใช่ครับ...” เด็กน้อยตอบ “อาชลมากินข้าวกับอชิสิครับ...มาครับ”
“ครับ อชิกินไปเถอะครับ อาอิ่มแล้วละ”
“อ้าว! แล้วเมื่อกี้...”
“อาทักทายเล่นเฉยๆ ครับ อชิกินไปเถอะนะ เดี๋ยวถ้าข้าวต้มเย็นแล้วมันจะไม่อร่อยนะ เอ้า กินๆ ครับ” ชลธรพูดกับเด็กน้อยยิ้มๆ
“ข้าวต้มกุ้งถ้วยนี้พ่อของอชิตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะครับอาชล” เด็กชายอชิระอวด
อีกฝ่ายยิ้มให้เด็กน้อยอย่างเอ็นดู
“เหรอครับ...ถ้างั้นอชิก็ต้องกินจนหมดถ้วยเลยนะ”
“ครับ” เด็กน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะกินข้าวต่อ
แล้วตะวันฉายก็ถามผู้เป็นเพื่อนว่า
“แกมีอะไรหรือเปล่า วันนี้มาแต่เช้าเชียว”
“ฉันว่าเราไปคุยข้างนอกบ้านดีกว่านะ” ชลธรบอก
“คุยในบ้านแล้วมันเป็นยังไง”
“เออน่า” อีกฝ่ายทำหน้าแบบว่ารำคาญ ก่อนจะพูดกับเด็กชายอชิระว่า “อชิครับ เดี๋ยวอาขอยืมตัวพ่อของอชิไปคุยธุระแป๊บหนึ่งนะ ส่วนอชิก็กินข้าวไป”
“ครับ” พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“มานี่เลยแก ไอ้ตะวัน”
แล้วชลธรก็ดึงมือเพื่อนให้ลุกเก้าอี้และจูงกึ่งลากเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหาร
เมื่อออกมาพ้นห้องแล้วตะวันฉายก็ถามเพื่อนว่า
“สรุปแล้วแกมีเรื่องอะไรวะ มันเป็นความลับนักหรือไงถึงได้ลากฉันออกมาคุยนอกห้องกินข้าว หา!”
“เมื่อวานตอนเย็นฉันไปแถวๆ โรงบ่ม ฉันเหลือบไปเห็นลูกน้องไอ้กฤษพลหนึ่งคนมันด้อมๆ มองๆ แถวนั้น มันทำท่าทางลับๆ ล่อๆ คล้ายกับมีแผนการจะทำอะไรสักอย่าง ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่ามันใช่เหมือนอย่างที่ฉันสงสัยหรือเปล่า” ชลธรเล่า
“แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอกฉันวะ” อีกฝ่ายถามคล้ายกับไม่พอใจ
ชลธรก็เลยบอกว่า
“ก็ฉันคิดว่ามันคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
“จะไม่มีอะไรได้ยังไงวะ แกก็รู้ๆ กันอยู่นี่ว่าไอ้กฤษพลมันต้องการที่จะซื้อไร่องุ่นของฉัน แต่ฉันไม่ขาย และฉันคิดว่ามันคงส่งลูกน้องของมันมาทำอะไรสักอย่างในไร่ของฉันเพื่อให้เสียชื่อเสียง คนอย่างไอ้กฤษพลมันคิดเรื่องดีๆ แบบคนอื่นไม่เป็นหรอก มันน่ะคิดเป็นแต่เรื่องชั่วๆ เท่านั้น”
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีวะ”
“เราต้องสั่งคนงานให้เฝ้ารอบๆ ไร่ เผื่อไอ้กฤษพลมันส่งลูกน้องของมันเข้ามาทำเรื่องชั่วๆ ในไร่ของเรา เพราะฉะนั้นเราจะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด เราจะต้องเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ เอาละ...ไอ้ชล เดี๋ยวแกไปบอกคนงานราวสิบคนนะว่าคืนนี้ให้ไปเฝ้ารอบๆ ไร่ เฝ้าดีๆ ละ อย่าแอบงีบ”
“ได้สิ” ชลธรพยักหน้า
แล้วผู้เป็นเจ้าของไร่ก็บอกว่า
“แกไปบอกคนงานซะตั้งแต่ตอนนี้เลย”
อีกฝ่ายพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไป
ตะวันฉายกำมือแน่นและกัดฟันดังกรอดด้วยความโกรธ แล้วก็พูดถึงกฤษพลว่า
“ถ้าแกคิดจะทำอะไรไร่ของฉันละก็ ฉันขอบอกแกไว้ก่อนว่าฉันไม่เอาแกไว้แน่ ไอ้กฤษพล!”
ที่ไร่องุ่น ‘สิทธาวัชร์’ ของกฤษพล เป็นไร่องุ่นที่กว้างใหญ่ไม่แพ้ไร่องุ่นของตะวันฉายเลย แถมพันธุ์องุ่นที่นำมาปลูกก็เป็นพันธุ์เดียวกับที่ไร่ของตะวันฉายปลูก และยังมีโรงบ่มไวน์เหมือนกันอีกต่างหาก เหมือนกับลอกเลียนแบบตะวันฉายมาเลย ทุกอย่างเหมือนไร่องุ่น ‘พงศ์พิริยะศักดา’ เด๊ะ
เพราะอย่างนี้เองที่ทำให้ตะวันฉายไม่ชอบกฤษพลอย่างมาก เพราะกฤษพลทำทุกอย่างเหมือนไร่ของเขาเลย ราวกับจงใจจะลอกเลียนแบบอย่างนั้นละ
ไร่องุ่นของตะวันฉายนั้นมาก่อน ส่วนไร่องุ่นของกฤษพลมาทีหลัง แล้วยังปลูกองุ่นพันธุ์เดียวกันกับไร่ของตะวันฉายอีก และอยู่ติดกัน ถ้าไม่เรียกว่าลอกเลียนแบบแล้วจะเรียกว่าอะไรเล่า เท่านั้นยังไม่พอ กฤษพลยังพยายามเจรจาซื้อไร่องุ่นของตะวันฉายอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะตะวันฉายไม่ยอมขายให้ และดูเหมือนว่าล่าสุดเจ้าตัวเหมือนจะมีแผนบางอย่างเพื่อเล่นงานตะวันฉายจอมหยิ่ง
“เมื่อวานพวกแกทำสำเร็จมั้ย” กฤษพลถามลูกน้องทั้งสามคนขณะอยู่ในบ้านพักในไร่
ลูกน้องทั้งสามคนมีชื่อว่า เปี๊ยก จ้อย และภู
แล้วภูก็ตอบว่า
“ไม่สำเร็จครับนาย ไอ้ชลธรมันมาเห็นพวกผมก่อนครับ พวกผมก็เลยวิ่งหนีก่อน”
“ใช่ครับนาย ไอ้ชลธรมันมาเห็นพวกเราก่อน พวกเราก็เลยต้องวิ่งหนี โดยที่ยังไม่ได้เอายาเสพติดเข้าไปไว้ในโรงบ่มไวน์ของไอ้ตะวันฉายครับ” เปี๊ยกว่า
เท่านั้นแหละผู้เป็นเจ้านายก็ตบศีรษะลูกน้องทั้งสามด้วยความโมโห
“โธ่โว้ย ไอ้พวกโง่ เรื่องแค่นี้ยังทำไม่สำเร็จ พวกแกนี่มันเลี้ยงเปลืองข้าวสุกจริงๆ”
“พวกผมขอโทษครับนาย” จ้อยยกมือไหว้ขอโทษผู้เป็นนาย
ส่วนอีกสองคนก็ทำเช่นกัน
แต่ผู้เป็นนายกลับบอกว่า
“พวกแกกองไว้ตรงนั้นแหละ...ป่านนี้ไอ้ชลธรมันคงเอาเรื่องที่มันเห็นพวกแกไปบอกไอ้ตะวันฉายแล้วมั้ง และไอ้ตะวันฉายมันก็คงจะรู้แล้วว่าฉันคิดทำจะอะไรในไร่ของมัน โธ่โว้ยๆๆ” เขาตบศีรษะลูกน้องทีละคนอย่างโมโหอีกครั้ง
แล้วภูก็บอกผู้เป็นนายว่า
“เดี๋ยวพวกผมไปจัดการใหม่ก็ได้ครับ”
“จัดการใหม่งั้นเหรอ หา!” ว่าแล้วก็ตบศีรษะลูกน้องคนนี้อีก “ตอนนี้มันรู้แล้วว่าพวกแกแอบเข้าไปในไร่ของมัน เพราะฉะนั้นมันคงจะสั่งคนงานของมันให้เฝ้ารอบๆ ไร่แล้วมั้ง ต่อไปถ้าเราจะทำอะไรก็คงจะไม่สะดวก”
“เอางี้มั้ยครับนาย...เราก็แค่จ้างคนให้ไปปลอมตัวเป็นคนงานในไร่ของไอ้ตะวันฉาย แล้วจากนั้นเราก็ให้คนที่เราจ้างแอบเอายาเสพติดไปซุกซ่อนในโรงบ่มไวน์ของมัน” เปี๊ยกออกความคิดเห็น
กฤษพลปรบมือให้กับความคิดเห็นของลูกน้อง พร้อมกับยิ้มชอบใจ
“ความคิดของแกเข้าท่าดีว่ะ เออ จะว่าไปถ้าทำแบบนี้มันก็ไม่เลวนะ”
“ครับนาย ลองทำตามที่ผมบอกแล้วนายจะสมปรารถนาครับ”
“ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกัน”
“ครับนาย”
“เอาละ พวกแกแยกกันไปได้แล้วนะ”
“ครับนาย” ลูกน้องทั้งสามรับคำพร้อมกัน ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านของผู้เป็นนาย
เมื่อกฤษพลอยู่เพียงลำพังเขาก็ยืนกอดอกและยิ้มร้าย พูดถึงตะวันฉายว่า
“ในเมื่อแกไม่ยอมขายไร่ให้ฉันดีๆ ฉันก็คงต้องใช้วิธีบีบบังคับแกแล้วละ ไอ้ตะวันฉาย...มันก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็แกอยากดื้อกับฉันเองนี่ ฮ่าๆๆๆ” พร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจที่สุด
วรเมธถูกบิดาเรียกตัวให้ไปช่วยทำงานในบริษัทในตำแหน่งเซลล์ขายรถ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาขอบิดาไว้เพราะเขาไม่อยากทำงานในตำแหน่งสูงๆ นั่นเอง วันนี้เขาจึงตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงานวันแรก เขาใส่ชุดที่บิดาซื้อให้ เป็นเสื้อสูทเท่ๆ กับรองเท้าคัทชูเงาวับ เข้ากับตัวของเขาเลยทีเดียว
เมื่อแต่งตัวเสร็จชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้องครัว พลันจมูกของเขาก็ได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ ที่แสนจะคุ้นเคย เขายิ้มเมื่อเห็นมารดายืนจัดอาหารบนโต๊ะ ซึ่งจะทานกันแค่สองคนเท่านั้น ถึงแม้บิดาจะชวนเขากับมารดาไปทานอาหารที่ตึกใหญ่แต่เขากับมารดานั้นปฏิเสธเพราะไม่อยากมีปัญหากับแม่ใหญ่ เขากับมารดาขอทานอยู่ที่ตึกเล็กกันเพียงสองคนจะดีกว่า เพียงเท่านี้ก็มีความสุขมากพอแล้วละ
“โห! วันนี้มีอะไรกินบ้างครับเนี่ย หอมจังเลย” วรเมธถามมารดาทั้งที่ยังเดินไม่ถึงตัวท่าน
วิไลจึงหันไปยิ้มให้ลูกชาย
“อ้าว ตาเมธ แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอลูก มาทานข้าวเร็ว แม่จัดโต๊ะเสร็จแล้ว วันนี้มีแต่ของโปรดลูกทั้งนั้นเลยนะ”
“จริงเหรอครับแม่” เขาถามมารดายิ้มๆ
อีกฝ่ายพยักหน้า
“จ้ะลูก เอ้าๆ มานั่งเร็ว รีบกินแล้วจะได้รีบไปทำงานนะ”
“ครับแม่” เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารเขาก็นั่งลงทันที พร้อมกับกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะแล้วยิ้ม “ว้าว! อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยนะครับเนี่ย”
“ถ้างั้นลูกก็ต้องทานเยอะๆ นะจ๊ะ” ผู้เป็นมารดาบอกลูกชายและนั่งข้างๆ เขา
“แน่นอนครับแม่ ผมจะทานให้หมดเกลี้ยงเลยครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะ
“จ้า” ผู้เป็นมารดาพลอยหัวเราะตาม แต่ก่อนจะลงมือทานอาหารหล่อนก็พูดกับลูกชายว่า “วันนี้เป็นวันที่ลูกทำงานวันแรก แม่ขอให้ลูกตั้งใจทำงานนะ อย่าทำให้คุณพ่อผิดหวังเป็นอันขาดรู้มั้ย”
“ครับแม่ รับทราบครับ” เขารับคำยิ้มแย้ม
“ดีมากจ้ะลูก” หล่อนยิ้มพอใจ “เอาละ ทานข้าวกันเถอะนะ”
“ครับ...แม่ทานอันนี้นะครับ” เขาตักอาหารให้มารดา
ผู้เป็นมารดาพยักหน้า
“จ้ะ ขอบใจนะลูก”
แล้วจากนั้นสองคนแม่ลูกก็ทานอาหารกันอย่างมีความสุขต่อไป
“อะไรนะครับคุณแม่ นี่คุณพ่อให้ไอ้เมธมันเข้าไปทำงานในบริษัทงั้นเหรอครับ” เมื่ออติวิชญ์รู้ว่าบิดาให้วรเมธเข้าไปทำงานในบริษัทจากปากมารดาก็ถึงกับไม่พอใจอย่างมาก
“ใช่ลูก เมื่อวานแม่แอบได้ยินคุณพ่อกับไอ้เมธคุยกัน คุณพ่อบอกว่าจะให้ไอ้เมธไปทำงานในตำแหน่งเซลล์ขายรถน่ะ” ธัญวณีย์เล่าให้ลูกชายฟัง
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“จะตำแหน่งไหนมันก็ไม่สมควรได้รับทั้งนั้น มันไม่สมควรมีสิทธิ์เข้าไปเหยียบในบริษัทเลยด้วยซ้ำไป...ผมไม่ยอมให้มันได้ความดีความชอบไปคนเดียวหรอกครับคุณแม่”
“แล้วแกจะทำยังไง หา!”
“ผมจะไปขอคุณพ่อทำงานในบริษัท” ชายหนุ่มโพล่งออกไปทันที
ผู้เป็นมารดายิ้มพอใจ
“ดีมากลูกแม่ มันต้องแบบนี้สิ รีบไปขอคุณพ่อทำงานเลยลูก ก่อนที่ไอ้เมธมันจะได้รับความดีความชอบไปเต็มๆ”
“ยังไม่ใช่วันนี้และตอนนี้ครับคุณแม่”
“อ้าว! ทำไมล่ะ ขืนแกชักช้าเดี๋ยวไอ้เมธมันก็ได้หน้าไปคนเดียวหรอก”
“วันนี้ผมไม่ว่างครับ ผมมีนัด” อติวิชญ์บอก
“นัดอะไร แล้วนัดกับใคร แกก็เลื่อนไปก่อนสิ” ผู้เป็นมารดาว่า
ผู้เป็นลูกชายส่ายหน้า
“ไม่ได้ครับ นัดนี้สำคัญกับผมมาก” แล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าบอกมารดาว่า “อ้อ แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วด้วยครับ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่” และลุกเดินออกไปทันที
ธัญวณีย์จึงตะโกนตามลูกชาย
“ตาวิชญ์...ตาวิชญ์ แกกลับมาก่อนนะ แกต้องไปขอคุณพ่อทำงานที่บริษัทก่อน เดี๋ยวไอ้เมธมันจะได้หน้าไปคนเดียว...ตาวิชญ์”
ปรากฏว่าลูกชายไม่กลับมาเลย นั่นทำให้หล่อนทำหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ เพราะไม่ได้ดั่งใจหล่อนเลย มันน่าโมโหนักเชียว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ทำหน้าไม่พอใจก็เท่านั้นเอง
การเป็นเซลล์ขายรถของวรเมธวันแรกถือว่าทำได้ดีทีเดียว ผ่านไปครึ่งวันมีคนจองรถและซื้อรถถึงห้าคันเลยเชียว ขนาดเซลล์คนเก่าที่อยู่ขายรถที่นี่มานานยังต้องบอกว่ายอมแพ้เขาเลย และลูกค้าหลายคนยังเอ่ยชมว่าเขาอัธยาศัยดี คุยไพเราะเสนาะหูน่าฟัง ถามลูกค้าอย่างมีมารยาท ไม่เซ้าซี้ลูกค้า เท่านั้นก็ทำให้เขาได้ใจลูกค้าไปแล้วละ
แล้วลูกค้าคนใหม่ก็เดินเข้ามา เป็นชายวัย ๔๐ ต้นๆ ลักษณะการแต่งตัวเหมือนเศรษฐีมาก วรเมธรีบเดินเข้าไปทักทายลูกค้า เขายกมือไหว้ยิ้มๆ
“สวัสดีครับคุณลูกค้า...คุณลูกค้าสนใจรถยี่ห้อไหนดีครับ หรือคุณลูกค้ามีแบบรถเลือกไว้ในใจแล้วครับ”
“เลือกไม่ถูกเลยครับ แต่ละคันสวยๆ ทั้งนั้นเลย ขอผมเดินดูก่อนนะครับ” ลูกค้าคนนั้นบอก
เซลล์ขายรถคนใหม่พยักหน้ายิ้มๆ
“เชิญคุณลูกค้าเดินดูได้ตามสบายเลยครับ”
แล้วคุณลูกค้าก็เดินไปดูรถ โดยมีวรเมธคอยเดินตามและอธิบายเกี่ยวกับยี่ห้อและวิธีการขับของรถแต่ละคัน โดยอธิบายไปทีละคัน คุณลูกค้าเดินเลือกไปแล้วก็ฟังไปด้วย แล้วในที่สุดคุณลูกค้าก็เลือกรถได้ นั่นก็คือรถยี่ห้อ Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) เป็นรถคันที่หรูและสวยที่สุด
“ผมเอาคันนี้ครับ”
“โอเคครับ รถคันนี้เหมาะกับคุณลูกค้าที่สุดเลยครับ ทั้งหรูและสวยมากเลยนะครับ รถยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถที่คนรวยนิยมซื้อมากที่สุดเลยครับ คุณลูกค้าเลือกไม่ผิดจริงๆ ครับ” ชายหนุ่มพูดคุยกับลูกค้าอย่างอัธยาศัยดี
อีกฝ่ายยิ้มรับ
“ครับ ผมก็รู้สึกชอบรถคันนี้ สงสัยรถคันนี้คงอยากให้ผมเป็นเจ้าของมั้งครับ” ลูกค้าคนนี้พูดติดตลก เมื่อพูดจบก็หัวเราะ
เซลล์ขายรถคนใหม่ก็พลอยหัวเราะตาม
“คงจะใช่ครับ”
“ผมขอจองไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยววันศุกร์ผมจะมารับ”
“ได้ครับ”
“ว่าแต่รถยี่ห้อนี้ราคาเท่าไหร่ครับ”
“สองล้านห้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันบาทครับ”
“แค่นี้สบายๆ ครับ ผมไม่ผ่อนนะครับ ผมจะซื้อสดเลย” ลูกค้าบอก
“โอเคครับ ถ้างั้นเชิญคุณลูกค้าทางนี้ครับ จะได้ไปทำสัญญาจองรถและชำระเงิน” วรเมธผายมือเชิญลูกค้าไปทางห้องๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
แล้วเซลล์ขายรถคนใหม่ก็เดินนำลูกค้าไป ส่วนลูกค้าก็เดินตามไป
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงทั้งเซลล์ขายรถและลูกค้าก็เดินออกมาจากห้องนั้นเมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว ลูกค้าคนนั้นเดินไปที่รถคันที่จองไว้และพูดว่า
“เดี๋ยววันศุกร์พ่อมารับนะลูก” พูดแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ แล้วพูดกับรถว่า ‘ลูก’ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเซลล์ขายรถ “ถ้างั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับ เดี๋ยววันศุกร์ผมจะมารับรถ”
“ครับ สวัสดีครับ ขอบคุณที่มาอุดหนุนบริษัทของเรานะครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณลูกค้า
“ครับ สวัสดีครับ” ลูกค้ารับไหว้ “เดี๋ยวผมจะแนะนำเพื่อนๆ ของผมให้มาซื้อรถที่นี่ คุณเป็นเซลล์ขายรถที่พูดจาไพเราะที่สุด”
“ขอบพระคุณครับ” เขายกมือไหว้ขอบคุณลูกค้าอีกครั้ง
อีกฝ่ายก็รับไหว้อีก
“ครับ” จากนั้นลูกค้าคนนั้นก็เดินออกไป
เมื่อลูกค้าคนล่าสุดกลับไปแล้ววรเมธก็เดินไปนั่งพักตรงเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ เขายิ้มอย่างภูมิใจในตัวเองที่สุด ที่ขายรถได้ตั้งหกคันในวันแรกที่เขาเพิ่งจะทำงาน แค่นี้มันก็ดีที่สุดแล้ว
แล้วเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงผู้เป็นบิดาก็มาหาเขาตรงที่เขานั่งพัก เพราะเวลานี้ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาเพิ่ม เมื่อไม่มีลูกค้าเขาจึงนั่งพักนั่นเอง
“เหนื่อยมั้ยตาเมธ” อรรถพลถามลูกชาย
วรเมธส่ายหน้ายิ้มๆ
“นิดหน่อยครับคุณพ่อ”
“แล้วลูกขายรถได้กี่คันล่ะ”
“หกคันเลยครับคุณพ่อ”
“ถือว่าลูกของพ่อเก่งมากเลยนะ” ผู้เป็นบิดายิ้มภูมิใจ “เซลล์บางคนที่อยู่ที่นี่มานานยังขายไม่ได้เท่ากับลูกของพ่อเลยนะ แต่นี่ลูกเข้ามาทำงานเป็นเซลล์ขายรถวันแรกยังขายได้ขนาดนี้ก็ถือว่าลูกสุดยอดมากแล้ว”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณพ่อ ผมก็แค่ทำไปตามความคิดที่หลั่งออกมาจากสมองเท่านั้นเองครับ” ผู้เป็นลูกชายยังถ่อมตน
อีกฝ่ายตบไหล่ลูกชายเบาๆ
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกลูก พ่อพูดตามความจริงทั้งนั้น ลูกของพ่อเก่งที่สุดแล้ว”
“คุณพ่ออย่าชมผมเยอะสิครับ ผมจะตัวลอยได้อยู่แล้วนะครับเนี่ย”
อรรถพลหัวเราะกับคำพูดของลูกชาย ก่อนจะพูดว่า
“เอาละ นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวกับพ่อดีกว่านะ”
“คุณพ่อไปทานก่อนเลยครับ ผมยังไม่หิว” วรเมธบอก
“ไปทานกับพ่อเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องการขายรถหรอก เที่ยงๆ แบบนี้ยังไม่มีลูกค้ามาซื้อหรอก บ่ายๆ นู่นแหละถึงจะมีคนมาซื้อมาสั่งจองรถ”
“เอ้อ ผม...”
“ไปเถอะลูก” ผู้เป็นบิดารบเร้า
แล้ววรเมธก็ยอมไปกับบิดา
“ก็ได้ครับคุณพ่อ”
จากนั้นสองคนพ่อลูกก็เดินออกไปจากตรงนั้นทันที
วันนี้คุณหมออนุญาตให้หญิงสาวผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากตะวันฉายและชลธรออกจากโรงพยาบาลได้ เพราะอาการของหล่อนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
คนที่มารับหญิงสาวคือชลธร เขาอาสามารับหล่อนเอง เพราะตะวันฉายกับหญิงสาวผู้นี้ไม่ถูกกันจึงไม่ยอมมารับหล่อน แล้วยิ่งถ้าได้ไปอยู่ใกล้กันคงจะปะทะฝีปากกันทุกวันน่าดู คิดได้เท่านี้ก็น่าหนักใจเสียแล้ว
เมื่อชลธรเข้ามาในห้องพักฟื้นของหญิงสาวผู้นั้นเขาก็บอกกับหล่อนว่า
“ผมมารับคุณครับ”
“ขอบคุณนะคะที่คุณช่วยเหลือฉัน” หล่อนยกมือไหว้เขายิ้มๆ
อีกฝ่ายรับไหว้
“ไม่เป็นไรเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง”
“ค่ะ” หล่อนพยักหน้า ก่อนจะมองไปทางประตูคล้ายกับมองหาใครสักคน แล้วหล่อนก็พูดกับเขาว่า “ฉันนึกว่าเพื่อนของคุณจะมาด้วยซะอีก”
ชายหนุ่มจึงบอกว่า
“อ้อ มันไม่มาหรอกครับ เพราะว่ามัน...”
“เพราะว่าเขาไม่ชอบฉัน” หล่อนพูดแทรก “ฉันเองก็ไม่ชอบเขาเหมือนกันค่ะ แต่นี่เพราะความจำเป็นฉันถึงต้องไปอยู่ใกล้เขา ไปอยู่ในที่ของเขา ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ไปอยู่ใกล้คนอย่างนายนั่นหรอกค่ะ”
“เอาเถอะครับ จะยังไงก็ช่างเถอะครับ แต่ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะครับ ต้องไปชำระเงินค่ารักษากับรับยาอีก”
“ค่ะ ไปค่ะ” หล่อนพยักหน้า
แล้วทั้งสองก็เดินออกไปจากห้องพักฟื้นทันที
หลังจากจ่ายค่ารักษาพยาบาลและรับยาเสร็จแล้วชลธรก็พาหญิงสาวไปที่รถที่จอดอยู่ในลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล ชายหนุ่มเป็นสุภาพบุรุษจึงเปิดประตูให้หล่อน
“เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ” หล่อนยิ้มให้เขา ก่อนจะขึ้นไปนั่งตรงเบาะข้างๆ คนขับ
แล้วชายหนุ่มก็ปิดประตู จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับและเปิดประตู แล้วขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะปิดประตูลง เขาไม่รอช้ากดสตาร์ทรถทันที แต่ก่อนจะขับรถเขาก็หันไปยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างๆ และบอกว่า
“รัดเข็มขัดนิรภัยด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ” หล่อนทำตามอย่างว่าง่าย
แล้วชลธรก็ขับรถออกไปจากโรงพยาบาลทันที
ระหว่างที่นั่งรถหญิงสาวมองวิวข้างทางเพลิดเพลิน โดยไม่พูดไม่จาสักคำ
จนกระทั่งผู้ที่รับหน้าที่เป็นโชเฟอร์ชวนหญิงสาวคุยเพื่อทำลายความเงียบที่ปกคลุมในรถ
“เอ้อ คุณพอจะจำอะไรที่เกี่ยวกับตัวคุณได้มั้ยครับ อย่างเช่นคุณขับรถมาทำอะไรที่เชียงใหม่ คุณถึงได้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส”
“ตอนนี้ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ค่ะ เวลาฉันพยายามนึกทีไรก็ปวดหัวทุกที ไว้ถ้าฉันนึกออกเมื่อไหร่แล้วฉันจะบอกคุณนะคะ” หล่อนละสายตาจากวิวทิวทัศน์ข้างทางแล้วหันไปตอบคำถามชลธร
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องฝืนนะครับ เพราะถ้าฝืนคุณก็จะยิ่งปวดหัว ไว้สักวันหนึ่งเดี๋ยวคุณก็นึกออกเองแหละครับ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มตอบ
“ค่ะ” แล้วหันกลับไปมองวิวข้างทางต่อ “วิวที่นี่สวยดีนะคะ” หล่อนชวนเขาคุย
ชลธรจึงตอบว่า
“ครับ วิวที่เชียงใหม่สวยที่สุดครับ แล้วสถานที่ท่องเที่ยวก็มีมากมาย เดี๋ยวถ้ามีเวลาว่างผมจะพาคุณไปเที่ยวนะครับ เผื่อสมองของคุณจะปลอดโปร่งแล้วนึกอะไรออกบ้าง”
“ดีเลยค่ะ ขอบคุณคุณชลธรมากนะคะ ฉันเองก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันค่ะ” แล้วหล่อนก็รู้สึกคุ้นกับคำว่า ‘เที่ยว’ เหลือเกิน “แปลกนะคะ พอฉันพูดคำว่าเที่ยวฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับคำๆ นี้เหลือเกินค่ะ”
“อาจเป็นไปได้ว่าที่คุณมาที่เชียงใหม่เพื่อเที่ยวก็เป็นได้นะครับ”
“ก็น่าคิดนะคะ แต่ทำไมฉันนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเลย”
“ตอนนี้คุณยังไม่ต้องนึกอะไรครับ ทำตัวให้สบายๆ ถ้าคุณนึกออกตอนไหนก็รู้ตอนนั้นแหละครับ”
“ค่ะ” หล่อนพยักหน้าอีกครั้ง
แล้วชลธรก็นึกอะไรบางอย่างออก
“จริงสิครับ คุณยังไม่มีชื่อเลย ผมว่าคุณต้องมีชื่อหน่อยนะครับ ผมจะได้เรียกคุณถูก”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะให้ตัวเองชื่ออะไรดี”
“เดี๋ยวไปถึงไร่องุ่นแล้วค่อยตั้งก็ได้ครับ”
“อีกไกลมั้ยคะ กว่าจะถึงไร่องุ่นของนายนั่น”
“ไม่ไกลครับ เดี๋ยวก็ถึง”
“ค่ะ” แล้วหันไปมองวิวต่อ
ทั้งสองหยุดพูดคุยกัน ฝ่ายหญิงก็มองวิวทิวทัศน์ ส่วนฝ่ายชายก็ตั้งใจขับรถ ความเงียบจึงปกคลุมบนรถอีกครั้ง!
ตะวันฉายกำลังนั่งดูเอกสารที่ลูกค้าสั่งออเดอร์ไวน์เข้ามา เขานั่งดูเอกสารในห้องรับแขก ในเอกสารระบุว่าจำนวนออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามานั้นเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่สั่งออเดอร์นั้นจะเป็นลูกค้าประจำที่เคยสั่งอยู่แล้ว สั่งแต่ละทีเป็นหลายร้อยลังเลยทีเดียว เกือบถึงพันลังเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้ผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นอย่างเขาถึงกับยิ้มแก้มปริ เพราะดีใจที่มีออเดอร์ไวน์สั่งเข้ามารัวๆ เลยละ
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังดูเอกสารอยู่ก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน เขาหันไปมองทางประตูก่อนจะวางเอกสารลงบนโต๊ะกระจก
“ไอ้ชลคงจะรับผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว” เขาพูดกับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับแขกทันที
เมื่อเดินออกมาถึงหน้าบ้านตะวันฉายก็เห็นหญิงสาวผู้ที่เขากับชลธรช่วยเหลือกำลังลงจากรถพอดี เขามองหล่อนด้วยสายตาเรียบเฉย ราวกับหล่อนเป็นธาตุอากาศเสียอย่างนั้น นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อวันนั้นวันที่เขาไปเยี่ยมหล่อนที่โรงพยาบาลแล้วหล่อนก็พูดจาจองหองอวดดีใส่เขา จากที่เขาเคยรู้สึกปราณีหล่อนตอนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบหล่อนขึ้นมาทันที ไม่ชอบนิสัยจองหองและอวดดีของหล่อน คนอะไรไม่รู้หน้าตาก็สวยแต่นิสัยไม่ดี นี่ถ้าเขาไม่นึกถึงคำพูดที่เขาพูดว่าจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ให้ถึงที่สุดละก็ ไม่งั้นเขาคงจะปล่อยหล่อนให้ไปตามทางของหล่อน หล่อนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ช่าง แต่นี่เขาเป็นคนที่รักษาคำพูด เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องทำตามที่ตัวเองพูดไว้สิ วันข้างหน้าถ้าหล่อนจำเรื่องราวทุกอย่างได้เดี๋ยวหล่อนก็ไปเองละน่า
“จะจ้องฉันอีกนานมั้ย หา! ไหนล่ะที่ที่นายจะให้พัก” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องหน้าหล่อนนานเกินไป หล่อนจึงถามอย่างไม่พอใจ
ตะวันฉายยืนกอดอกแล้วพูดว่า
“นี่คุณ พูดกับผมให้มันดีๆ หน่อย ผมเป็นเจ้าของที่นี่นะ”
“แล้วยังไงยะ จะให้ฉันพูดคะพูดขากับนายหรือไง หา!”
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะดีมากๆ เลยละ”
“ฝันไปเถอะย่ะ” หล่อนเบะปากใส่เขา
เมื่อชลธรเห็นว่าทั้งสองกำลังจะทะเลาะกันก็รีบห้าม
“ใจเย็นๆ กันก่อน อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ” แล้วหันไปทางเพื่อน “ไอ้ตะวัน เดี๋ยวแกพาคุณเขาไปที่บ้านพักนะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน” ตะวันฉายถาม
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“ก็แกเป็นเจ้าของที่นี่ไง”
“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย”
“แกไม่ต้องพูดมาก รีบพาคุณเขาไปซะ คุณเขาคงอยากจะพักผ่อนแล้ว...เอ้อ จริงสิ ฉันวานให้แกช่วยตั้งชื่อชั่วคราวให้คุณเขาด้วยนะ”
“ฉันอีกแล้วเหรอ” ชายหนุ่มทำหน้าเหวอ
ผู้เป็นเพื่อนพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่! แกนั่นแหละ”
“แล้วแกจะไปไหน”
“ฉันจะไปเตรียมเงินเพื่อที่จะจ่ายคนงานในวันพรุ่งนี้” ชลธรบอก ก่อนจะพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ “ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวเจอกันตอนเย็นครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ นี่คุณจะให้ฉันอยู่กับนายปากมอมนี่จริงๆ เหรอคะ” หล่อนถาม
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ไม่ต้องกลัวมันนะครับ มันไม่ใช่หมา มันไม่กัดหรอกครับ”
“ไอ้ชล” ตะวันฉายทำหน้าเหวออีกครั้งเมื่อเพื่อนพูดอย่างนั้น
ชลธรยิ้มให้เพื่อนนิดๆ ก่อนจะเดินออกไปทันที
เมื่ออยู่กันสองคนหญิงสาวคนนั้นก็ถามผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นว่า
“สรุป...นายคิดชื่อที่จะตั้งให้ฉันออกหรือยัง”
“ถ้าจะให้ผมตั้งให้ ผมจะเรียกคุณว่ายายปากตะไกร” เขาตอบ
เจ้าหล่อนถึงปรี๊ดแตก
“อ๊ายยย! นายกล้าดียังไงมาเรียกฉันแบบนี้”
“ผมพูดเรื่องจริง คุณน่ะปากตะไกรจริงๆ ทำไมล่ะครับ คุณรับไม่ได้เหรอ”
“นายก็ปากตะไกรเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ต้องมาว่าฉันว่าปากตะไกรคนเดียวหรอก”
“เอาละ เราหยุดกัดกัน เอ๊ย หยุดทะเลาะกันสักหนึ่งชั่วโมง เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่พัก”
“ก็ไปเลยสิยะ ถ้านายไม่ชวนฉันทะเลาะก็คงได้ไปตั้งนานแล้วละ” หล่อนว่า
ฝ่ายชายยิ้มกวนๆ ใส่ ก่อนจะผายมือเชิญ
“เชิญครับคุณผู้หญิง เดี๋ยวกระผมจะพาคุณผู้หญิงไปที่พัก”
“ไม่ต้องประชดฉันหรอกย่ะ”
“เอ้า อุตส่าห์พูดจาเพราะด้วยนะเนี่ย”
“เพราะตายแหละ”
“เพราะครับ แต่ไม่ถึงตาย”
“โอ๊ย!”
“ไปครับ เชิญครับ เดินตามผมมา” ตะวันฉายเดินนำหน้าหญิงสาวไปที่เรือนรับรอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไหร่นัก เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้วละ
เมื่อเดินมาถึงเรือนรับรองชายหนุ่มก็บอกกับผู้ที่เดินตามมาว่า
“ถึงแล้วครับ นี่คือที่พักของคุณ มันอาจจะเล็กไปหน่อย ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะพออยู่ได้มั้ยครับ”
เรือนรับรองหลังนี้เป็นเรือนเล็กๆ มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และหนึ่งห้องครัว สร้างไว้เผื่อมีแขกมาขอพัก แล้วพอดีหญิงสาวผู้นี้มาจึงได้พัก
คนถูกถามจึงตอบว่า
“ก็พออยู่ได้นะ”
“ถ้างั้นก็เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“ไม่ต้อง นายส่งฉันตรงนี้ก็พอย่ะ เดี๋ยวฉันเข้าไปเอง”
“ทำไม...กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณหรือไง”
“ก็ใช่น่ะสิ” หล่อนตอบไปตามตรง
ผู้เป็นเจ้าของไร่ถึงกับขำ จนอีกฝ่ายถาม
“ขำอะไรไม่ทราบ”
“เปล่า!” เขาโกหก ก่อนจะบอกว่า “อ้อ เสื้อผ้าผมสั่งแม่บ้านเตรียมไว้ให้คุณหลายชุดเลย ไม่รู้ว่าคุณจะใส่ได้หรือเปล่า แล้วนี่กุญแจ” ยื่นกุญแจให้
หญิงสาวกระชากกุญแจจากมือเขาอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวเขามาก
“ขอบใจย่ะ ฉันเข้าบ้านก่อนละ” หล่อนหันหลังจะไปไขกุญแจเข้าบ้าน
ตะวันฉายพูดขึ้นอีกว่า
“อ้อ ระหว่างที่คุณจำชื่อตัวเองไม่ได้ผมจะเรียกคุณว่าจี๊ดแล้วกัน”
“ทำไมนายถึงนายถึงให้ฉันชื่อนี้ หา!” หล่อนหันไปถามเขา
อีกฝ่ายจึงถามว่า
“คุณอย่าถามมากได้มั้ย ชื่ออะไรก็เอาไปเถอะ ผมขอตัวก่อน ถ้าคุณอยากได้อะไรก็ไปบอกผมได้ บ้านผมอยู่ใกล้ๆ นี้เอง”
“ย่ะ” หล่อนหันกลับไปไขกุญแจต่อ
ส่วนตะวันฉายก็เดินออกไปจากตรงนั้น
เมื่อเข้ามาข้างในเรือนรับรองหญิงสาวก็ปิดประตูและล็อกกลอน ก่อนจะเดินสำรวจรอบๆ แล้วพูดว่า
“จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็น่าอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ข้างในบ้านหลังนี้นั้นกว้างขวางมาก ถึงแม้มันจะเล็กแต่ก็น่าอยู่ ไม่น่าอึดอัดเลย แถมยังปลอดโปร่งโล่งสบายด้วยซ้ำไป
แล้วหญิงสาวก็เดินไปที่ห้องนอน หล่อนเปิดประตูเข้าไปและปิดไว้เหมือนเดิม เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นว่าห้องนอนถูกจัดอย่างสวยงาม บนเตียงนอนมีตุ๊กตาหมีวางอยู่หลายตัวเลย ส่วนผ้าปูกับผ้าห่มก็เป็นสีชมพูเข้ม เพิ่มความหวานแหววมากขึ้นไปอีก เจ้าของห้องนอนคนใหม่ถึงกับยิ้มชอบใจ
“น่านอนจังเลย”
แล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้า หล่อนเห็นเสื้อกับกางเกงแขวนไว้หลายตัว เป็นเสื้อกับกางเกงที่ใส่สบายๆ หล่อนหยิบออกมาหนึ่งชุดแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งก็อยู่ในห้องนอนนั่นละ หล่อนเข้าไปชำระล้างทำความสะอาดร่างกายเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อนต่อไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 289
แสดงความคิดเห็น