STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 4 สิ่งที่อยู่ติดตัว (รีไรท์)

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 4 สิ่งที่อยู่ติดตัว (รีไรท์)

ซึฮากิก้าวเท้าออกมาสู่การฝึกซ้อมอีกครั้ง เพื่อนร่วมห้องทั้งหลายต่างก็มีสายตาอันเหนื่อยล้าไม่ต่างกัน

“กิจัง” ฟรานเป็นคนแรกที่วิ่งตรงเข้ามาหาทันทีที่เห็นซึฮากิตามมาด้วยเพื่อน ๆ ในทีม

“ออกมาได้สักทีนะคุณซึฮากิ” เสียงที่คุ้นเคยจากคนที่พูดมากที่สุดในทีม เซนเดินมาตบลงที่ไหล่ของผมทั้งสองข้าง

“คุณกิจังครับ ผมขอโทษจริง ๆ ที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเลยสักครั้ง” แซมยังคงความสุภาพอยู่อ่อนน้อม

“เรื่องนั่นไม่เป็นไรหรอกแต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าพวกนายฝึกอะไรกันไปบ้างแล้ว” ทันใดนั้นก็มีทหารนายหนึ่งเอาเสื้อสำหรับฝึกมาให้ซึ่งหนาและยืดหยุ่นเป็นพิเศษไม่เหมือนชุดอื่น

“รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วเตรียมตัวฝึกซะ อะไรที่ไม่รู้ก็ให้พวกเพื่อนนายอธิบายเองแล้วกัน” เขามองด้วยสายตาดุร้ายกดดันทำข่มก่อนจะหันหลังเดินออกไป

ชุดแบบพิเศษสินะหนานุ่มยืดหยุ่น ซึฮากิตรงดิ่งเข้าแต่งตัวในห้องน้ำคนเดียว

“อะอ้าว นึกว่าตายเป็นผีไปแล้วซะอีก กิ...จัง” เสียงประชดประชันมองด้วยสายตาหยอกล้อจากคู่อริคนเดิม

“ไปทำอีท่าถึงได้แผลเหวอะขนาดนั้นล่ะ? หรือแค่สำออยอยากนอนพัก” นัตโตะเดินมาขวางทางพร้อมกับพรรคพวกหน้าเดิม ๆ

“เรื่องของฉันไหมล่ะ? แกไม่ต้องมายุ่งหรอก” สมกับเป็นปากพาซวยจริง ๆ แต่มันก็สะใจดีเวลาได้พูดแบบนั้น

“สงสัยจะไม่หลาบจำ เล่นมันเลยเจา” เด็กหนุ่มที่ใครเห็นก็นึกว่าเป็นนักเพาะกายก้าวออกมาด้วยใบหน้าอันเรียบนิ่งทำตามคำสั่ง

“หยุดเดี๋ยวนี้ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” แววตาแห่งความโกรธเกรี้ยวจ้องมองไม่ละสายตาทั้ง ๆ เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวแต่กลับทำให้กลุ่มผู้ชายกลัวจนหัวหด

“เจาถอยออกมา” ยายนี่อีกแล้วเหรอ? ทำไมถึงตามจองล้างจองผลาญอยู่เรื่อยเลย มันเป็นอะไรกับเจ้ากิกันแน่

พวกนัตโตะพากันเดินหนีออกไปไม่พูดไม่จาสักคำแค่มองหน้าฟรานก็เสียวไปยันกระดูกสันหลัง

เมื่อเรียกรวมตัวกันอีกครั้งพวกนักเรียนทุกทีมก็มาจัดแถวกันตามกลุ่ม พอได้สังเกตทีมอื่น ๆ ก็เลยรู้ว่าบางทีมมีคนหายไป

“กำหนดการในช่วงเช้ายังคงเหมือนเดิมคือการฝึกใช้เวทโจมตี เวทป้องกัน และเวทรักษา ขอให้เลเวลเพิ่มขึ้นไว ๆ แล้วกัน” เหล่านักเรียนทั้งหลายก็พากันเดินไปที่แห่งหนึ่งแต่ก็ยังคงเป็นระเบียบแถวอยู่

พวกเขาพาไปยังสนามฝึกที่มีหุ่นฟางสำหรับฝึกวางตั้งหลาย ๆ ระยะตั้งแต่ห้าเมตรไปถึงหนึ่งร้อยเมตร

“ซึฮากิ นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าพวกเราทำอะไรกันมาบ้าง ดูนะ” แววตาเปล่งประกายของเซนแสดงให้เห็นความตื่นเต้นจนยากที่จะบรรยาย เขาใช้มีดสั้นที่ได้มาจากพวกทหารชี้ไปยังหุ่นฟางก่อนที่มันจะเปล่งแสงสว่าง

[บอลเพลิง]” เพียงชั่วครู่ก็มีไฟออกมาจากมีดนั่นและพุ่งตรงไปหาหุ่นฟางด้วยความเร็วพอ ๆ กับการยิงธนูถึงแม้มันจะพลาดเป้าแต่ก็เซนก็ยังยิ้มฉีกกว้างสนุกไปกับมัน

“โธ่เว้ย! พลาดอีกแล้ว นี่แหละซึฮากิสิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้ก็คือเวทมนตร์ยังไงล่ะ เคยแต่อ่านในนิยายไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ใช้มันจริง ๆ นายก็รีบตามพวกฉันให้ทันล่ะ” รอยยิ้มร่าเริงของเขาเป็นการเติมแรงใจให้เพื่อน ๆ ได้เป็นอย่างดี ความสนุกสนานที่ไม่สนใจสถานการณ์ราวกับเป็นเด็กตัวน้อยที่พึ่งเคยออกมาเที่ยวเล่น

“เฮ้อ เรื่องขี้โม้กับพูดมากนี่ให้อันดับหนึ่งเลยนะ เดี๋ยวฉันจะอธิบายเรื่องที่นายต้องรู้ให้ฟังเอง” นาริเข้ามาผลักเซนออกจากตัวซึฮากิเบา ๆ แค่หยอกล้อเท่านั้น

“อย่างแรกพวกเราสามารถใช้เวทมนตร์ได้แต่จำเป็นต้องมีอาวุธที่จะเป็นตัวกลาง อย่างที่สองเราสามารถดูสเตตัสของตัวเองได้โดยการมองโฟกัสไปที่มุมขวาล่างสุดของสายตาจะเห็นจุดอะไรสักอย่างอยู่ แค่เพ่งสมาธิไปที่มันก็จะเด้งหน้าจอสเตตัสออกมาตรงหน้า อย่างที่สามทีมของเราได้ชื่อเอสย่อมาจากชายน์ที่แปลว่าส่องแสง คนที่คิดชื่อนี้คือฟราน...ที่จำเป็นก็มีแค่นี้แหละ” ถึงเธอจะไม่ได้อธิบายวิธีใช้เวทมนตร์อย่างละเอียดแต่แค่ซึฮากิเฝ้ามองก็สามารถวิเคราะห์และเลียนแบบการกระทำได้

“ไหนนายมาลองดูสิ” นาริลากตัวซึฮากิมายืนตรงหน้าหุ่นฟางที่ห่างออกไปสามสิบเมตร

"นายสามารถดูสกิลหรือจะเวทมนตร์ก็ได้จากหน้าต่างสเตตัสและใช้มันได้เพียงแค่พูดตามชื่อนั้น"

Lv.1 ซึฮากิ ฮลาฟกาด

STR 84 AGI 91

VIT 94 DEF 20

INT 70 LUK 20

HP 99 MP 100

[SKILL]

มานาบอล , รักษา , โล่มานา , คมมีดวายุ , กำแพงลม , เสริมกำลังระดับหนึ่ง, พาวเวอร์อัพ, สปีดอัพ

“อืม ฉันเห็นสเตตัสแล้วแต่ไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร”

“STR คือพละกำลัง AGI คือความคล่องตัว VIT คือความอึดถึกทน DEF คือค่าความคงทนของเครื่องสวมใส่ INT คือระดับพลังเวท LUK คือโชครวมถึงความเข้ากันของสิ่งต่าง ๆ HP คือพลังชีวิต MP คือมานาสำหรับใช้สกิล มีคำถามอะไรเพิ่มไหม?”

“อืม...คงจะไม่มีแล้วแหละ แค่พูดชื่อสกิลก็จะใช้ได้จริง ๆ งั้นเหรอ”

“ก็ลองสักหน่อยสิจะได้รู้ ๆ กันไปเลย” สายตาของเพื่อนร่วมทีมจับจ้องมาที่ซึฮากิเพียงผู้เดียว เด็กหนุ่มที่ต้องพักอยู่ในเต็นท์พยาบาลจะสามารถตามพวกเขาทันได้หรือไม่

[มานาบอล]” เมื่อเปล่งเสียงเรียกชื่อก็ปรากฏก้อนวงกลมสีขาวสว่างขึ้นพุ่งตรงไปที่หุ่นฟาง มันพุ่งผ่านไปด้านหลังกระแทกเข้ากับพื้นดินและระเบิดเป็นวงกว้างประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้

ประมาณนี้ก็แล้วกันถ้าทำได้ตั้งแต่ครั้งแรกเดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย

“ทำได้ดีเลยนี่ทั้ง ๆ ที่เป็นครั้งแรกแต่กลับเฉียดได้ขนาดนั้น นายอาจจะมีพรสวรรค์ก็ได้นะ ฉะฉันลืมบอกอีกเรื่องหนึ่งเวลานายใช้เวทมนตร์มานาของนายจะลดลง อย่าให้หมดเชียวล่ะไม่งั้นนายอาจจะหมดสติหรือถึงตายได้เลย” นาริกระทบไหล่ซึฮากิเบา ๆ ส่งยิ้มให้กำลังใจก่อนจะแยกตัวไปฝึก

แต่ละทีมก็ฝึกกันเองพวกทหารทำเพียงแค่เฝ้าดูอยู่เฉย ๆ ไม่มีการก้าวก่าย

“สนุกใช่ไหมล่ะซึฮากิ นายก็เริ่มใช้ได้คล่องแล้วนี่อีกหน่อยก็ตามฉันทันแล้ว” เซนกระตุกยิ้มมุมปากควงมีดเล่น ๆ แต่เกือบจะหลุดมือ

“กิจัง โทษทีนะที่ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมทุกวันน่ะ” เสียงอันร่าเริงเชิงอ้อน ๆ ของฟรานค่อย ๆ เข้ามากอดแขนซึฮากิ

“อืม...แล้วทำไมพวกเธอถึงดูโทรม ๆ นักล่ะ เท่าที่ดูก็ไม่เห็นฝึกลำบากอะไรเลยนี่”

“ช่วงเช้าจะฝึกเวทมนตร์แต่ช่วงบ่ายจะฝึกเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย...เดี๋ยวกิจังก็จะได้รู้เองแหละ และที่สำคัญช่วงบ่ายห้ามคุยกันระหว่างฝึกเด็ดขาดนะฉันขอเตือน” แม้จะยิ้มร่าเริงสดใสแค่ไหนก็ตามแต่มันกลับมีความทุกข์ปะปนอยู่ด้วยซึ่งซึฮากิก็สังเกตเห็นได้

หลังจากกินอาหารเที่ยงกันจนอิ่มพวกเขาก็ได้เดินทางไปยังลานกว้างเพื่อฝึกช่วงบ่าย

“ขยายแถว ท่าเตรียม วิดพื้นหนึ่งร้อยครั้งปฏิบัติ !”

“หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...” เขาฝึกกันแบบนี้งั้นเหรอ? ไม่มีใครพูดคุยกันจริง ๆ ด้วย

“สี่สิบ...สี่สิบเอ็ด...” คนที่ร่างกายอ่อนแออย่างเช่นพีชและคานะเริ่มอ่อนล้าจนตามคนอื่นไม่ทัน และเมื่อไรที่หยุดพวกทหารก็จะเอาท่อนไม้ฟาดตามตัวไม่แปลกใจที่จะมีรอยแผลช้ำกัน

“สควอทหนึ่งร้อยครั้ง ปฏิบัติ !”

“ซิทอัพหนึ่งร้อยครั้ง ปฏิบัติ !”

จะไปแข่งเพาะกายที่ไหนหรือเปล่าเนี่ย สภาพแต่ละคนก็ดูเหมือนไม่ไหวแล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกแบบไหนแม้จะบอกไว้หนึ่งร้อยครั้งแต่ก็เพิ่มจำนวนจนผู้คุมพอใจทุกครั้ง

“วิ่งอีกสิบกิโลเมตร ปฏิบัติ !” พวกเขาถูกฝึกแบบนี้ตลอดเวลาที่ซึฮากินอนพัก ถ้าผู้ชายก็ว่าไปอย่างแต่ดูจะหนักไปสำหรับพวกผู้หญิง

“หมู ผักกาดขาว อืม...วันนี้ทำเมนูต้มน่าจะง่ายดีนะ” นาริมองดูของที่อยู่ในถุง ค้นมันออกมาเรียงตรงหน้า

“ต้องทำอาหารกินเองด้วยเหรอ?” เห็นมื้อเช้ามื้อเที่ยงก็มีให้กินสงสัยจะให้ทำแค่มื้อเย็น

“เสร็จแล้วต้มจืดผักกาด มากินเร็ว” แม้จะถูกฝึกมาหนักแค่ไหนแต่เมื่อถึงเวลาอาหารก็มักจะยิ้มออกมาทุกครั้งราวกับเป็นพรที่พระเจ้าประทานมา

เมื่อเสร็จกิจธุระทุกอย่างแล้วก็เข้านอนและพวกเขาก็ฝึกแบบเดิมอีกสองวัน จนวันที่สามที่มีการเปลี่ยนกำหนดการจากที่ฝึกประจำกลายเป็นการเดินเข้าเมืองแทน

“ไกลเหมือนกันนะเนี่ย” จนถึงตอนนี้ใช้เวลาไปประมาณสามชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่ออกจากป่า

“เฮ้อ เอาแต่เดิน ๆ ๆ ๆ น่าเบื่อจะตายเมื่อไรจะถึงสักทีเนี่ย !” เซนยังคงบ่นต่อไปตลอดทาง

“เดินไปเถอะน่า” นาริขมวดคิ้วตบหลังเซนเมื่อเขาเริ่มพูดมากเกินไป

เมื่อพ้นเขตป่าก็จะได้เห็นเมืองอยู่ไกล ๆ มีทั้งไร่นาและแม่น้ำไหลผ่าน

ฟรานเดินกางแขนรับลมอย่างสบายใจจนเพื่อน ๆ ทำตามบ้าง บรรยากาศเป็นกันเองทำให้พวกเธอสนิทกันไว แม้จะอยู่โรงเรียนเดียวกันแต่พอได้ขึ้นเทอมใหม่ก็จะมีการสุ่มห้องจึงต้องทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ตลอดเวลา

เมื่อเข้าไปยังเมืองก็ต้องพบเจอกับสายตาอันน่าฉงนของชาวบ้านบริเวณนั้น ทหารหลายสิบนายเดินคุมพวกเขาตลอดทางทำเหมือนนักโทษ

“เป้าหมายที่มาในเมืองก็จะมีสามอย่าง หนึ่งคือตรวจสอบเวท สองเลือกอาวุธหลักและสามทำบัตรประจำตัวที่ซึ่งเป็นของที่จำเป็นมาก ๆ ในการทำงานต่าง ๆ”

ความเงียบสงัดกัดกินไปตลอดเส้นทางทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครห้ามแต่กลับเกรงใจสายตารอบข้างแทน

“พวกเราถึงแล้ว” นายทหารมาหยุดตรงหน้าตึก ๆ หนึ่งค่อนข้างกว้างใหญ่แต่มีไม่กี่ชั้น เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ต้องพบกลุ่มคนกำลังเมาได้ที่เดินชนนายทหารผู้เป็นหัวหน้า

“ที่นี่เรียกว่าสำนักงานกิลด์ ศูนย์รวมเหล่านักผจญภัยทั้งหลายแต่อย่าไปใกล้พวกเขาล่ะ บางคนก็ค่อนข้างป่าเถื่อน” ขณะที่กล่าวเช่นนั้นเขาก็จับแขนของพ่อหนุ่มขี้เมาบิดไปอีกข้างเพื่อให้ยอมจำนน

“กิจังอยู่ใกล้ฉันไว้นะ” เธอขยับเข้ามาใกล้ ๆ จนตัวติดกันทำอย่างกับเป็นแม่ห่วงลูกไปได้

“ฉันก็รู้สึกไม่ชอบที่นี่เอาซะเลย” เซนมองซ้ายขวาสายตาเหลือบมองไปทั่ว

“เตรียมพร้อม !” เสียงจากทหารที่เดินคุมตะโกนขึ้นมา

พวกเขาได้เข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีห้องกระจกดูแน่นหนาเป็นพิเศษกับหญิงสาวผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของกิลด์

“ซึฮากินายเคยอ่านหรือดูการ์ตูนมาบ้างไหม?” เซนกระซิบมาจากด้านหลังแทบจะแนบลำตัว

“เอ่อ...ก็มีบ้าง”

“จากประสบการณ์การอ่านนิยายมามากมายนั่นต้องเป็นแท่นตรวจสอบที่ให้เอามือวางลงไปแน่ ๆ”

“ถ้าผู้มีประสบการณ์ว่าอย่างนั้นก็คงจะใช่แหละ” แววตาน่าสงสัยของหญิงสาวตรงหน้าและเจ้าหน้าที่กิลด์ต่างมองพวกเขาเหมือนเป็นตัวประหลาด

“สวัสดีค่ะ ฉันเตรียมอุปกรณ์ไว้แล้วให้พวกเด็ก ๆ เริ่มได้เลยนะคะ” แม้สายตาไม่ไว้วางใจแต่ก็ต้องฝืนยิ้มเพื่อทำงานต่อไป

“ครับ อา...เดินเรียงแถวเข้ามาแบบเดิมนั่นแหละ” ทีมเอสของพวกฟรานอยู่ลำดับสุดท้ายจะได้เฝ้ามองปฏิกิริยาของเพื่อน ๆ ทุกคน

“ใช้ฝ่ามือวางลงบนหินเวทเลยค่ะ ค้างไว้สักพักจนกว่าฉันจะบอกพอนะคะ” ไม่นานนักก็มีเปลวเพลิงพุ่งขึ้นมาภายในห้องกระจกตรงหน้า

“เชิญลงค่ะ คนต่อไปเข้ามาได้เลยนะคะ” โดยส่วนใหญ่ผู้คนจะมีเวทมนตร์แค่ธาตุใดธาตุหนึ่ง ซึ่งการดูสเตตัสก็สามารถพลังได้แล้วแต่เมื่อต้องมาทำบัตรประจำตัวก็ต้องมีการพิสูจน์

พีชมีคุณสมบัติวายุและวารี ซันนี่มีคุณสมบัติเวทวารีและเพลิง ชาญมีคุณสมบัติเวทดิน วายุและเพลิง ส่วนซากิมีคุณสมบัติเวทแสงหรือเรียกอีกชื่อว่าเวทศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแปลกยิ่งกว่าใคร จนในที่สุดก็มาถึงทีมสุดท้ายโดยเริ่มที่ฟรานเป็นคนแรก

“เชิญขึ้นค่ะ” มานาภายในห้องกระจกกำลังพลุกพล่านราวกับฝูงนกบินหนีปีศาจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเวทวารี วายุ ดินและเพลิงปะปนกันไปหมดจนมองได้ยากยิ่งแม้แต่กระจกที่ทำมาแบบพิเศษเพื่อตรวจสอบเวทยังเกิดรอยร้าว

“ใช่แน่ ๆ ผู้ที่มีพลังธาตุทั้งสี่เฉกเช่นเดียวกับท่านผู้นั้น เธอต้องเป็นคนที่อยู่ในคำทำนายแน่นอน” น้ำเสียงสั่น ๆ กับแววตาเบิกกว้างเหมือนได้ค้นพบเพชรเม็ดโตกำลังพูดคุยกับผู้นำทหาร

“ถ้าพวกเขาตกใจขนาดนี้แสดงว่ามันต้องสุดยอดแน่ ๆ” เซนยิ้มเยาะเตรียมพร้อมด้วยความมั่นใจเกินร้อยเพื่อดูพรสวรรค์ของตนเอง

“เหอะ ๆ อย่างนายไม่มีทางหรอก” เสียงหัวเราะเยาะหยอกล้อจากนาริพลางตบไหล่เบา ๆ

“คนต่อไปค่ะ” ซึฮากิได้วางมือลงบนหินเวทโดยไม่ได้คิดคาดหวังอะไรขณะเดียวกันก็ยังสอดส่องมองดูเจ้าหน้าที่กิลด์รอบ ๆ

“นี่มัน” ออร่ามานาสีดำแพร่กระจายไปทั่วห้องกระจกก่อนจะโดนลมโกรกไปมาดั่งพายุหมุนในคืนเมฆทึบ

“โบราณบอกไว้พวกเวทมนตร์ดำจะนำพาความล่มสลายมาสู่มนุษย์แต่ก็แค่เรื่องเล่าต่อ ๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไป ยกเว้นเสียแต่ไปเจอพวกหัวโบราณก็อาจจะลำบากสักหน่อย” หญิงผู้นั้นส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้เหมือนครูแนะแนวที่คอยหาที่เรียนแค่เห็นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

“คนต่อไป”

เซนได้เพลิงนั่งคอตกเพราะอยากได้มากกว่านี้ ต่อด้วยนาริที่เป็นดินสมกับความแข็งกร้าวของเธอ คานะหญิงสาวพูดน้อยที่เอาแต่เฝ้ามองเพื่อน ๆ ได้เวทวารีดูเหมาะกับคนเงียบขั้วตรงข้ามกับเซนเสียจริง ส่วนคนสุดท้ายแซมได้ก็ได้เวทวารีเช่นกัน

หลังจากตรวจสอบเสร็จพวกเขาก็ต้องกลับไปเข้าแถวเหมือนเดิม

“ต่อไปเราจะไปทำบัตรประจำตัวนะคะ” หญิงสาวผู้นั้นนำทางทหารฝึกหัดทั้งหลายไปยังห้องอีกห้อง เธอจะเรียกเข้าไปทีละคนเพื่อสอบถามและตรวจสอบบางอย่างและสลักมันลงบนแผ่นโลหะเป็นบัตรประจำตัว

“ชื่ออะไรคะ?” เธอก้มหน้าเตรียมเขียน

“ซึฮากิครับ” เขาพยายามมองดูการสลักข้อมูลลงบนโลหะด้วยเวทมนตร์

“ช่วยบอกนามสกุลด้วยสิคะ” เธอเงยหน้ามองขมวดคิ้วถามอีกรอบ

“ซึฮากิ ฮาเกด ครับ” ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีวิธีตรวจสอบสักอย่างไม่ใช่แค่ถามตอบแน่นอน เพราะฉะนั้นขอลองเชิงสักหน่อยก็แล้วกัน

“เกิดวันไหน? เดือนอะไร? อายุเท่าไหร่?”

ในเมื่อให้ข้อมูลเท็จไปแล้วก็เอาอีกสักหน่อยแล้วกัน

“เกิดวันที่สามสิบเดือนมกราคม ปีสองพันห้าร้อยห้าสิบแปด อายุสิบเจ็ดปี”

“เสร็จแล้วไปได้ค่ะ”

ขณะที่กำลังจะลุกเดินออกไปเธอก็โน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหู “อยากจะลองเชิงสินะคะ” เสียงกระซิบที่เหมือนมีมนต์สะกดทำเอาซึฮากิขนลุกและรีบเดินออกจากห้องมาทันที

หลังจากเสร็จกิจธุระแล้วพวกทหารก็พาพวกเขาออกไปจากสำนักงานกิลด์ตรงไปยังร้านขายอาวุธที่อยู่ใกล้ที่สุด

“ฉันให้เวลาหนึ่งชั่วโมง มองหาอาวุธมาคนละหนึ่งอย่างที่ราคาไม่เกินห้าเหรียญทอง ถ้าหากเลือกไม่ได้ก็ถามช่างตรงโต๊ะรับแขกเอาหรือไม่ก็ให้ฉันเลือกให้”

“ทราบ” เสียงตอบรับจากทุกคนดังลั่นไปทั้งร้าน แต่ที่แปลกคือไม่มีลูกค้าคนอื่น ๆ อยู่เลยนอกจากคนขายสงสัยจะจองไว้

อาวุธมากมายวางตั้งอยู่ทั่วร้านทั้งดาบสองคม ดาบคมเดียวหรือจะเป็นธนูก็มี

“ซึฮากิ ฉันว่าโล่ดาบน่าจะเหมาะกับนายนะ” เซนยื่นมือไปหยิบโล่ขนาดเล็กที่มีดาบเสียบอยู่ด้วยเอามาให้ซึฮากิลองถือดู

โล่ขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสี่สิบเซนติเมตร ดาบสั้นประมาณหกสิบเซนติเมตร กว้างหกเซนติเมตร น้ำหนักเบาเคลื่อนไหวง่ายถือได้ว่าเป็นอาวุธที่ดีเลยนะเนี่ย ลืมอีกแล้วดันใช้หัวคิดเยอะไป

“ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันเลือกอันนี้ก็ได้” ถือว่าตามีแววเหมือนกันนะเนี่ย อาวุธที่ใช้ได้หลากหลายสถานการณ์ไม่ว่าจะรุกหรือรับ

“นายก็ไปเออออตามเซนมันได้นะ” นาริแบะปากจ้องมองด้วยความสงสัยว่าทำไมซึฮากิถึงยอมเลือกตามเซน

“งั้นผมไปดูอาวุธของตัวเองบ้างดีกว่า” แซมก็แยกตัวไปเช่นกัน

“นี่กิจังช่วยเลือกอาวุธให้ฉันหน่อยสิ” แววตาอ้อนวอนกับน้ำเสียงนุ่มนวลชวนให้คล้อยตามอีกทั้งยังกอดแขนซึฮากิไว้จนคนอื่น ๆ คิดว่าเป็นคนรักกัน

“อันนั้นดูเป็นไง” ซึฮากิชี้ไปที่ดาบคมเดียวที่เหมือนดาบญี่ปุ่น

“เข้ากับฉันไหม” เธอเอาดาบมาแนบลำตัวหมุนไปรอบ ๆ ให้ซึฮากิได้เชยชม

“ใช้ได้” เพียงแค่คำตอบสั้น ๆ มันก็ทำให้เธอยิ้มไม่หุบกอดดาบนั่นไว้แน่น

“ฉันเลือกให้นายแล้วตานายเลือกให้ฉันบ้างละ ขอแบบเท่ ๆ เหมาะกับความเป็นชายชาตรีหน่อยละกัน” ทันใดนั้นเซนก็เอ่ยถามขึ้นมายกแขนเบ่งกล้ามให้ดูความแข็งแรง

“อันนั้น” สมกับเป็นชายชาตรีสินะ ไม่สิต้องสมกับเป็นพวกสมองกล้ามอย่างดาบยักษ์

“เอ่อ...แน่ใจนะว่าเหมาะกับชายชาตรี” ดาบสองคมยาวประมาณสองเมตรแค่เห็นก็ไม่น่าให้คนใช้แล้วแต่เซนก็หยิบมันมา

“แน่สิ” ซึฮากิตอบกลับเสียงแข็งท่าทางมั่นอกมั่นใจจนเซนยอมรับไว้

ขณะเดียวกันคานะก็เอาแต่เดินตามต้อย ๆ ไม่กล้าแยกตัวทำให้ไม่ได้เลือกอาวุธเสียที

“ถ้าเธอเลือกไม่ได้ให้พวกเราช่วยไหม?” เธอสะดุ้งตกใจเล็กน้อยพยักหน้าตอบรับ

“คานะจังเธอค่อนข้างขี้อายน่ะ เดี๋ยวฉันคุยให้เอง” ฟรานเสนอตัวเข้าไปแนะนำอาวุธให้เธอก็ดูสมกับเป็นดาวโรงเรียนที่มีแต่คนรัก ทั้งยิ้มเก่งและมนุษยสัมพันธ์ดีเข้าหาใครก็ได้

“เดี๋ยวฉันพาคานะจังไปเลือกของเอง” หลังจากกล่าวเช่นนั้นเธอก็พาตัวคานะออกไป

“นายมีอะไรที่อยากทำอีกไหม?” เซนเดินเข้ามาถามเพราะเลือกอาวุธได้ไวจึงไม่มีอะไรทำ

“ก็มีอยู่นะ ของีบสักนิด” พวกเขาพยักหน้าพร้อมกันตัดสินใจนั่งงีบรอแถว ๆ นั้น

เวลาผ่านจนถึงเวลาที่กำหนดถึงจะไม่มีนาฬิกาแต่ก็มีเสียงนกหวีดดังเป็นสัญญาณ

“เลือกกันได้หลากหลายดีนี่ อา…เราไปจ่ายเงินกันดีกว่า” นายทหารยิ้มเยาะชอบใจเมื่อจ่ายเงินเสร็จก็พากันออกมาตั้งแถวนอกร้าน

“กลับกันได้” บรรยากาศร้อนจากแสงแดดยามบ่ายกำลังเผาไหม้ผิวงาม ๆ ของหญิงสาวจนกระทั่งเข้าเขตป่าจึงมีต้นไม้ช่วยบังแดด

“เธอเอาอะไรมาเนี่ย มันจะใช้สู้ได้ด้วยเหรอ?” เซนที่ได้เห็นอาวุธของนาริถึงกับหัวเราะลั่นออกมา ถุงมือเหล็กแบบพิเศษทั้งใหญ่และเทอะทะแต่มันก็ใช้งานง่ายกว่าอย่างอื่น

“เดินไปเหอะ” นาริขมวดคิ้วจ้องมองก่อนจะถีบก้นเซน

“คุณคานะเลือกเหมือนผมเลยสินะครับ” แซมทักถามคานะเมื่อเห็นคันธนูแบบเดียวกับที่เขาถืออยู่จึงได้โอกาสชวนคุย

“ค่ะ ฟรานเป็นคนช่วยเลือกให้” ในที่สุดเธอก็ตอบรับแม้จะยังสั่นอยู่บ้างแต่อีกไม่นานก็น่าคุ้นเคยกัน

“ฉันเห็นค่ายแล้วล่ะ แต่เหมือนจะมีคนแปลกหน้ามาเพิ่มด้วย” ฟรานทอดสายตามองไกลออกไปเห็นรถม้าหรูหราเต็มไปด้วยของตกแต่งราวกับเป็นของขุนนาง

เมื่อเข้าไปใกล้ก็มีหญิงสาวผมบลอนด์ทองเดินสวนมา ออร่ามานากำลังกดดันพวกเขาจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

“นาธา !”

“เอ่อ…อา…สวัสดี” เหมือนนายทหารจะไม่กล้าสบตาด้วยซ้ำหรือเพราะยศที่ติดบนบ่ามากกว่าหลายเท่าทำได้แค่จำยอมตอบรับ

“ฉันหาตั้งนานก็ไม่เจอสักทีที่แท้ก็อยู่นี่นี่เอง” เธอกอดรัดแน่นเสียจนทหารนายนั้นขยับตัวไม่ได้ แรงของเธอมากขนาดไหนกันทำให้ทหารหนุ่มขัดขืนไม่ได้เลย

“เอ่อ…ลักซ์ เธอช่วยรักษากิริยาอารมณ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วยสิ นี่มันในเวลางานนะ” เสียงถอนหายใจลากยาวเหนื่อยจากการแบกตัวเขาออกจากทหารหญิงยากยิ่งกว่าสู้กับสัตว์ประหลาดเสียอีก

“แหม นาน ๆ ทีจะได้เจอกันนะ กฎระเบียบละเว้นบ้างก็ได้มีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะแยะเลยล่ะ” เธอยิ้มไม่หุบตลอดการสนทนาจับเนื้อจับตัวนาธาไม่หยุด

“ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่ นี่มันเกือบชายแดนเลยนะ”

“พอดีพวกคนในกระทรวงมีเรื่องข้องใจกับเส้นทางน่ะก็เลยต้องมาจัดการให้”

“ท่านครับเราไม่ควรจะเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้วนะครับ กรุณารีบออกเดินทางต่อด้วยครับ” คนคุมบังเหียนเอ่ยทักท้วงด้วยใบหน้าหงุดหงิดรำคาญ

“อะไรกันฉันพึ่งจะได้เจอเขาเองนะ” รอยยิ้มค่อย ๆ หายไปกลายเป็นสีหน้าห่อเหี่ยวเหมือนต้นไม้กำลังจะเฉาตาย

“ไปทำงานของเธอเถอะ ไว้ฉันถึงช่วงพักเมื่อไรเดี๋ยวจะไปหาแล้วกัน”

“จริงเหรอ ไชโย ! นาธาจะมาหาฉันที่บ้านด้วยล่ะอย่างนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับซะแล้วสิ” เธอกลับมายิ้มร่าเริงอีกครั้งจะดูเป็นคนเอาแต่ใจก็ได้หรือจะมองเหมือนเด็กตัวน้อยอยากได้ของเล่นก็ได้เช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันนะ ไปล่ะ !” เธอโบกมือและกล่าวลาด้วยรอยยิ้มปลื้มปริ่ม

“ตามนั้น” นาธาโบกมือกลับถึงแม้จะยิ้มให้แต่เธอก็คงไม่สังเกตเห็น

“เดินหน้า...ปฏิบัติ !” เมื่อทหารหญิงคนนั้นหายไปจากสายตานาธาก็กลับมาเข้มขรึมเช่นเดิมจนทหารฝึกหัดสะดุ้งตกใจ

หลังจากกลับถึงค่ายพวกเขาก็ร่วมกันกินอาหารก่อนจะเข้านอน

“ว่ายังไงนะ จะทำแบบนั้นเหรอ? ฉันไม่เอาด้วยหรอก” เสียงของนาธาโวยวายอยู่ด้านนอกอาคารพักผ่อน

“ถ้าไม่ปฏิบัติตามกระทรวงจะถือว่าเป็นกบฏนะหัวหน้า”

เสียงพวกทหารนี่ ซึฮากิตื่นขึ้นมาเพราะหูดีได้ยินคนคุยกัน

คุยกันจบแล้วเหรอ น่าจะเป็นแผนปฏิบัติงานในอนาคตหรือจะมีคำสั่งใหม่เข้ามาอีก ช่างเถอะนึกว่าจะได้ยินอะไรดี ๆ สักหน่อย

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ Solar Shine

หลังจากตอนนี้จะเป็นมุมมองที่สามตลอดแล้วนะ

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.