แล้วเจ้าล่ะ ชีวิตแรกเป็นเช่นไร

-A A +A

แล้วเจ้าล่ะ ชีวิตแรกเป็นเช่นไร

          ม่านลมที่ถูกแหวกออกด้วยความเร็วอันสุดยอดให้ความรู้สึกเย็นสะท้าน   มังกรดำตัวใหญ่ไม่แพ้ขุนผา   ร่างกายเสมือนประกอบจากผลึกสีดำนับล้าน   จิตใจล่องลอยไม่เป็นตัวของตัวเอง   หากไม่ใช่เพราะความทรงจำในวันนั้น   มือที่ห้อยอยู่กับตัวคงพลั้งเฉือนคอลูกน้องคนโปรดไปแล้ว   ดวงตาสีแดงเหลือบมองลงไป   ทัศนวิสัยเบื้องล่างที่มองเห็นคือผืนป่าขนาดใหญ่   มันกำลังเปลี่ยนเป็นภาพพื้นหินที่คุ้นเคย   แสงสว่างในยามเช้าดับหายไปราวกับสุริยุปราคามาเยือนก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง   รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวโปรด   ภายในท้องพระโรงของพระราชวังที่เพิ่งจากมาไม่นาน   เสียงเอะอะโวยวายจากเบื้องหลังประตูที่ปิดสนิทเรียกความสนใจจนต้องตะโกนบอกให้องครักษ์หน้าประตูเปิดมันออก   แม่ลูกคู่หนึ่ง   การแต่งกายมอมแมมราวกับขอทาน   ก้มบ้างคลานบ้างและหยุดที่บันไดขั้นแรกของบัลลังก์แม้จะมีองครักษ์พยายามเข้ามาห้ามแต่พอเห็นดวงตาสีแดงที่กำลังมองจ้องพวกเขาจึงถอยหลังกลับไปทันทีพลันดวงตาคู่เดิมเลื่อนลงมามองที่แม่ลูกคู่นั้น   “ฝ่าบาท   กระผมต้องขออภัยที่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาถึงในท้องพระโรง…..”   มือที่ยกขึ้นของร่างที่ประทับบนบัลลังก์หินดำ   ทำให้ปากที่อ้ากว้างของชายวัยกลางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่หุบลงในทันใด  

          “พวกเจ้ามีธุระอะไรกับข้ารึ?”   มาร์เวทวางมือลงกับแท่นอีกครั้ง   ดวงตาจับจ้องร่างหญิงกลางคนผู้ลุกขึ้น   จับชายเสื้อเด็กชายตัวสั่นอย่างรุนแรงจนตัวลอย   “ฝ่าบาท   โปรดทรงใช้ลูกชายข้าเป็นโล่ให้พระองค์ด้วยเถิดเพคะฝ่าบาท”   ใบหน้าที่แสดงออกของคนเป็นแม่   รอยยิ้มกว้าง   ดวงตาเบิกโพลนจนดูน่ากลัวและความกระหายบางสิ่งบางอย่างจากตัวเขา   “เจ้าคิดว่ามันง่ายนักรึที่จะมาเป็นองครักษ์ของจักรวรรดิข้า?”   หญิงวัยกลางคนแม้จะแสดงอาการตกใจกับท่าทีดุดันของผู้เป็นพระจักรพรรดิ   แต่กลับไม่แสดงออกว่ากลัวแต่อย่างใด   “หากท่านไม่เชื่อก็โปรดทรงทดสอบเด็กคนนี้ได้เลยเพคะฝ่าบาท”  

          ความเงียบเข้าครอบงำ   ดวงตาเบิกกว้างเพราะความสรรเสริญเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเพราะกำลังถูกดวงตาสีเลือดนั้นจ้องมองจากมุมมืดของตัวห้องที่ทำให้มองเห็นเพียงสีแดงบนใบหน้าเพียงสองจุด   แม้เพียงการขยับเล็กน้อยบิดพริ้วบรรยากาศ   เช่นเดียวกับทุกย่างก้าวที่ออกเดิน   มืดหม่นและน่าอึดอัดจนเหมือนอากาศได้หายไป   อาการสั่นที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกส่วนของร่างกายทวีความรุนแรงมากขึ้น   ยิ่งเมื่อเห็นเขาคนนั้นใกล้เข้ามา   ดาบถูกโยนออกกระทบลงตรงหน้าของเด็กชายผู้บอบบาง   ดั่งประกาสิทธิ์ให้เขาใช้มัน   “หากไม่เป็นดั่งที่เจ้ากล่าวมา   ข้าจะฆ่าเด็กคนนี้เสีย...รวมถึงเจ้าด้วย”   นัยน์ตาที่เลื่อนขึ้นมองหน้าของหญิงวัยกลางคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเอาจริง  

          เพียงชั่ววินาทีที่ดวงตาสีเลือดหลุดโฟกัส   แรงเหวี่ยงอันรุนแรงจนเกิดเสียงตัดลมขึ้น   คมดาบฟาดลงกับแขนอันไร้เครื่องป้องกันของมาร์เวท   น่าแปลกที่มันไม่เฉือนเนื้อ   ไม่แม้แต่จะสร้างร่องรอย   มาร์เวทจ้องหน้าเด็กชาย   ดวงตาที่เบิกกว้างผิดธรรมชาติ   ร่องรอยของการถูกทำร้ายแม้จะสมานกันแล้ว   ดาบที่อัดแน่นแรงที่มีทั้งหมดกำลังสั่น   เปลวไฟสีแดงพุ่งออกจากฝ่ามือที่กางออกจากลำตัวและก่อเป็นรูปร่างของดาบสีแดงที่ถูกฟาดฟันเข้าใส่ดาบที่ตั้งรับการโจมตี   เจ้าของดาบเหล็กกระเด็นออกตามแรงที่ไม่เท่าเทียมของคู่ต่อสู้   กระนั้นก็ยังลุกขึ้นยืนแม้ขาจะสั่นเกร็ง   มาร์เวทไม่รอช้า   พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง   ดาบที่จับอย่างไม่แน่นหนาพานหลุดมืออย่างง่ายดายแม้จะใช้ถึงสองข้างประคอง   ไม่ว่าจะหลุดมือสักกี่รอบแต่ที่ยังประคองได้คือหัวของเขาเอง  

          ท้ายที่สุดก็เป็นเด็กชายที่หมดแรงไปเอง   จะยืนก็ยังไม่ไหว   แม้จะเอื้อมมือไปจับดาบตรงหน้าก็ไปไม่ถึง   รองเท้าเหล็กหัวมังกรเหยียบลงที่ปลายดาบ   ดีดมันขึ้นและใช้มือเปล่าจับด้ามดาบอย่างชำนาญ   เสียงสอดดาบเข้าฝักดังขึ้นเสมือนการต่อสู้ที่ยุติลง   “ฝีมือไม่เลว   ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นองครักษ์ของข้าก็แล้วกัน”   มาร์เวทเดินกลับไปที่บัลลังก์   หูยังคงฟังเสียงสนทนาของผู้เป็นแม่ที่กล่าวกับลูกตัวเองอย่างไม่แยแส   “เจ้ามันอ่อนแอ   ทำได้เพียงเท่านี้เองรึ   เสียชาติเกิดเสียจริง!!!”   เสียงตะคอกดังระงม   “ข้าขอโทษ   ท่านแม่”   เด็กชายแม้จะเหนื่อยมากเพียงใดแต่กลับมีแรงคลานไปหาผู้เป็นแม่   ก้มกราบขออภัยในพระคุณที่มิอาจทดแทนได้อย่างเต็มที่   ไม่ทันสนใจเสียงฝีเท้าของจักรพรรดิที่ดับไปตอนไหนไม่รู้   “แม่ของเจ้ามิได้อยากมีเจ้าแต่แรก   เจ้าเองก็คงคิดแบบเดียวกัน”   “ฝ่าบาท...”   เธอทำได้เพียงอุทานเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นมันรวดเร็วเกินกว่าจะเข้าใจได้   เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นห้อง   เลือดของเด็กชาย   เสื้อผ้าที่ขาดว่อนออกเป็นทางยาวเผยบาดแผลจากไหล่ซ้ายมาจนถึงสะดือในแนวเฉียง   เขายอมเอาตัวเข้าป้องกันผู้เป็นมารดาด้วยร่างกายกะทัดรัดที่กำลังล้มลงอย่างไร้แรงยึดเหนี่ยว   “เท่านี้   เจ้าเองคงมิเสียใจอีกต่อไปใช่รึไม่?”   ดวงตาสีแดงคู่นั้นไม่ได้หวังให้เธอตอบเพราะสติของหญิงผู้เป็นแม่ได้ขาดผึงไปในการจู่โจมเมื่อครู่แล้ว   เธอกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะเป็นลมล้มพับที่ข้างศพของลูกชายวัยเยาว์   “พวกเจ้า   พาร่างของนังนี่ออกไปให้พ้นจากพระราชวังของข้าและจากนี้ไปให้ส่งคนรับใช้ไปปรนนิบัติมันจนกว่ามันจะตายอย่างมีความสุขที่สุด”   มาร์เวทเดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์ตามเดิม    ความมืดที่ยังคงครอบงทุกส่วนของท้องพระโรงบัดนี้กำลังส่องแสงสว่างอีกครั้ง  

          มาร์เวทลืมตาขึ้น   ครั้งนี้ไม่ใช่ภาพฝันแต่เป็นสิ่งจริงแท้ที่ปรากฏต่อสายตา   เพดานไม้สีอ่อนไม่คุ้น    เขาลุกนั่งบนเตียง   เป็นเตียงที่เล็กมาก   มองออกไปโดยรอบ   การตกแต่งภายในตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง   ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจนอกจากโต๊ะที่วางกองไพ่ปริศนา   เขาจึงลุกออกจากเตียงแต่ก้าวออกไปไม่กี่ก้าวก็พบกับเด็กสาวผู้กำลังยืนจังก้าอยู่หน้าประตูบ้าน   ใบหน้าจิ้มลิ้ม   ไร้พิษภัย   แต่ไม่รู้ทำไมถึงกำลังกำด้ามดาบไว้แน่น   เตรียมฟาดฟันออกไปข้างหน้าหากจำเป็น   “ท่านพ่อ   ฝ่าบาทตื่นแล้ว”   เสียงใสนั้นทำให้มือที่จับด้ามดาบคลายออกทันใด   ยิ่งเมื่อได้เห็นเจ้าของบ้านที่เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารและแก้วน้ำ   ยิ่งทำให้รู้สึกโล่งใจเป็นไหน   เพราะชายคนนี้คือพ่อมดขาวในคืนนั้นและเด็กผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็น...

          แก้วน้ำที่ยกขึ้นดื่ม   ไม่กลัวยาพิษที่อาจผสมอยู่   ด้านหน้าของบ้านตรงกับลำธารน้ำใสในป่าลึก   เป็นภาพบรรยากาศและเสียงธรรมชาติอันน่ารื่นรมณ์ใจ   แก้วน้ำถูกวางลงกับพื้น   ต่างอาศัยความเงียบให้เป็นประโยชน์   “ข้าถามอะไรเจ้าหน่อย”   มาร์เวทอยู่ๆก็เอ่ยขึ้นมา   ดวงตามองต่ำลงบนลำธารน้ำใส   “เหตุใดเจ้าจึงไว้ชีวิตข้า?”   ประโยคที่ได้ยินไม่ได้ทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนแสดงออกอย่างตื่นเต้นแต่อย่างใด   “เจ้าเองรู้ดีกว่าใครถึงการมีอยู่ของข้าและจักรวรรดิแห่งไฟ   เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงยังอยากให้ข้ามีชีวิตอยู่กันเล่า?”   ชายเจ้าของบ้านเหมือนจะไม่อยากตอบ   “ฝ่าบาท   กระผมมิอาจตอบคำถามของพระองค์ได้แต่มีสิ่งหนึ่งที่พระองค์ควรรู้ไว้”   เมื่อตอบคำถามเสร็จก็ลุกขึ้นยืน   เดินตรงไปที่ลำธาร   กักน้ำด้วยฝ่ามือที่ประกบกัน   เดินกลับมาที่ด้านหน้าของมาร์เวทและยื่นฝ่ามือนั้นไปข้างหน้า   อีกฝ่ายเหลือบตามองลงไป   มันคือปลาตัวเล็ก   ว่ายวนอยู่ในฝ่ามืออย่างลุกลี้ลุกรน   “จะบีบก็ตาย   จะคลายก็รอด   ก็เหมือนปลาตัวนี้ที่มันกำลังเต้นรำอยู่บนฝ่ามือของกระผม   ทุกชีวิตมีค่าเสมอเพียงแต่ตัวฝ่าบาทอาจจะยังไม่เจอคุณค่าของปลาเหล่านี้   คุณค่าของมนุษย์ที่พระองค์ทรงเข่นฆ่าไปนับไม่ถ้วน   สักวันจะทรงเข้าใจถึงความหมายของการมีชีวิตขอรับฝ่าบาท”   แอ่งน้ำขังลอยตัวขึ้น   กลายเป็นฟองน้ำขนาดเท่าสองมือและลอยกลับไปรวมกับผืนน้ำตามเดิม   เจ้าของบ้านหันกลับมา   ใบหน้าเย็นชาของมาร์เวทยังมองไปข้างหน้า   ไม่เปลี่ยนรูปแบบหรือแสดงออกว่าได้ขยับท่าทางแล้ว   “ฝ่าบาท   หากทรงอยากค้างคืนที่นี่   กระผมจะจัดห้องให้ขอรับฝ่าบาท”   ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากอีกฝ่าย   “ฝ่าบาท   ให้กระผมเติมน้ำ…”   “ไม่   ข้าจะไปแล้ว   ขอบใจเจ้ามาก”   มาร์เวทลุกขึ้นยืน   กางแขนที่กลายเป็นปีกสีดำขนาดใหญ่และออกบินไปทันใด   ชายเจ้าของบ้านแหงนหน้ามองขึ้นไปพลันเผยรอยยิ้มออกมา

 

          สายลมยามเย็น   แสงอัสดง   มองเห็นรูปร่างของหุบเขาลางๆ   มันเป็นหุบเขาเดียวกับที่เขาเคลื่อนเหนือเวหา   ผ่านมาและผ่านไป   จากมุมบนไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยแต่ในทางกลับกัน   ผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง   ภายในป้อมปราการอันแข็งแกร่งสามารถมองเห็นเงาสีดำทะมึนที่กำลังบดบังแสงสว่างเบื้องบนแม้เพียงชั่วขณะ   ผู้คนวิ่งแตกรังกันไปคนละทิศคนละทางด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด   แม้จะรู้ว่ามีอำนาจที่มองไม่เห็นแต่ทุกครั้งที่เห็นมังกร   แม้เพียงตัวเดียวในโลกบินผ่าน   แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งในล้าน   แต่ก็ทำให้เกิดความหวาดกลัวจนพวกอ่อนแอหมดสติกลางทางเลยก็มี   ชายวัยชราวิ่งออกจากบ้านอย่างร้อนรน   หน้าแหงนมองฝืนฟ้าแต่กลับไม่เห็นสิ่งใดแล้ว   เขากัดฟันแน่น   เส้นทางที่มีคนบอกเล่าคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่มังกรยักษ์บินผ่าน   “เจ้ามาร์เวท   มันไปไหนของมัน?”   กลุ่มสมาชิกผู้นำที่เหลือทยอยเดินทางมารวมตัวกับชายชรา   “ท่านฮาโรล์กเห็นแล้วใช่รึไม่   ทิศทางที่มันบินไป?   คงจะเป็นฐานทัพของพวกมัน”   ชายหนุ่มเอ่ยพลางครุ่นคิดความเป็นไปได้อื่นๆ   “ที่แน่ๆคือมันมองไม่เห็นพวกเรา   ก็ถือว่าการสวดมนต์ได้ผลอย่างน่าประทับใจ”   ชายชราคนที่สองกล่าวขึ้น   “อย่างใดก็ตาม   ข้าคิดว่าควรสืบหาข้อมูลของการเดินทางของมันในวันนี้จะดีกว่า   ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มันเดินทางโดยลำพัง”   บางส่วนพยักหน้ารับ   เพียงส่วนน้อยที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะแยกย้ายกันกลับที่พักของตนซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละโซนหมู่บ้านซึ่งมีถึงแปดโซนด้วยกัน

         

          เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ   ดังพอให้มาราอานได้ยินและจ้องมองมาที่ชายหนุ่มรูปงามผู้ไร้ซึ่งรอยยิ้ม   ดวงตาดุร้ายไม่ได้มองที่เธอแต่เป็นเพดานด้านบน   “มีอะไรรึ?   ใบหน้าของข้ามันดูอ่อนแอนักรึไงจึงจ้องข้าเช่นนั้น?”   ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ไม่ได้เหลียวหางตามองอีกฝ่ายแม้ในขณะกล่าว   เธอได้แต่ทำมือโต้ตอบเชิงสัญลักษณ์   “น่ารำคาญ   รีบทำให้ข้าหลับเสียที”   มาร์เวทเอนคอลงจนหัวถึงหมอน   ดวงตาปิดลง   ปล่อยให้มือตนต้องสัมผัสอันอบอุ่น   เริ่มเห็นแสงสว่างอีกครั้ง    ดำดิ่งลง   ลงไปยังสวนหลากสี   กลิ่นหอมอันยั้วยวนช่วยผ่อนคลายความร้อนรุ่มในกายจนหมดไป

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.