ตอนที่ 8 กระบี่จักรพรรดิใต้

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 8 กระบี่จักรพรรดิใต้

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 8 กระบี่จักรพรรดิใต้

 

“ท่านพี่... ท่านได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?” เย่หนิงเสวี่ยถามด้วยความห่วงใย นางมองสำรวจเขาทั่วร่าง น้ำเสียงแทบจะร้องไห้ เย่หวูเฉินได้แต่ยิ้มแล้วพยุงนางลุกขึ้น จากนั้นพานางกลับไปยังจุดเดิม แตะจมูกน้อยๆของนางแล้วกล่าว “ฟังข้านะ เชื่อฟังข้าแล้วรออยู่ตรงนี้ ข้าสัญญาว่าคราวนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก”

 

เย่หนิงเสวี่ยกำลังจะกล่าวบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา นางมองเขาแล้วใช้มือน้อยๆบีบมือเขาแน่นแทน นางรู้ว่าพี่ชายของนางกำลังทำบางอย่างที่อันตรายอยู่

 

เย่หวูเฉินเดินมาอยู่เบื้องหน้าม่านปราการอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้มองไปข้างหน้าที่ม่านปราการ แต่มองลงไปยังผืนดินที่เขายืนอยู่ เขาก้มหน้าเดินกลับไปกลับมาด้วยสายตาทรนง เขาโน้มกายลงแล้วนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะยกหมัดขวาขึ้น แล้วควบรวมพลังที่เหลือกระหน่ำชกลงบนพื้นดิน

 

เสียงสนั่นหวั่นไหว ผืนดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย เบื้องหน้าของเย่หวูเฉินปรากฎหลุมตื้นๆลึกไม่เกินครึ่งเมตรและกว้างราวหนึ่งเมตร เย่หวูเฉินรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยหลังจากใช้พลังจนหมดอีกครั้ง เขาพยายามทรงตัวและเพ่งสายตามองลงไปที่พื้น ภายใต้หลุมตื้นผืนดินกลับราบเรียบ ราวกับมีพลังลึกลับปกปักษ์รักษาอยู่ ฉับพลันนั้นประกายแสงสีทองต้องสายตาของเย่หวูเฉิน เขาพบว่าเป็นด้ามกระบี่เล่มหนึ่งที่กำลังเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา ใบกระบี่ฝังจมอยู่ใต้พื้นดิน แม้มีเพียงด้ามที่โผล่ออก หากแต่กลับมีพลังทำให้ผู้คนต้องกลั้นลมหายใจ

 

มันคือสิ่งใด...

 

เย่หวูเฉินวางมือลงจับด้ามกระบี่โดยไม่ลังเล แสงสีทองเข้าห่อหุ้มมือของเขาในฉับพลัน เขาค่อยๆดึงกระบี่ออกมา กระบี่ถูกถอนออกจากผืนปฐพีอย่างแช่มช้า พร้อมกับเสียงดัง ‘แปรบปราบ’ เพียงไม่นานกระบี่ทั้งเล่มก็ปรากฎต่อสายตา

 

ทันทีที่กระบี่ทองถูกดึงออก ผืนปฐพีก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงแตกหักพังทลายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครทราบว่าครั้งล่าสุดที่แดนสันโดษแห่งนี้สั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวร้ายแรงคือปีไหน ทุกผู้คนรวมทั้งเหล่าสัตว์อสูรล้วนแตกตื่นตระหนก ณ เบื้องหน้ากระท่อมมุงคา ชายชราที่กำลังรวมพลังอยู่ก็ลืมตามองขึ้นไปบนฟ้า สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน “ม่านปราการ... ถูกทำลายลงแล้ว!”

 

ผืนปฐพีที่สั่นไหวรวมทั้งเสียงกัมปนาทอื้ออึงไม่อยู่ในความสนใจของเย่หวูเฉินแม้แต่น้อย เขาจ้องมองกระบี่เล่มใหญ่ที่อยู่ในมือ ด้ามกระบี่ยาวกว่า 1 ฟุต ใบกระบี่ยาวกว่า 2 เมตร และกว้างกว่า 10 เซนติเมตร กระบี่ทั้งเล่มเป็นสีทอง พื้นผิวราบเรียบราวกับกระจก ไม่ว่าจะเป็นตัวกระบี่หรือด้ามจับก็ไม่ปรากฎตัวอักษรใดๆนอกจากคำว่า ‘ใต้’ ที่ถูกสลักไว้อยู่ตรงปลายกระบี่ ทันใดนั้นสรรพเสียงไร้ตัวตนก็ดังก้องขึ้นมาภายในใจ....

 

“ ณ จุดเริ่มต้นแห่งห้วงสวรรค์และมหาปฐพี ในบรรพโกลาหลได้มีสองสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่สาบานว่าจะเป็นศัตรูต่อกัน หนึ่งนั้นครอบครองโกลาหลฝั่งใต้ อีกหนึ่งนั้นครอบครองโกลาหลฝั่งเหนือ พวกเขาเรียกขานตนเองว่า ‘จักรพรรดิใต้’ และ ‘จักรพรรดิเหนือ’ ทั้งสองต่อสู้กันตลอดหลายปีแต่ไม่ปรากฎผลผู้แพ้ชนะ หากแต่การต่อสู้อันดุเดือดได้ทำให้ห้วงโกลาหลแตกออก และได้ก่อกำเนิดกลายเป็นสวรรค์ ปฐพี มนุษย์ เทพ และปีศาจ....”

 

เสียงในหัวของเขาเงียบลงฉับพลัน ราวกับว่าที่จังหวะขาดห้วงเพราะเนื้อหาหมดลง

 

“เจ้าเป็นคนเรียกข้าใช่หรือไม่?” เย่หวูเฉินจับกระชับกระบี่ในมือ หลับตาถามอยู่ในใจ

 

“เป็น... เป็นข้าเอง” เป็นเสียงของเด็กสาว น้ำเสียงเจือไปด้วยความกังวล

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

“ข้า...ข้าไม่รู้”

 

“ทำไมเจ้าถึงเรียกข้า?”

 

“ข้าไม่รู้”

 

“ถ้าเช่นนั้น...เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”

 

“ข้า...ไม่รู้”

 

เย่หวูเฉินหน้าผากยับย่นเป็นรอยสามเส้น “สรุปแล้วมีเรื่องบ้าอะไรบ้างที่เจ้ารู้!”

 

น้ำเสียงของเด็กสาวยิ่งกลายเป็นขลาดกลัวยิ่งกว่าเดิม “ได้โปรดอย่าพึ่งมีโทสะกับข้าเลยเจ้านาย ข้าไม่รู้จริงๆว่าตัวข้าเป็นใคร... ข้ารู้แต่เพียงว่าชื่อของข้าคือ หนานเอ๋อร์ และข้าถูกผนึกอยู่ในกระบี่เล่มนี้ ท่านคือเจ้านายของข้าและเป็นผู้เดียวที่สามารถช่วยข้าได้”

 

“เหตุผล?” เย่หวูเฉินเช็ดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผาก เจ้ารู้มากขนาดนี้กลับยังบอกว่าไม่รู้อะไร ช่างบ้าบอคอแตกสิ้นดี

 

“ข้าไม่รู้จริงๆ...อ่าห์ ความรู้สึกนี้ ข้าหลับไหลมานานแสนนาน ที่ข้าตื่นขึ้นมาในตอนนี้เพราะรู้สึกได้ว่าเจ้านายกำลังมาหาข้า  ดังนั้นข้าเรียกจึงหาท่านอย่างไม่คิดชีวิต” น้ำเสียงของเด็กสาวกลับกลายเป็นร่าเริง

 

เย่หวูเฉินขมวดคิ้วแล้วถามต่อ “เจ้าพูดว่าข้าสามารถช่วยเจ้าออกมาได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ เจ้าก็ควรบอกวิธีมาว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้อย่างไร”

 

“ข้าไม่รู้”

 

“........”

 

“ช่างมันเถอะ” เย่หวูเฉินรู้สึกหมดแรง

 

“จากนี้ไปเจ้าติดตามข้า หากวันไหนสามารถนึกวิธีที่จะให้ข้าช่วยเจ้าออกมาได้ วันนั้นก็ค่อยบอกข้าก็แล้วกัน”

 

“ขอบคุณเจ้านาย ขอบพระคุณยิ่งนัก” เด็กสาวตอบกลับอย่างมีความสุข กระบี่ในมือของเย่หวูเฉินกลายเป็นลำแสงสีทองแล้วพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

เด็กสาวที่ถูกผนึกไว้ในกระบี่... กระบี่ที่กลับกลายเป็นร่างพลัง ร่างพลังที่กลับกลายเป็นบุคคล... เรื่องเช่นนี้ล้วนอยู่เหนือความคาดคิด เย่หวูเฉินกลับไม่รู้สึกแปลกใจ กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดแทน

 

เขาส่ายศีรษะแล้วมองไปยังเบื้องหน้า ม่านปราการถูกทำลายลงแล้ว กระบี่นี้ย่อมเป็นแหล่งกำเนิดพลังของม่านปราการ กระบี่เล่มนี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่ เหตุใดมันจึงถูกฝังไว้อยู่ที่นี่ และมันสร้างม่านปราการขึ้นมาได้อย่างไร?

 

แล้วเศษเสี้ยวความทรงจำที่ติดอยู่ในหัว ‘จักรพรรดิใต้’ กับ ‘จักรพรรดิเหนือ’ นี่มันเรื่องอันใด?

 

เมื่อเย่หวูเฉินกับเย่หนิงเสวี่ยกลับมาถึง ชายชรายังคงนั่งนิ่งสงบดุจขุนเขา ที่อยู่ข้างกายชายชรา ฉู่จิงเทียนกำลังพยายามพูดบางสิ่ง เขาเดินวกซ้ายวนขวาอยู่รอบชายชราราวกับมดวิ่งวนอยู่ในกระทะร้อน อย่างไรก็ตาม ชายชรายังคงไม่เอ่ยสิ่งใด ซึ่งทำให้ฉู่จิงเทียนกระวนกระวายจนใกล้บ้า

 

ฉู่จิงเทียนดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเย่หวูเฉินกลับมา เขาวิ่งไปหาเย่หวู่เฉินพร้อมตะโกนโหวกเหวก “น้องเย่หวูเฉิน ข้ามีข่าวดีมาบอก พวกเราสามารถออกไปจากดินแดนสันโดษแห่งนี้ได้แล้ว เพราะไอ้ผนึกบ้านั่นจู่ๆก็หายไป”

 

เย่หวูเฉินยิ้มให้เล็กน้อยแต่ไม่กล่าวสิ่งใด

 

ชายชรามองเย่หวูเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยดวงตาคมกล้าดุจใบมีด เย่หวูเฉินรู้สึกได้ถึงพลังหนักหน่วงกดทับที่ทรวงอกราวกับมีแผ่นเหล็กหนักอึ้ง ชายชราถอนสายตากลับแล้วยิ้ม “หนุ่มน้อย เจ้าวางแผนจะทำสิ่งใดต่อ ในเมื่อตอนนี้ม่านปราการได้ทลายลงแล้ว?”

 

เย่หวูเฉินรู้สึกตื่นกลัวจากก้นบึ้งในจิตใจ แต่เขายังคงรักษาสีหน้าสงบเอาไว้ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันในอนาคต”

 

เย่หนิงเสวี่ยกระพริบตากลมโตของนางและแอบมองเย่หวูเฉิน นางไม่อาจเข้าใจได้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่

 

ในวันต่อๆมา สิ่งเดียวที่เย่หวูเฉินทำคือพาเย่หนิงเสวี่ยออกมาและเล่นกับนาง เขาไปทุกแห่งที่เย่หนิงเสวี่ยต้องการ บางครั้ง พวกเขาก็เข้าป่าล่าสัตว์และหาผลไม้ เย่หวูเฉินกระทั่งวิ่งไล่จับผีเสื้อเหมือนเด็กๆด้วยกันกับเย่หนิงเสวี่ย

 

ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ พวกเขาก็ไปมาทั่วแทบทุกมุมของดินแดนสันโดษ ฉู่จิงเทียนตามพวกเขาไปด้วยทุกวันเหมือนผู้ติดตาม ไปทุกแห่งหนพร้อมพวกเขาราวกับเป็นองครักษ์ประจำตัว เขาทำเช่นนี้เนื่องจากปู่ฉู่บอกให้เขาทำ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกฝืดฝืนใจใดๆ

 

เย่หนิงเสวี่ยมีความสุขในทุกวันเหมือนนกน้อยที่ได้รับอิสระ เสียงหัวเราะของนางหลอมละลายจิตใจเย่หวูเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า นางคือสิ่งสวยงามเพียงหนึ่งเดียวในโลกว่างเปล่าของเขา และนางสามารถคร่ากุมจุดอ่อนในหัวใจเขาได้อย่างง่ายดาย

 

หากเพียงแต่... เมื่อมองดูร่างสีขาวงดงามของนาง เขากลับถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.