ตอนที่ 49 โต้แย้งคมคาย (1)

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 49 โต้แย้งคมคาย (1)

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 49 โต้แย้งคมคาย (1)

 

หลินเสี่ยวชี้กระบี่ในมือไปที่เล่งหยาพร้อมกล่าว “มาเริ่มกันเถอะ ไม่ว่าจุดประสงค์ของเจ้าจะเป็นอะไร อย่างแรกก็ต้องจบการแข่งขันนี่ลงก่อน นี่อาจเป็นการแข่งครั้งสุดท้ายในชีวิตเจ้า ยังไงเสีย พวกเจ้าชาวต้าฟงไม่เป็นที่ต้อนรับในเทียนหลง เจ้าไม่สมควรมาอยู่ที่นี่!”

 

พวกเขาชักกระบี่ออกจาฝัก กระบี่พุ่งฟาดผ่านอากาศ กระบี่ทั้งสองปะทะกันอย่างหนักหน่วง เกิดเสียงโลหะกระทบพัวพันกันไม่หยุดยั้ง ในครานี้ไม่มีกระบี่ของผู้ใดถูกสะบั้นไป มีเพียงรอยบิ่นบากลึกเท่านั้น หลินเสี่ยวตวัดมือแทงกระบี่สวน ปลายกระพี่พุ่งลิ่วเป็นแสงขาว เสียบลงตรงอกขวาของเล่งหยาที่ไม่ทันตั้งตัว เล่งหยาถอยฉาดไปสองก้าวรีบเร่งห้ามโลหิตไม่ให้ไหลออกมา

 

เมื่อตระหนักว่าตนเองได้พ่ายแพ้ลงแล้ว เล่งหยาสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง เขาไม่ควรเผยกระบี่ออกมาเร็วเกินไป จึงต้องยอมรับกับผลที่ติดตามมา ในครานี้ เขาไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีได้เลย

 

“ปราณ.....ปราณกระบี่! ต้องใช้พลังขอบเขตวิญญาณถึงจะใช้ปราณกระบี่ได้!” ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆหลงหยินกล่าวอุทาน

 

“ถึงแม้จะยังเลือนราง และไม่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นปราณกระบี่ เขาจะต้องบรรลุขอบเขตวิญญาณในเวลาไม่ช้านี้เป็นแน่ พลังของเขาจะต้องเหนือล้ำทุกผู้คนอย่างแน่นอน!”

 

“พี่หลง รบกวนท่านช่วยดูแลเสวี่ยเอ๋อร์ด้วย”

 

เย่หวูเฉินจับมือน้อยๆของหนิงเสวี่ยอีกครั้ง เขายกยิ้มขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของหลงเจิ้งหยาง จากนั้นเขาเดินขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยฝีเท้าธรรมดาและมั่นคง

 

“แพ้ชนะถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว หากเจ้ายังฝืนสู้ต่อก็มีแต่จะทำให้บาดแผลปริออก และจากตำแหน่งที่เจ้าถูกแทงก็อาจทำให้เจ้าถึงแก่ชีวิตได้” หลินเสี่ยวกล่าวเตือนเรียบๆ จากนั้นเขาหันร่างไปแล้วกล่าว “ฝ่าบาท , ท่านปู่สอง ผลแพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว พวกท่านได้โปรดสั่งการ”

 

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ หากแต่ในขณะที่มีเสียงชื่นชมระเบิดดังขึ้นอย่างที่คาดไว้ ก็มีเสียงตะโกนของชายหนุ่มคนหนึ่งดังสะท้อนขึ้นมา

 

“ช้าก่อน”

 

เสียงนี้ยากมากที่จะได้ยิน แต่ราวกับว่าน้ำเสียงนี้มีพลังชำแรกเข้าสูโสตประสาทของทุกๆคนในเวลานี้ สายตาของทุกคนตกลงบนร่างที่กำลังเคลื่อนเข้ามาในสนามประลองช้าๆ แน่นอนว่าเสียงนั้นย่อมเป็นของบุคคลคนนั้น

 

“นั่นมัน....”

 

“ดูเหมือนกับนายน้อยตระกูลเย่ ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน.... ใช่แล้ว เป็นเขานั่นเอง!”

 

“หรือว่านั่นคือบุตรชายขี้โรคของตระกูลเย่?”

 

“ถูกต้อง แต่ข้าได้ยินว่าเขาหายตัวไปนานเป็นปี พอเขากลับมาอาการเจ็บป่วยของเขาก็ถูกรักษาจนหายสนิท”

 

“เขาจะทำอะไร? เขารู้รึปล่าวว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร?”

 

เสียงถกเถียงพลันดังอื้ออึง ผู้ชมสวนใหญ่กำลังมองอย่างสนใจในตัวบุคคลผู้นั้นที่กล้าขัดจังหวะในสถานการณ์เช่นนี้ และเรื่องจะจบลงอย่างไรหากว่าเขาไม่มีเหตุผลมากพอที่ได้เข้ามาขัดสถานการณ์?

 

“เฉินเอ๋อร์? เขามาที่นี่ได้ยังไง!” หวังเวิ่นชูยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น สีหน้านางมีความสุข สายตาของเย่ฉุ่ยเหยาเองก็เหลือบมองเป็นประกาย นางดึงตัวหวังเวิ่นชูให้นั่งลง แล้วส่ายศีรษะให้นางอย่างอ่อนโยน

 

เย่เว่ยและเย่หนู่มองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาดีขึ้นอย่างผิดธรรมชาติพร้อมกัน ขณะเดียวกันก็รั้งตัวเองไม่ให้กล่าวคำใดออกมา

 

ค่อยๆเดินตรงไปยังกลางเวทีประลอง นี่คือครั้งแรกที่เย่หวูเฉินปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชนจำนวนมาก นายน้อยเย่ผู้ที่ยากจะออกจากบ้าน เป็นเวลานานแสนนานที่ตัวเขาถูกลืมเลือน ในเวลานี้เขากำลังยิ้มขณะยืนอยู่เบื้องหน้าฝูงชน และเกิดเสียงสนทนากระซิบกระซาบไปทั่วบริเวณ เพียงเวลาสั้นๆจะสามารถเห็นได้ว่า ทั้งรูปร่างลักษณะและบุคลิกภาพของเขานั้นเหนือล้ำกว่าหลินเสี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนที่ฉลาดหลักแหลมจะสามารถรู้สึกได้ว่าทุกๆครั้งที่พวกเขามองยังหลินเสี่ยวจะเกิดความรู้สึกแตกต่างอย่างมีนัยยะ

 

บุคคลผู้นี้คือนายน้อยแห่งตระกูลเย่ ที่ถูกทุกคนดูหมิ่นเมื่อก่อนหน้านี้จริงๆหรือ?

 

ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยถาม เย่หวูเฉินก็มายืนเผชิญหน้ากับหลงหยินแล้วเอ่ยขึ้นมาก่อน “หวูเฉินขอถวายบังคมองค์จักรพรรดิ หวูเฉินพึ่งกลับมาบ้านได้ 3 วัน หากแต่ไม่มีโอกาสวาสนาได้พบกับฝ่าบาท ในที่สุด ความความปรารถนาของกระหม่อมก็เป็นจริง โปรดประทานอภัยต่อความหยาบคายของกระหม่อม ข้าพระองค์มีคำถามอยากจะถามฝ่าบาทและท่านประมุขหลิน”

 

หลงหยินไม่แสดงความขุ่นเคืองหากแต่หัวเราะและกล่าว “ตระกูลเย่จงรักภักดีต่ออาณาจักรมาโดยตลอด แต่กลับต้องเกือบสูญเสียบุตรชายที่รักไป ตอนนี้เมื่อพบตัวเจ้าแล้วย่อมสมควรที่จะจัดงานเฉลิมฉลอง ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่งและวางแผนว่าจะไปเยี่ยมเยือนเจ้าด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายใดหากเจ้ามีเรื่องจะถาม”

 

“หวูเฉินขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท” หวูเฉินตอบกลับอย่างสุภาพ จากนั้นเขาเริ่มถาม “หวูเฉินแค่ต้องการถามว่า ในการแข่งครั้งนี้ มีกฎระบุไว้หรือไม่ว่าห้ามผู้คนจากอาณาจักรอื่นเข้าร่วมการแข่งขัน?”

 

หลงหยินเหลือบสายตาไปมองหลินเหยียน และหลินเหยียนกล่าวตอบ “ไม่มีกฎเช่นนั้น”

 

“แล้วมีกฎการแข่งระบุไว้หรือไม่ ว่าหากมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต จำเป็นจะต้องมีการสอบสวน?”

 

“ไม่มีกฎเช่นนั้น!”

 

“แล้วบุคคลผู้นี้ได้ทำความเสียหายให้กับอาณาจักรเทียนหลงของเราแล้วหรือยัง?” เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตาไปที่เล่งหยา

 

“.....”

 

“น่าแปลก ความผิดใดที่บุคคลที่ชื่อเล่งหยาผู้นี้ก่อเอาไว้ พวกท่านถึงจำเป็นต้องจับกุมตัวเขาไป?” เย่หวูเฉินถามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย

 

ตระกูลหลินและตระกูลเย่ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ และแน่นอนว่าหลินเหยียนย่อมจะไม่มองเย่หวูเฉินอย่างฉันท์มิตร ขึ้นพอได้ฟังเขาเลิกคิ้วแล้วกล่าวอย่างมีโทสะ “เจ้าหมายความเช่นไรเจ้าเด็กน้อยเย่ หรือว่าเจ้ากำลังจะปกป้องคนผู้นี้ที่มาจากอาณาจักรต้าฟง? เจ้ามีปัญหาอะไรกันแน่ เจ้าพวกตระกูลเย่?”

 

คำพูดดังกล่าวกระตุ้นต่อมโทสะของเย่หนู่ เขาผุดลุกขึ้นยืนแต่ก่อนจะได้ทำสิ่งใด เย่หวูเฉินก็ระบายโทสะนำไปแล้ว “หมายความว่ายังไงกันท่านหลิน? พวกเราตระกูลเย่จงรักภักดีต่ออาณาจักรมาโดยตลอด และสร้างผลงานไว้มากมาย ทุกๆคนในอาณาจักรเทียนหลงสามารถยืนยันได้ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพวกเราตระกูลเย่จงรักสัตย์ซื่อมาตลอดชั่วรุ่นชั่วหลาน ในปีนั้น เป็นตระกูลเย่เราที่ช่วยเหลืออาณาจักรเทียนหลงให้รอดพ้นจากหายนะร้ายแรง ในปีนั้น พวกเราออกยืนอยู่เบื้องหน้าคอยปกป้องทั่วทั้งอาณาจักร เป็นพวกเราส่วนมากที่สังหารผู้คนจากอาณาจักรต้าฟง ไม่ว่าปีนั้นหรือกระทั่งวันนี้ พวกเราตระกูลเย่คือผู้ที่ชาวต้าฟงเกรงกลัวมากที่สุด.... และไม่ใช่ตระกูลหลินของท่าน! ท่านเป็นใครถึงกล้าสงสัยพวกเราตระกูลเย่ ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตั้งคำถามกับพวกเรา! ข้านับถือท่านในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่ข้าขอถามท่าน.... ว่าท่านมีเจตนาอะไร? ท่านโกรธเกลียดอันใดถึงได้พ่นถ้อยคำน่าหัวเราะพวกนั้นออกมา!”

 

โทสะทั้งหมดของเย่หนู่สลายไปในทันที เขาจ้องมองเย่หวูเฉินด้วยสีหน้าว่างเปล่าอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็นั่งลงช้าๆ

 

“เยี่ยมมาก เฉินเอ๋อร์!” เย่หนู่เผยรอยยิ้มที่ยากจะหาดูได้

 

หลังจากสงบสุขมา 20 ปี ผู้คนลืมเลือนเรื่องสงครามในอดีตไปอย่างง่ายดาย พวกเขาลืมการรบที่ยอดเยี่ยมไม่อาจหาใดเปรียบของตระกูลเย่ ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้เย่หนู่หวนนึกถึงการต่อสู้ที่อาบชะโลมด้วยเลือดเมื่อครั้งอดีต เขาไม่เกรงกลัวต่อความตาย มุมหางตาของเขาเปียกชื้น ผู้คนเริ่มรำลึกถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติที่อาณาจักรเทียนหลงต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นตระกูลเย่ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยอาณาจักร พวกเขาใช้พลังของตนช่วยเหลืออาณาจักรครั้งแล้วครั้งเล่า ผลงานการรบของพวกเขาล้วนไร้ข้อสงสัย ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์สงสัย! หากไม่ใช่เพราะตระกูลเย่ใครเล่าจะรู้ว่าเทียนหลงจะยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรือไม่ และเพราะเทียนหลงมีตระกูลเย่ดำรงอยู่ อาณาจักรต้าฟงที่คอยรุกรานจึงถูกทำให้ล่าถอยอย่างง่ายดายอยู่หลายครั้งในตลอด 20 ปี

 

คำพูดของเย่หวูเฉินที่ระรานตระกูลหลินไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขากล่าววาจาสามหาวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามผู้คนกลับรำลึกถึงบุญคุณยิ่งใหญ่ของตระกูลเย่ พวกเขามีข้อสรุปลงใจว่า เทียนหลงอยู่ได้เพราะตระกูลเย่ ตระกูลเย่คือเสาหลักค้ำจุนของอาณาจักรเทียนหลง ตระกูลหลินมีอะไรมาเปรียบเทียบ? พวกเขาเป็นใครถึงกล้ามาตัดสินตระกูลเย่!

 

บางผู้คนถึงกับส่งสายตาอย่างโกรธเคืองจ้องมองไปที่หลินเหยียน

 

“เจ้า....” หลินเหยียนชี้นิ้วไปที่เย่หวูเฉิน หนวดของเขาลุกชูชัน และเขาไม่อาจกล่าวคำพูดใดออกมา

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.