รุ้งเที่ยงคืน 1: สัญญาณนับถอยหลัง
“พ่อครับ ถ้าถึงศูนย์หลบภัยแล้ววีดีโอหาด้วยนะครับ เป็นห่วงพ่อกับแม่ครับ” ข้อความล่าสุดที่เขาส่งถึงพ่อในห้องแชทส่วนตัวระหว่างเขากับชายผู้ให้กำเนิดยังเด่นหราเป็นข้อความล่าสุดอยู่ เลื่อนสายตาลงมา เห็นระบบแจ้งว่าส่งข้อความนี้ไปเมื่อสิบชั่วโมงที่แล้ว โดยไม่มีการแจ้งเตือนว่าปลายทางที่ส่งถึงเปิดอ่านข้อความเมื่อไหร่ แสดงว่าพ่อของเขายังไม่ได้อ่านข้อความดังกล่าวเลย
คิ้วเรียวบนหน้าชายหนุ่มย่นเข้าหากันด้วยความกังวลถึงบุพการีสองท่าน ที่เดินทางกลับไปเยี่ยมยายแท้ๆของเขาในต่างประเทศเมื่อสองวันก่อน
แม่ของเขาเป็นคนต่างชาติ พบรักกับพ่อตอนที่พ่อเดินทางไปทำงานที่นั่น และพามาอยู่ด้วยที่ประเทศไทย จะกลับไปเยี่ยมญาติฝ่ายแม่ก็นานๆครั้ง
ครั้งนี้พ่อพาแม่กลับไปบ้านเกิดเพราะเป็นช่วงเทศกาลประจำปีของถิ่นนั้น ที่ลูกหลานคนในพื้นที่จะพากันกลับมาร่วมงานอันเป็นประเพณีสืบทอดต่อกันหลายชั่วคน
ปกติทุกปีเขาก็จะตามพวกท่านไปด้วย แต่ปีนี้ทีมสร้างหุ่นยนต์และเอไอของเขาต้องมาแข่งที่ญี่ปุ่น ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปด้วยได้
แต่เรื่องที่ทำให้ต้องกังวล ไม่ใช่เพราะเทศกาลดังกล่าว หากเป็นเรื่องที่พ่อวีดีโอคุยกับเขาเมื่อคืน ว่าทางการสั่งอพยพคนออกนอกพื้นที่ภูเขาไฟประทุ ซึ่งบ้านเกิดของแม่ก็อยู่ในบริเวณนั้น
เพื่อนร่วมห้องพักที่หายเข้าห้องน้ำไปครู่หนึ่ง ภายหลังกลับจากประชุมที่ห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาทีม เปิดประตูออกมา เห็นเพื่อนจ้องสมาร์ทโฟนในมือด้วยสีหน้าเครียดอย่างนั้นก็ทักขึ้น
“เป็นอะไรวะ?”เพื่อนวัยเดียวกันถาม พลางเดินไปหยิบรีโมทบนโต๊ะกดเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลารอทานมื้อเย็น
คนถูกทักเหลือบขึ้นมอง ก่อนวางสมาร์ทโฟนลงกับเตียงพร้อมผ่อนลมออกจมูก
“แล้วพ่อแม่แกเป็นไงบ้าง ปลอดภัยดีกันทุกคนใช่เปล่าวะ?”ชายหนุ่มคนเดิมถามต่อหลังจากเพิ่งนึกขึ้นได้ พร้อมเดินกลับมากระโดดขึ้นนั่งปลายเตียง
คนถูกถามหายใจเข้าแล้วผ่อนออกมาอีกรอบ
“ก็เรื่องนั้นแหละ พ่อยังไม่ส่งข่าวมาเลย”ชลิตตอบด้วยน้ำเสียงเจือกังวล
“เช็คข่าวกู้ภัยในพื้นที่ยังล่ะ?”
“เห็นว่าพาออกมาได้บางส่วนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกพ่อและญาติๆจะเป็นหนึ่งในนั้นมั้ยน่ะสิ”
“อาจจะกำลังวุ่นวายกันอยู่ก็ได้”เพื่อนร่วมห้องพักพยายามพูดให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
“หลังจากพายุใหญ่ผ่านไปแล้ว ส่งผลให้หลายพื้นที่ที่พายุเคลื่อนตัวผ่านประสบกับภัยน้ำท่วมหนัก บ้านเรือนพังเสียหาย และมีรายงานว่าเหมืองขนาดใหญ่ในพื้นที่.... สหรัฐอเมริกา ถล่ม ทำให้มีคนงานเหมืองจำนวนมากติดอยู่ในเหมือง ท่ามกลางฝนที่ยังโปรยปรายไม่หยุดและการพยายามเข้าช่วยเหลือของทางการและเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายองค์กรที่ทำงานแข่งกับเวลาอยู่ขณะนี้”เสียงผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์รายงานฉะฉาน ดึงให้ชลิตต้องหันมองด้วยความสนใจ พักนี้เขาเห็นเรื่องภัยพิบัติเกิดขึ้นหลายพื้นที่บนโลกค่อนข้างบ่อย จนอดนึกไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกกันแน่
“ทำไมเปิดไปช่องไหนๆก็เจอแต่ข่าวภัยพิบัติ ข่าวสงคราม ข่าวความเดือดร้อนทั้งนั้นเลยวะ ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาให้ดูบ้างรึไง!”วีรชาติที่นั่งกดรีโมทเลื่อนหาช่องบันเทิงดูบ่นด้วยความเบื่อหน่าย
ครืน...ครืน...กุกกักๆๆ ทันใดนั้น เสียงราวกับอะไรขนาดใหญ่ขยับก็ดังขึ้น ก่อนตามด้วยพื้นห้องพักในตึกโรงแรมที่พวกเขาพักจะสั่นสะเทือนรุนแรงจนตัวโคลง เสียงโต๊ะตู้เตียงภายในห้องเคลื่อนชนกันจนคนฟังหวาดหวั่น สายตาเห็นข้าวของในห้องขยับสั่นไหวรุนแรงน่ากลัว แต่ไม่มีอะไรหักโค่นล้มลงมา อาจเพราะที่นี่เตรียมรับมือกับสถานการณ์อะไรแบบนี้ไว้อยู่แล้ว จึงออกแบบของทุกอย่างในห้องไม่เว้นของประดับให้ปลอดภัยต่อผู้เข้าพักเมื่อเกิดเหตุขึ้น
ชลิตและวีรชาติรีบวิ่งเข้าหาที่หลบแข็งแรงรับน้ำหนักได้มาก อย่างโต๊ะวางของ หรือชั้นเตี้ยระดับเอววางโทรทัศน์ซึ่งมีข้างใต้ฝั่งหนึ่งโล่งพอให้มุดได้ ทันที
ไม่นานนัก หลอดไฟก็กระพริบวิบวับ ก่อนจะมืดลงกะทันหัน
หัวใจหนึ่งหนุ่มเต้นรัวราวจะทะลุจากอกอย่างระทึก อีกหนึ่งหนุ่มหล่นวูบไปที่ตาตุ่มเพราะความตกใจ สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาไม่บุ่มบ่ามทำอะไรตอนนี้คือ สติ เท่านั้น
แผ่นดินยังไหวอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง.....แล้วค่อยลดระดับสั่นสะเทือนลง ลดลง ลดลง จนกลับสู่สภาวะนิ่งสนิท ตามด้วยไฟฟ้าที่กลับมาทำงานอีกครั้ง สองหนุ่มจึงค่อยพากันออกมาจากใต้โต๊ะและชั้นวางอย่างระมัดระวัง
“ฉิบหาย นึกว่าจะไม่รอดแล้ว!”วีรชาติสบถทั้งที่ยังไม่หายกลัว
“รีบไปหาอาจารย์กันเถอะ”ชลิตบอกเสียงนิ่ง แต่สีหน้าก็ซีดจนเห็นชัด
-------------------------
“พวกคุณ”อาจารย์ของสองหนุ่มทักขึ้นเมื่อเห็นหน้าพวกเขาเดินเร็วๆมาทางตน
“อาจารย์เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”ชลิตถามขึ้นก่อนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไร ผมกำลังจะไปหาพวกคุณพอดี ปลอดภัยกันดีมั้ย?”ดวงตาโตมองสองลูกศิษย์อย่างสำรวจ แต่เบื้องต้นก็ยังไม่เห็นว่าบาดเจ็บอะไร
“พวกเราไม่เป็นไรครับ แล้วไอ้แผ้วกับไอ้ผ่องล่ะครับ?”วีรชาติถามถึงสองพี่น้องแฝดชายหญิง เพื่อนร่วมทีมที่บินมาแข่งด้วยกันซึ่งยังไม่เห็นหน้า
“กำลังตามมาน่ะ อาจารย์ไปดูพวกนั้นก่อนแล้ว เห็นว่าปลอดภัยดี ก็รีบมาหาพวกคุณนี่แหละ”
“โปรดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ขอแขกทุกท่านที่อยู่ในโรงแรมขณะนี้ รีบอพยพขึ้นไปอยู่ชั้นที่สูงกว่าชั้นสิบให้เร็วที่สุดด้วยค่ะ กรุณาอย่าใช้ลิฟท์ในการเคลื่อนย้าย ให้ใช้ทางบันไดหนีไฟ ซึ่งสามารถดูตามไฟลูกศรบนพื้น เพราะศูนย์เตือนภัยแจ้งว่า อีกไม่นานจะเกิดสึนามิที่ชายฝั่งไม่ไกลจากที่นี่ กรุณาอย่าออกจากตึก ให้รีบอพยพขึ้นชั้นบนให้เร็วที่สุด ขอรับปฏิบัติทั่วกัน”เสียงประกาศจากเสียงตามสายของโรงแรมดังขึ้น สร้างความตื่นตกใจให้แขกภายในสถานที่กันถ้วนหน้า
“อาจารย์!”แล้วเสียงใสก็ดังมาจากทางเดินด้านหลังอาจารย์หนุ่ม ก่อนคนที่ยืนคุยกันอยู่จะหันมอง
“รีบไปกันเถอะฮะ โรงแรมแจ้งอพยพแล้ว”ชายหนุ่มหน้าตาเดียวกันกับอีกหนึ่งสาวที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกันเร่งท่ามกลางเสียงประกาศซ้ำอย่างเดิมอีก
“ทำยังไงดีอาจารย์ พวกเราไม่มีเวลากลับไปขนหุ่นยนต์ที่ห้องอาจารย์ไปด้วยได้แล้ว”หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มถามอย่างขอความเห็น ถ้าทีมเธอไม่มีหุ่นยนต์นั่น ก็ไม่สามารถเข้าแข่งตามแผนได้
“ช่างมันก่อน ชีวิตพวกเราสำคัญที่สุด หุ่นยนต์นั่นสร้างใหม่เมื่อไหร่ก็ได้”อาจารย์หนุ่มบอกขณะที่พาลูกศิษญ์ทุกคนเดินเร็วๆไปตามทางที่ลูกศรไฟบนทางเดินบอกทางให้
ชลิตสังเกตว่า แม้เหตุการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงขนาดนี้ แขกในโรงแรมที่เป็นคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ต่างเคลื่อนย้ายตนเองอย่างเป็นระเบียบ อดเปรียบกับประเทศที่เขาเติบโตมาไม่ได้ ถ้าเป็นที่นั่นล่ะก็ ป่านี้คนคงชุลมุนรีบอพยพจนผลักกันล้ม เหยียบคนตายไปหลายคนแล้ว
นั่นสินะ สถานการณ์หมิ่นเหม่แบบนี้เร่งเอาตัวรอดเป็นสิ่งควรทำก็จริงอยู่ แต่อย่างไรก็ไม่ควรทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะการพยายามเอาตัวรอดของตนเองอยู่ดี ใจเขาใจเรา รักตัวกลัวตายเสมอกันทุกคนนั่นแหละ
-------------------------
อยู่บนที่สูง มองเห็นอาคารบ้านเรือนรอบโรงแรมไกลออกไปเกือบทั่ว ตึกสูงหลายหลังในบริเวณนั้น ผู้คนมากหน้าหลายวัยพากันโผล่ตัวออกมาสังเกตการณ์ที่เกิดขึ้น
บนท้องถนนทุกสายที่เห็นตอนนี้ปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ว่าจะคนหรือรถรา
ลิบตาเบื้องหน้า และแล้วทุกคนก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นคลื่นยักษ์มหึมาโผล่ขึ้นเหนือพื้นทะเล ดวงตาทุกคู่จ้องนิ่งค้างไปยังภาพเดียวกันราวต้องมนตร์สะกด
สรรพสิ่งในเวลานั้นคล้ายหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ บนท้องฟ้าไร้นกสักตัวบินเตร่เหมือนทุกวัน ฉากหลังก้อนเมฆที่ปกติเป็นสีฟ้าสดใส บัดนี้ออกส้มแดงหม่นมัวน่าหวาดหวั่น ปุยเมฆสีทึมไม่ชวนมองอย่างเคย บรรยากาศอึมครึมน่าสะพรึงจนทุกคนขนลุก
“กรี๊ดดดด!!!”เสียงกรีดร้องจากทางหนึ่ง ดังตัดความเงียบขึ้น ใครคนนั้นตกใจกับภาพที่เห็นจนเผลอร้องออกมา ทำเอาเด็กเล็กบางคนสะดุ้งแล้วร้องไห้จ้า
คลื่นที่ตั้งตัวสูงราวกำแพงน้ำขนาดใหญ่ส่งตัวขึ้นไปถึงที่สุด แทบบดบังผืนฟ้าไปเกือบหมด ไม่นานนักก็โถมใส่ฝั่งอย่างไม่ปรานี ซัดทุกอย่างที่ขวางหน้าพังพินาศราบเป็นหน้ากลอง ราวกับคนปลดปล่อยความแค้นที่อัดอั้นมานานให้โลกรับรู้
บ้านเรือนหลายหลังบ้างถล่มเพราะแรงคลื่น บ้างจมลงใต้น้ำในพริบตา รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้ ป้ายสูง หอชมวิวสูงสิบเมตร หรือแม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ที่มีรากแก้วยึดไว้ต่างก็ระเนระนาดไปคนละทิศละทาง บ้างก็ถูกคลื่นซัดลึกเข้ามาบนฝั่ง ชนนั่นนี่ย่อยยับ
หลายคนมองน้ำจำนวนมหาศาลไหลทะลักเข้ามาใกล้ตึกอาคารที่ตนอยู่อย่างรวดเร็วด้วยความวิตก ไม่อาจคาดได้ว่าพลังคลื่นยักษ์นั้นจะมากขนาดที่ตึกที่อยู่จะรับแรงน้ำได้แค่ไหน
ชลิตและเพื่อนๆต่างลุ้นกันจนแทบหยุดหายใจ ภาวนาให้ตึกที่พวกเขาอยู่ไม่โดนน้ำซัดหนักจนทรุดลงไปเสียก่อนทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ
ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่วมชั้นหนึ่ง ชั้นสอง และชั้นสามตามลำดับโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่ายๆ
แวบหนึ่งในสมองของชลิต อดคิดไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นการแสดงแสนยานุภาพของธรรมชาติให้มนุษย์เห็นหรือไม่ หลังจากที่พวกมนุษย์ต่างประกาศว่าตนจะเอาชนะธรรมชาติ แล้วคิดศาสตร์วิทยาการมากมายที่ขัดแย้งกับธรรมชาติขึ้นมาต่อสู้ แต่.....มันจะได้ผลจริงหรือ?
“ถ้าจะเอาชนะใคร ไม่จำเป็นต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามเขาเสมอไป” คำพูดของพี่สาวคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จักผุดขึ้นมา
การเอาชนะธรรมชาติ อาจไม่ใช่การสร้างอะไรที่ทำลายหรือต่อต้านธรรมชาติ แต่อาจเป็นการรู้จักเรียนรู้ ปรับตัวและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเป็นมิตรมากกว่า
-------------------------
เครื่องบินลำใหญ่ลอยเหนือน่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังประเทศขวานทองบนทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยความเร็วที่สามารถข้ามผ่านพื้นที่หลายกิโลเมตรได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ขณะที่กำลังนั่งมองออกไปนอกกระจกตัวเครื่อง ข้างใต้ที่เครื่องดินลอยผ่าน เห็นพื้นที่หนึ่งคละคลุ้งด้วยควันดำจำนวนมากปกคลุมกินบริเวณกว้าง
ถ้าให้เดา เขาก็คิดว่าอาจเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นในสักพื้นที่ของประเทศนั้น และไฟไหม้อะไรคงไม่สาหัสถึงขั้นทำให้เห็นหมอกควันมหาศาลลอยเหนือผืนดินเขตนั้นอยู่ได้ขนาดนี้เท่ากับไฟที่ไหม้ป่าใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ หรืออากาศร้อนจัดทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเสียดสีกันจนมีประกายไฟเกิดขึ้นกันแน่
นกเหล็กยักษ์บินพาคนร้อยกว่าชีวิตมุ่งไปตามเส้นทางบินต่ออีกพักหนึ่ง ตลอดทางชลิตเห็นชั้นบรรยากาศรอบตัวเครื่องขมุกขมัวด้วยควันสีเทาปนน้ำตาลที่เกิดจากไฟไหม้บนพื้นที่กว้างขวางก่อนหน้า ดูเหมือนว่าฝุ่นควันเหล่านั้นจะลอยฟุ้งกินบริเวณไปไกล
จนกระทั่งมันบินถึงน่านฟ้าเหนือผืนดินไทย แม้คาดว่าจะห่างจากจุดนั้นหลายร้อยกิโลแล้ว ก็ยังคงเห็นหมอกเทาปนน้ำตาลเจือจางอยู่ในชั้นบรรยากาศแถวนี้ โชคดีที่แค่เจือจาง พอที่จะเอาเครื่องลงได้
ดังนั้นเมื่อถึงที่หมายแล้ว นกเหล็กโดยสารจึงบินวนหาจังหวะลง ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่บนเครื่องก็ประกาศเตือนให้รัดเข็มขัดให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย ขณะที่กับตันเครื่องบินกำลังจะพาเครื่องบินลงสู่พื้นดิน
มันค่อยๆเบนหัวลง ก่อนบินวนไต่ลงต่ำทีละระดับ ทำเอาคนบนเครื่องเสียววูบเป็นระยะๆ
“เอาล่ะ พวกคุณกลับกันได้นะ?”อาจารย์หนุ่มผู้ดูแลทีมถามขึ้นระหว่างที่ทุกคนพากันเดินออกมาจากประตูห้องโดยสารขาออก
“ครับ/ค่ะ”นักศึกษาชายหญิงสี่คนตอบแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“งั้นผมกลับก่อนนะ กลับกันดีๆล่ะ”
ทุกคนพากันไหว้ลาอาจารย์ของพวกเขาตามทำเนียมก่อนต่างคนจะแยกย้ายกันไป
ชลิตเดินแยกมาเช็คอินตั๋วเครื่องที่จองล่วงหน้าไว้ยังโซนสายการบินภายในประเทศ รอเดินทางกลับอุบลราชธานีบ้านเกิดในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า
ความจริงหลังจากเดินทางกว่าหกชั่วโมงมาแล้ว เขาควรกลับไปพักผ่อนที่หอสักวันหนึ่งก่อนค่อยกลับภูมิลำเนา แต่เพราะขี้เกียจรอ จึงตัดสินใจจองตั๋วกลับวันเดียวกันกับวันที่ต้องเดินทางจากญี่ปุ่นมาไทยเลย
ระหว่างรอเวลา ชายหนุ่มก็เดินออกมานั่งพักริมระเบียงโล่งดูแมกไม้สวนสวยที่ทางสนามบินจัดไว้เป็นที่หย่อนใจ ลมกรุ่นๆในบรรยากาศอบอ้าวโชยมาถูกผิวกาย เข้าหน้าหนาวแล้วแท้ๆ แต่สภาพอากาศช่วงบ่ายของประเทศไทยก็ยังร้อนคล้ายฤดูเล่นสงกรานต์อยู่ดี แถมเมฆครึ้มที่เห็นไกลๆก็บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนก็จะตกตามมา
เขาทอดสายตาไปไกล ในหัวอดคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาคนช่างคิดนั่นนี่เสมอไม่ได้
“ไม่แปลกหรอก มนุษย์ทำทั้งนั้นล่ะ นี่แค่สัญญาณเตือนจากธรรมชาตินะ”เสียงห้าวทุ้มของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง พอหันไปมอง ก็เห็นชายผิวคล้ำไว้เคราพอประมาณใส่แว่นกันแดดสีชาคนหนึ่งส่งยิ้มใจดีให้
“ถ้ายังไม่หยุดพากันปล่อยกิเลสตัญหาทำลายโลก ที่หนักหนากว่านี้ก็กำลังตามมา” เขายิ้มสวยอีกครั้ง แล้วเดินจากไป
โดยชายหนุ่มเองทำได้แค่ยืนมองตามแผ่นหลังหนานั้นไปด้วยความสงสัย ชายคนนั้นพูดเหมือนรู้ความคิดของเขาเมื่อกี้งั้นแหละ
-------------------------
เสียงสัญญาณรอสายเมสเซนเจอร์ดังขึ้นขณะชลิตกำลังต่อสายหาพ่อแม่ที่ยังอยู่ต่างประเทศ รอดูสถานการณ์ภูเขาไฟใกล้บ้านยายประทุให้สงบลงเสียก่อน จะได้ช่วยยายไปดูความเสียหายของที่อยู่ และช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านหรือจัดการเรื่องต่างๆที่นั่นให้เรียบร้อยก่อนกลับ
“ลิต ลูก”แม่ชายหนุ่มเองที่เป็นคนรับสาย ภาพที่เห็นในโทรศัพท์เป็นภาพหญิงวัยกลางคนหน้าตาอิดโรยที่ยังเหลือร่องรอยความสวยมองตอบกลับมา
“ผมถึงบ้านแล้วนะ พ่อกับแม่เป็นไงบ้าง ทำอะไรกันอยู่หรือ”
“แม่กับทุกคนกำลังช่วยกันทำอาหารเลี้ยงชาวบ้านในศูนย์จ้ะ พ่อออกไปดูความเสียหายกับพวกลุงน้าในหมู่บ้านยังไม่กลับน่ะ”คนเป็นแม่เล่าพลางยกมือปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดตามโคนผมใกล้หน้าผาก “ใครไปรับที่สนามบินหรือ”แล้วถามต่ออย่างชวนคุย
“ป้าตุ่นครับ”
“สรุปการแข่งก็เลื่อนไปไม่มีกำหนดใช่มั้ย ลูกเสียใจรึเปล่า อุตส่าห์ตั้งใจเตรียมตัวกันอย่างดี”แม่เขาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ครับ เลื่อนเวลาไปอีกหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น ไหนจะต้องซ่อมหุ่นยนต์ที่เสียหายไปหน่อยให้กลับมาสมบูรณ์อีก ผมว่าดีแล้วล่ะ แม่ล่ะครับ ดูท่าจะวุ่นเกือบตลอดเลย เหนื่อยมั้ยครับ อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะ” ชายหนุ่มคุยกับแม่อีกนิดหน่อยก็วางสาย เพราะชักฝืนความเหนื่อยความง่วงจากการเดินทางหลายชั่วโมงไม่ไหว
เขาเดินไปทิ้งตัวลงเตียงนุ่ม ก่อนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะลุกไปอาบน้ำให้เรียบร้อยเสียก่อน
-------------------------
โฮ่ง โฮ่ง! บ๊อก บ๊อก! โบ๊ววววว! เสียงสุนัขพันธุ์เล็กใหญ่สองตัวของชลิตส่งเสียงมาจากหน้าบ้านขณะเขากำลังเดินไปเปิดน้ำลากสายยางออกมาเพื่อจะรดน้ำต้นไม้ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่มักทำเสมอเวลากลับมาพักที่บ้าน
โบ๊วววววว! บ๊อก บ๊อก บ๊อก! โฮ่ง โฮ่ง! สุนัขสองตัวยังส่งเสียงต่อไป
กระทั่งเขาลากสายยางออกมาหน้าบ้านสำเร็จ ก็เหลือบไปเห็นหญิงชราคนหนึ่งเดินผ่านมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เห็นอย่างนั้นเขาก็เลยทักทายตามประสาคนรู้จัก เพราะจำได้ว่าแกเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันนี่เอง
“สวัสดีครับยาย กำลังจะไปตลาดหรือครับ”ชลิตส่งยิ้มให้
ยายชราคนนั้นหันมามองเฉยๆ แล้วก็ไม่พูดอะไร เดินผ่านไปหน้าตาเฉย จนทำเอาเขาถึงกับงงที่ยายซึ่งเคยทักทายกันดีวันนี้ท่าทีแปลกไป เห็นอย่างนั้นก็ไม่ได้สนใจต่อ เลื่อนประตูรั้วออก เดินไปรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านแทน ขณะที่เจ้าสุนัขสองตัวก็ยังส่งเสียงวุ่นวายต่อไป
สายมาหน่อย หลังจากรดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดบ้านเรียบร้อย ย่าของชายหนุ่มก็มาหา เอาข้าวปลาแกงร้อนมาให้ตามประสาคนเป็นห่วงลูกหลาน
“กินอะไรเสร็จแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวซะ ข้าจะพาไปวัด” จู่ๆย่าเขาก็พูดขึ้นตอนที่ชลิตกำลังนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“ไปวัดทำไมหรือครับย่า?”เขาถามด้วยความสงสัย พลางล้วงมือลงกระติกข้าวเหนียว
“ข้าจะพาเอ็งไปเสดาะเคราะห์ เพิ่งผ่านความเป็นความตายมา แถมไปติดในที่ที่มีคนตายอยู่งเป็นอาทิตย์ ไม่รู้อะไรจะติดตัวมาบ้างน่ะสิ”คนสูงวัยกว่าให้เหตุผล
“ก็ไม่ถึงกับอยู่ที่นั่นทั้งอาทิตย์หรอกครับ หลังจากน้ำลด ไม่กี่วันทางโรงแรมก็ย้ายที่พักให้ แต่เพราะจองตั๋วกลับหลังจากกำหนดแข่งเสร็จ ก็เลยต้องอยู่รอจนถึงวันกลับเท่านั้นเอง อีกอย่างคนก็ไม่ได้ตายเยอะขนาดที่ต้องห่วงเลย”
“ยังไงก็เถอะ แล้วอย่าลืมแต่งชุดดำล่ะ เสร็จจากเสดาะเคราะห์แล้วจะพาไปไหว้ศพยายอ้าย” คำพูดสุดท้ายของหญิงชราทำให้ชายหนุ่มสะดุด ก่อนเหลือบตาขึ้นมองหน้าย่าของตนดีๆอีกครั้งเหมือนจะถามว่า เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ
“ศพยายอ้าย? ยายอ้ายไหนหรือครับย่า?” ถามออกไปแล้วขนทั้งตัวก็ลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ
“ในหมู่บ้านนี้มีอ้ายเดียวนั่นล่ะ” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังหนาวเยือกทันที
อ้ายเดียวนั่นล่ะ อย่างนั้นก็หมายถึงยายอ้ายที่เขาเพิ่งทักไปเมื่อเช้าน่ะสิ!!
“แกเสียเมื่อไหร่ครับย่า!?”เขาถามอีกเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้เข้าใจผิด เพราะยายอ้ายคนเดียวในหมู่บ้านที่เขารู้จัก เพิ่งเห็นก่อนหน้าไปไม่กี่ชั่วโมงนี้เองจริงๆ
“ก่อนแกจะมาวันหนึ่ง วันนี้สวดวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เผาพอดีล่ะ”
ชลิตอ้าปากค้าง ขนลุกติดๆกันสามสี่ทีด้วยความพิศวง
“เป็นอะไรไป?”ย่าถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอาการอึ้งผิดปกติของหลานชาย
“ป...เปล่าครับ”เขาปฏิเสธ เพราะคิดว่าถ้ายายอ้ายคนนั้นเสียไปแล้ว ที่เห็นเมื่อเช้าอาจตาฝาดไปก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งคิดถึงภาพเมื่อเช้าขนก็ลุกชันไม่หยุดอยู่นั่น
-------------------------
‘อ้าย มานะ’
รูปหน้าศพพร้อมชื่อใต้ภาพเด่นหราแก่สายตา ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วก็ยังอดตกใจไม่ได้
ชลิตพนมธูปหนึ่งดอกในมือ กล่าวเคารพศพในใจครู่หนึ่งก่อนเอื้อมปักลงบนถังทราย แล้วขยับถอยออกมาให้คนอื่นเข้าไปไหว้ศพบ้าง พลางก็พูดคุยกับลุงป้าน้าอาที่มาร่วมงาน
“ฟาดเคราะห์ไปนะที่ไม่เป็นอะไร สมัยนี้โลกเป็นอะไรหมดก็ไม่รู้ พาคนตายไปหลายคนแล้ว”ตาคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากทราบว่าชายหนุ่มเพิ่งกลับมาจากประเทศที่เพิ่งมีข่าวเกิดสึนามิใหญ่ไป
“ใช่ๆตา บ้านเราเองวันหนึ่งๆก็มีสามฤดู เหมือนฟ้าดินวิปริตไปหมด เช้าฝน บ่ายร้อน เย็นหนาว นี่เห็นว่ายายอ้ายก็ตายเพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน แกก็แก่มากแล้วด้วยนะ”น้าผู้หญิงอีกคนผสมโรงอย่างเมามัน
ชายหนุ่มนั่งฟังอยู่ก็นึกสะท้อนใจ หลายวันมานี้สิ่งที่เขาพบเจอสะกิดใจให้หวนคิดอีกครั้ง
นี่ใช่ไหม เพราะมนุษย์ทำลายธรรมชาติ สิ่งที่ทำกับธรรมชาติก็เลยย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์???.....
#ผู้แต่ง ลีลาวลีหอมหวน
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
***สองตอนแรกจะยังไม่แปะบัญชีนะคะ แต่ฝากเพจของWriterด้วยค่ะ
https://m.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%88-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88-103070774399919/
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 950
แสดงความคิดเห็น