เพื่อน

-A A +A

เพื่อน

          ใบไม้เขียวเข้ม   เมื่อใดมันร่วงรา   เป็นสิ่งไร้ค่า   นับล้านทับถม   เกิดกำแพงสูงใหญ่   กลับมีชีวิตในยามต้องลม   เสียงเจ๊าะแจ๊ะสลับเคลื่อนตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ   กลุ่มคนมากฐานะและอายุต่างจับจ้อง   มองลึกเข้าไปในเส้นทางเพียงเส้นเดียวของพุ่มไม้วงกต   สุดยอดกำแพงที่ตัดขาดโลกทั้งสองอย่างง่ายดาย   รถม้ามากมายจอดอยู่สองฝั่ง   เว้นทางกึ่งกลางไว้  

          เด็กสาวผมเปีย   ม้วนเป็นลอน   แดงสว่างของกลีบกุหลาบ   ดูมีฐานะมั่งคั่งจากเครื่องแต่งกายและลวดลายอัญมณีหลากสี   ฝังบนผิวของรถม้า   ด้านหน้าคือสิ่งมีชีวิตสี่ขา   สองหางและสองเขาที่งอกในแนวเดียวกัน   ตั้งแต่คอลงมาจนถึงหน้าท้องสวมเครื่องเกราะ   ล่ามโซ่เหล็กกับส่วนหน้าของรถม้าที่ชายวัยกลางคนนั่งคุมบังเหียนของพวกมันสองตัว   ใครจะรู้ว่าเธอมารอตั้งแต่พระอาทิตย์ของวันยังไม่ส่องประกาย   เช่นเดียวกับอีกคนที่ยังอุดอู้อยู่ภายในรถม้าหรูฝั่งตรงข้าม   ไม่แม้แต่จะแสดงตัวออกมา

          เสียงแตรจากอีกฟากของกำแพง   ฟังครั้งแรกไม่คุ้นหู   ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวมากกว่าฮึกเหิม   ไม่ใช่เขาสัตว์ทั่วไป   มังกรไร้ปีก   แขนและขาใหญ่ไม่แพ้ร่างกายที่เคลือบเกล็ดเทาขาว   สี่ตัวแรกเดินเรียงแถวออกจากเส้นทางของพุ่มวงกต   แต่ละตัวมีคนนั่งอยู่   เครื่องแต่งกายน่ากลัวเหมือนปีศาจสีแดง   “เปิดทางให้ราชองครักษ์ราชินี!!!”   ขบวนรถม้าราชินีตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบ   เสียงสรรเสริญดังตลอดสองฝั่งถนนที่ขบวนขับเคลื่อนออกไป   เมื่อลับตาไปแล้ว   ชาวบ้านบางส่วนเริ่มแยกย้ายไปตามทาง   ส่วนน้อยยังปักหลักรอขบวนเสด็จถัดไปซึ่งไม่ใช่ใครแต่เป็นของเจ้าชายฟรานซิสโก้   ข่าวลือที่ว่าเจ้าชายผู้ไร้เงาจะเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้เป็นวันแรก

          จูปิตันจ้องมองนาฬิกาพ็อคเก็ตของตนเอง   เวลาในตอนนี้คือหกโมงครึ่ง   ขบวนราชินีออกจากเส้นแบ่งเขตพระราชฐานในเวลาหกโมงตรงและคงมีจุดหมายคือโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ซึ่งน่าจะใช้เวลาราวชั่วโมงเห็นจะได้   แต่เดี๋ยวก่อน   มีบางอย่างผิดแปลก   เด็กสาวทำท่าครุ่นคิดก่อนได้ยินเสียงควบรถม้าจากฝั่งตรงข้าม   รถม้าหรูนั่นจากไปแล้ว   เธอแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะโดยไม่ทันรู้ตัว  

          ผ่านไปอีกเพียง   5   นาที   ความลังเลเริ่มชัดเจนมากขึ้น   เธอเริ่มสับสน   ยิ่งเมื่อเห็นชาวบ้านกำลังจากไป   ยิ่งทำให้เริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น  

          เข็มนาฬิกาชี้ที่เลข   7   “คุณหนู   หากไม่เดินทางตอนนี้   กระผมเกรงว่าคุณหนูจะไปไม่ทันพิธีการยามเช้าขอรับ”   เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่   หรือบางทีข่าวลือจะเป็นเรื่องแต่ง   เธอยอมขึ้นรถม้าแต่โดยดี  

 

          เคลื่อนผ่านประตูรั้วสีดำสูงใหญ่   รถม้านับร้อยสัญจรในทิศทางเดียวกัน   ผืนป่าทึบน่าวังเวงทั้งสองฝั่งกับถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตานำไปสู่ลานกว้างขนาดใหญ่   ที่ตั้งของน้ำพุไวเวิร์น   เหนือขึ้นไปคือบันไดไล่ระดับและชานของอาคารทรงประหลาดคล้ายหัวของมังกรแต่นั่นไม่ใช่ที่ที่นักเรียนที่ลงจากรถม้าเข้าไป   ใช้เส้นทางซ้ายขวาของชานอาคารเพื่อเดินไปยังสถานที่ที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังผืนป่า   ที่นั่นคือลานกว้างโล่งขนาดใหญ่   แออัดไปด้วยนักเรียนในเครื่องแบบผ้าคลุมแดงและสัญลักษณ์สีทองบนผ้าคลุม   บางผืนมีสัญลักษณ์สัตว์แตกต่างไปสี่ชนิดที่ส่วนหลัง   หน้าคือเวทีขนาดใหญ่   โต๊ะยาว   3   ตัว   ฝั่งซ้ายมีนักเรียนประจำเก้าอี้   4   คน   ฝั่งกลางเป็นของกลุ่มคนสูงอายุและวัยกลางคนและฝั่งขวามีแต่เก้าอี้เปล่า   4   ตัว

          หญิงสีขาวลุกขึ้น   ไม้พลองสีใสขนาดพอดีมือยื่นขึ้นจ่อริมฝีปากล่างอันอวบอิ่ม   กล่าวทักทายนักเรียนเบื้องล่าง   เสียงอบอุ่นไม่แพ้ชุดที่สวมใส่   สีขาวยามต้องแดดเหมือนร่างทั้งร่างอาศัยอยู่ในกลีบดอกไอริสขาว   “ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งความสามัคคีและการให้อภัยที่แท้จริง”   แท้จริงแล้วเธอคือราชินีแห่งราชวงศ์ฟรานซิสโก้   กลุ่มคนที่นั่งรายล้อมเธอคือคณะสภาโรงเรียนซึ่งเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น  

 

          นักเรียนต่างทยอยเดินทางไปยังอาคารที่ถูกกำหนดไว้ในเอกสาร   มันมีทั้งสิ้น   9   อาคาร   ภายในอาคารเรียนไวเวิร์น   ชั้นที่   2   ห้อง   312   ซาคาเรียสมองกระดาษที่ตนถืออย่างขะมักเขม้น   “ห้องนี้แหละครับ”   โทมัสผลักประตูบานคู่เข้าไป   เหมือนลมที่ถูกอัดอยู่ในกระป๋องน้ำอัดลม   เสียงอันมากมายไหลทะลักออกมาจากช่องว่างที่เปิดออก   ปัดเป่าความเงียบในทางเดินหายไปหมด   พวกเขาเดินเข้าไป   มองหาที่นั่ง   เหลืออยู่เป็นหย่อมๆ แต่สุดท้ายก็ได้ที่นั่งสำหรับสองคน   มันเป็นโต๊ะยาวสำหรับห้าคนที่มีคนจองเพียงหนึ่งและกำลังนอนฟุบหน้าหันไปอีกข้าง  

          ซาคาเรียสกำลังจะเดินไปนั่งที่ข้างนักเรียนปริศนาแต่ถูกโทมัสจับแขนไว้   โทมัสไม่ได้กล่าวอะไร   เขานั่งฝั่งตรงข้ามของนักเรียนคนนั้น   ซาคาเรียสจึงนั่งตาม  

          เวลาในหน้าปัดนาฬิกาพ็อกเก็ตบ่งบอกว่าใกล้ถึงช่วงเรียนแต่กลับไร้รูปร่างของอาจารย์   ตึง!   เสียงสนทนาเงียบลง   ใบหน้าที่หันมองไปที่ด้านหลังห้องเรียนค่อยๆ หันกลับมาที่หน้ากระดานอย่างช้าๆ   เจ้าของเสียงฝีเท้าหนักและน่าเกรงขาม   ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบที่แตกต่าง   ผมสีส้มปะไหล่   แผ่นหลังที่ถูกจับจ้อง   กว้างและแข็งแกร่ง   เดเมียนเริ่มเขียนกระดานดำ   “ชั้นเรียนไอเทมในชีวิตประจำวัน   เรียนทุกวันจันทร์   เริ่มตั้งแต่   8   โมงเช้าถึง   6   โมงเย็น   ช่วงเวลาพักกลางวันคือเที่ยงตรงถึงบ่าย   2”   “ไอเทมคือสิ่งอำนวยความสะดวกของมนุษย์   ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ   ชุดโต๊ะไม้ที่พวกคุณใช้เรียนหรือแม้กระทั่งชอล์กขาวที่อยู่บนมือของผม”   เขาชูชอล์กขึ้น   “ประเภทของไอเทมในปัจจุบันมีอยู่   3   ประเภทได้แก่ไอเทมที่มนุษย์สร้าง   ไอเทมพลังจิตและไอเทมเวทมนต์แต่ในบทเรียนของผม   พวกเราจะเรียนแค่ไอเทมพลังจิตเท่านั้นครับ”  

          “ไอเทมที่มนุษย์สร้างคือสิ่งของที่พวกคุณเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน   ยกตัวอย่างเช่นโต๊ะและเก้าอี้   ส่วนไอเทมพลังจิตแยกย่อยออกตามลักษณะการสร้างได้สองแบบคือหนึ่ง   ไอเทมที่เกิดขึ้นจากมนุษย์และสองคือไอเทมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ”   เดเมียนชูก้อนหินก้อนหนึ่งจากกระเป๋ากางเกง   “พลังจิตคือส่วนประกอบสำคัญในร่างกายมนุษย์เพราะหากไร้ซึ่งพลังจิตคนคนนั้นจะไม่สามารถปลดปล่อยไฟได้”   ไฟสีแดงลุกไหม้กินบริเวณข้อแขนของเดเมียน   “เมื่อนำพลังจิตผสมเข้ากับไอเทมที่มนุษย์สร้างก็จะก่อให้เกิดไอเทมชนิดใหม่”   ไฟดับในทันทีที่เขากล่าวจบ   “เหตุผลที่ก้อนหินถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในไอเทมเหมือนโต๊ะเรียนและชอล์กเป็นเพราะว่ามันคือหนึ่งในสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกของมนุษย์แม้หน้าที่ของมันจะยากต่อการจินตนาการถึงก็ตาม”   นัยน์ตาเขียวมรกตมองสำรวจใบหน้าของนักเรียนโดยรอบ   รู้ทันทีว่านักเรียนส่วนใหญ่จับประโยคเมื่อครู่ไม่ได้

          “ถ้าแค่พูด   พวกคุณคงยังไม่มีภาพในหัวที่ชัดเจนดังนั้นวันนี้ผมจะสร้างไอเทมพลังจิตขึ้นมาให้ดูโดยใช้สิ่งนี้”   เดเมียนกดชอล์กขาวลงบนกระดานดำ   ขีดลากเป็นเส้นตรงยาวจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมก่อนจะหันมามองนักเรียนอีกครั้ง   “ชอล์กนี้คือไอเทมที่มนุษย์สร้างขึ้นจากการนำปูนปลาสเตอร์ผสมกับน้ำก่อนจะอัดลงไปในแม่พิมพ์โดยมีหน้าที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้คู่กับกระดานดำ...”   เดเมียนกำมือที่ถือชอล์กแน่น   “แล้วถ้าเกิดว่ามันเป็นไอเทมพลังจิตขึ้นมาล่ะ?”   เขาหลับตาลง   พอลืมตาขึ้น   กดชอล์กลงบนกระดาน   แทนที่มันจะปล่อยเส้นสีขาวกลับเป็นเปลวไฟสีแดง   “ทีนี้คงเข้าใจแล้วนะครับว่าไอเทมที่มนุษย์สร้างเมื่อถูกเปลี่ยนให้เป็นไอเทมพลังจิตจะสูญเสียอำนาจการใช้งานของมันไปโดยสิ้นเชิงแต่มีข้อยกเว้นในบางกรณีเช่นโต๊ะหรือเก้าอี้เพราะแม้จะถูกเปลี่ยนเป็นไอเทมพลังจิตแต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของมันยังคงสามารถใช้ในการนั่งหรือวางสิ่งของได้เหมือนเดิมครับ”   การสอนดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย   ทั้งซาคาเรียสและโทมัสต่างไม่แสดงความสนใจเพื่อนร่วมโต๊ะ   ไม่แม้แต่จะเหลียวตามอง   อีกฝ่ายเองก็ไม่ต่างกัน  

          เสียงประกาศเลิกชั้นเรียน   นักเรียนที่ยังงุนงงกับบทเรียนต่างทยอยออกจากห้องเรียนอย่างเป็นระเบียบ   มีแค่สี่คนที่ยังนั่งรอแถวมนุษย์อย่างใจเย็น   “พวกเราไปกันเลยไหมครับ?”   ซาคาเรียสกล่าวเมื่อเห็นว่ามีแค่พวกเขาตามลำพัง   โทมัสพยักหน้ารับ  

          บนระเบียง   พวกเขาเห็นนักเรียนเกาะกลุ่มและเดินไปในทิศทางเดียวกัน   บานหน้าต่างเปิดอ้ารับลมและแสงแดดยามเที่ยง   โทมัสเดินนำซาคาเรียส   ตามกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งจนถึงชานอาคารเรียน   ทั้งที่ในแผนที่โรงเรียนระบุชัดเจนว่ามีโรงอาหารถึง   2   ที่   ทางทิศตะวันออกและตะวันตกแต่ที่นี่และโดยรอบน้ำพุมังกรเต็มไปด้วยนักเรียน   พวกเขามีกล่องสำรับอาหารวางบนพื้น   กำลังรับประทานอาหารกันอย่างเงียบสงบ   “สงสัยจะไม่ชอบโรงอาหารนะครับ”   ซาคาเรียสหัวเราะ   โทมัสได้แต่ขมวดคิ้ว   สุดท้ายก็เลือกไปโรงอาหารตะวันออก   เส้นทางค่อนข้างไกลหากใช้เท้าเปล่าเพราะงั้นจึงมีรถม้ารับส่งของทางโรงเรียนเพื่อการนั้น  

          ซาคาเรียสคุยกับคนขับแต่ยังไม่ทันจะบอกเส้นทาง   คนขับกลับกล่าวขึ้นอย่างรู้ใจ   “รู้แล้วๆ โรงอาหารตะวันออกใช่ไหมล่ะ   ขึ้นเลยมาเจ้าหนู”   ใช้เวลาเดินทางอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง   ผ่านอาคารประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายกรงเล็บสีฟ้ามืด   ที่สุดก็มาถึง  

          ซาคาเรียสกล่าวขอบคุณคนขับอย่างนอบน้อมในขณะที่โทมัสทำตัวเหมือนนักเรียนไร้กาลเทศะ   อาจเพราะนัยน์ตาที่กำลังมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าโรงอาหารตะวันออก   มันชั่งต่างจากที่วาดภาพไว้ในใจ   สภาพโรงอาหารเป็นเพียงอาณาเขตหญ้าที่ถูกล้อมด้วยรั้วไม้   รอบฝั่งรั้วคือร้านอาหารนับร้อย   ถัดออกไปเป็นโต๊ะอาหารที่ทำจากหินตั้งอย่างกระจัดกระจาย   กึ่งกลางคือสิ่งก่อสร้างที่คล้ายบ้านที่มีแต่โครง   คลุมด้วยเถาวัลย์และไม้เลื้อยหลากสี  

          โทมัสเดินนำทั้งที่หูได้ยินคนขับพูดบางอย่างกับเขาแต่ไม่ใส่ใจ   คนขับเห็นแบบนั้นจึงขึ้นนั่งเบาะคนขับ   รถม้าจอดข้างรถม้าของเขา   นักเรียนที่ก้าวลงมาไม่ใช่ใครแต่เป็นนักเรียนร่วมโต๊ะของโทมัสและซาคาเรียส  

 

          เดินไปเกือบถึงประตูกลับถูกหยุดโดยนักเรียนร่างยักษ์สองคน   “สวัสดีครับ”   ซาคาเรียสเป็นฝ่ายทักทายอย่างอบอุ่นแต่สองคนนั้นกลับทำหน้างงใส่   โทมัสไม่ได้สนใจนอกจากรูปสลักของบานประตูไม้   ภาพของสิ่งมีชีวิต   4   ชนิด   ทำให้นึกถึงบางสิ่งขึ้นมา  

          “เด็กใหม่งั้นรึ?”   นักเรียนฝั่งซ้ายมองพวกเขาอย่างพินิจพิเคราะห์   “ครับ”   ซาคาเรียสตอบแทน   “อย่ามัวแต่เสียเวลา   เลือกข้างได้แล้ว!!”   เสียงตะคอกเรียกสติที่กำลังหลุดลอยให้กลับมาพร้อมเสียงคำถามที่ดังกังวานอยู่ในจิตใจ   “คุณหมายถึงอะไรหรือครับ?”   ซาคาเรียสคุมโทนเสียงแม้จะกำลังถูกคุกคาม   “ฉันละเกลียดพวกเด็กใหม่ไร้เดียงสาจริงๆ”   นักเรียนฝั่งขวาแสดงกิริยาไม่เป็นมิตรมากกว่าเดิม   “เอาน่า   ปีที่แล้วก็มีแบบนี้หลุดมาบ้างไม่ใช่หรือ?”   นักเรียนฝั่งซ้ายหันมาหาซาคาเรียส   “ฟังให้ดีนะเด็กใหม่   การเลือกข้างหมายถึงการเลือกที่จะอยู่ใต้เงาของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสยังไงล่ะ”   นักเรียนฝั่งซ้ายกล่าว

          กลุ่มฟอร์เทร็ซเซส...   โทมัสคิดในใจและเหมือนนักเรียนฝั่งซ้ายจะอ่านจิตใจของเขาออก   “กลุ่มฟอร์เทร็ซเซสคือกลุ่มที่มีสมาชิกเป็นนักเรียนของทั้งโรงเรียน   มีผู้นำกลุ่มอยู่   4   ท่านและที่สำคัญที่สุดก็คือท่านทั้ง   4   ล้วนแต่เป็นสมาชิกสภานักเรียนหรือที่พวกนักเรียนเรียกกันอย่างติดปากว่าผู้คุมประชาชนยังไงล่ะ”   น้ำเสียงของนักเรียนฝั่งซ้ายเต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม   “เลิกพล่ามได้แล้วไอ้เกรย์!!   ฟังนะ   แม้จะได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มแต่การบริหารของกลุ่มจะเป็นการคานอำนาจกันระหว่าง   4   ผู้นำและนั่นคือเหตุผลที่แกต้องเลือกข้างที่จะอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น”   นักเรียนฝั่งขวาเสริมด้วยอารมณ์  

          “หึ   ถึงฉันจะไม่ชอบขี้หน้าแกแต่ก็ช่วยไม่ได้   ฉันจะให้แกมาอยู่ในอาณัติของท่านผู้นั้นด้วยก็แล้วกัน…”   “บิล   นี่แกจะแย่งเหยื่อต่อหน้าต่อตาฉันเลยงั้นหรือวะ?!!”   นักเรียนฝั่งซ้ายตะโกนอย่างไม่พอใจ   ทั้งสองใช้น้ำเสียงข่มกันไปมาอยู่พักใหญ่   ปล่อยให้โทมัสและซาคาเรียสจมอยู่ในทะเลแห่งความสงสัยทว่าเพียงชั่วขณะนั้น   “อยู่นี่เอง!!”   ทั้งหมดหันไปมองตามเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง   เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของโทมัส   “นี่แก   วิลเลี่ยม!?”   ดูเหมือนทวารบาลทั้งสองจะรู้จักเพื่อนร่วมโต๊ะของพวกเขาเป็นอย่างดี   “ถ้าไม่ว่าอะไร   ผมขอตัวเพื่อนไปก่อนนะครับ”   วิลเลี่ยมคว้าแขนของโทมัส   ท่ามกลางเสียงโวยวายจากผู้เฝ้าประตูและซาคาเรียสที่ทำตัวไม่ถูก  

          โทมัสปล่อยให้อีกฝ่ายลากตัวเองไปอย่างว่าง่าย   คำกล่าวที่ได้ยินเมื่อครู่ยังคงกึกก้องอยู่ภายในหู   เสียงสะท้อนของประโยคอันเรียบง่ายแต่น่าสับสน   เพื่อน?’  

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.