STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 13 พ่วงติด
กองทัพมอนสเตอร์บุกล้อมจากทุกทิศทางทำให้ผู้มีวิชาต้องแบ่งกำลังออกไปล้อมทุกด้านเพื่อปกป้องประชาชนเหล่านั้น
“พวกมันไม่มีท่าทีจะหมดเลยขอรับ” หนึ่งในอาจารย์ของสำนักศาสตร์นักสู้กล่าว ความยากของสงครามในครั้งนี้ก็คือประชาชน พวกเขาต้องคอยปกป้องและระวังไม่ใช้พลังของตนเองมากจนประชาชนมีผลกระทบด้วย
“เราต้องควบคุมพื้นที่ให้ไวที่สุด” เจ้าสำนักกังเข้าไปกลางวงเพื่อล่อพวกมอนสเตอร์ให้ตามเขาไปซึ่งเปิดโอกาสให้นักผจญภัยและอาจารย์ท่านอื่นกางบาเรียล้อมผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ
เพียงแค่นั้นก็กินมานามากพอสมควรแล้วและถ้าต้องกางคลุมทั้งหมดก็คงต้องใช้ผู้มีเลเวลเก้าไม่ก็อาจารย์เป็นร้อยคน และต่อให้มีอาจารย์เป็นร้อยคนแต่หากไม่เคยฝึกซ้อมกันมาก่อนก็ยากที่จะใช้มานาผสานกันได้
“พวกข้าต้องขอความร่วมมือจริง ๆ ขอรับ ใครที่ต่อสู้เป็นให้ปกป้องคนที่ต่อสู้ไม่เป็นเพราะพวกข้าอาจจะปกป้องทุกคนไม่ได้” หนึ่งในอาจารย์ของสำนักศาสตร์นักสู้กล่าว
นอกจากนักผจญภัยก็มีพวกคนใหญ่คนโตที่มาพร้อมคนคุ้มกันออกโรงมาช่วยอีกแรง ความช่วยเหลือกันและกันของพวกเขาทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ถึงหนึ่งร้อยคน
“ดูเหมือนสถานการณ์สงบลงแล้ว” กังเดินดูรอบ ๆ เผื่อมีมอนสเตอร์ที่แอบซ่อนอยู่แต่ก็ไม่พบอะไรจึงกลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวก
“ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าต้องติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแถมยังไม่มีเสบียงหรือน้ำสักหยด ถ้าเกิดเราหาทางออกไปจากที่นี่ไม่ได้ก็คงต้องพบจุดจบอันน่าหดหู่เป็นแน่” กังกล่าวกับอาจารย์ท่านอื่นโดยที่เฟยเฟิ่งก็อยู่ข้าง ๆ เช่นกัน
หลังจากได้พักหายใจสิบนาทีก็ปรากฏเสาสีขาวเคลื่อนย้ายฝูงมอนสเตอร์มาอีกครั้งและด้วยประสบการณ์ครั้งแรกทำให้พวกเขารับมือได้ดียิ่งขึ้นจนมีผู้เสียชีวิตไม่กี่สิบคนเท่านั้น
“ให้ตายสิข้าเบื่อที่ต้องสู้กับมอนสเตอร์พวกนี้แล้ว” ยูกิยืนกอดอกอยู่แนวหลังเพื่อเฝ้ามองการปะทะของพวกเขา
“พอได้เห็นมุมด้านบนก็แปลกตาดีเหมือนกันนะเนี่ย มอนสเตอร์เลเวลสองถึงสี่ที่เน้นจำนวนมาก ๆ และเท่าที่ดูก็คงปล่อยมาอีกหลายระลอกเพื่อบีบนักสู้ให้มานาหมด ถ้าเป็นอย่างที่กิบอกไว้ว่าดันเจี้ยนซ้อนจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปซึ่ง...ให้คนอื่นหาทางเอาก็แล้วกัน”
“เฮ้ย ! เจ้าหนูมัวยืนทำอะไรอยู่ ถ้าต่อสู้ไม่เป็นก็หลบไปอยู่กับคนอื่นเสีย” ชายเผ่าคนยักษ์คนหนึ่งเดินถอยออกมาชนเข้ากับยูกิจนล้มโชคดีที่ไม่เหยียบซ้ำ เขาถลึงตามองด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างกับพึ่งโดนสาวอกหักมาจากนั้นก็วิ่งเข้าไปถล่มพวกมอนสเตอร์ต่อ
“เหอะ เรียกใครเจ้าหนูกันแน่วะ” ยูกิเดาะลิ้นหงุดหงิดแต่ก็ยอมกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ เหมือนอยากกลับไปพักอยู่แล้ว
ดวงตาที่เชื่อมต่อกันเผยให้เห็นแสงส่องประกายที่อยู่ห่างออกไปไกล ยูกิเพ่งสมาธิเพื่อมองว่ามันคืออะไรแต่แล้วมันก็หายไปเสียก่อนพร้อม ๆ กับตอนที่มอนสเตอร์ทั้งหมดตาย
ยูกิถอนหายใจสั้น ๆ กวาดสายตามองผู้คนรอบตัว “คราวนี้จะเจออะไรอีกล่ะเนี่ย?”
ฟรานผู้ซึ่งเคยใช้ชีวิตทั้งลำบากและสะดวกสบายมาหมดแล้วแต่ก็ยังเหลืออีกหนึ่งสิ่งที่เธอยังไม่ได้สัมผัสจริง ๆ
ตั้งสติไว้สิ ทำแบบที่กิจังทำแบบเมื่อกี้ ฟรานเพ่งสายตามองการโจมตีและคอยหลบไปเรื่อย ๆ รอมานาของมันหมด
“สะ...สู้เขา !” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนลั่นมาจากอัฒจันทร์
“เล่นเจ้านั่นเลยแม่สาวน้อย !” เสียงเชียร์จากคนแปลกหน้าที่กำลังลุ้นตัวโก่งเพราะสิ่งที่ได้เห็นก็คือหญิงสาวหนึ่งคนที่ต้องสู้กับมังกรในตำนานตัวเป็น ๆ แม้จะเหมือนเรื่องเล่าแต่มังกรตัวจริงหายสาบสูญไปนานจนพวกเขาคิดว่าสูญพันไปแล้วด้วยซ้ำ
“เธอต้องทำได้แน่นอน” แม้จะมีบางส่วนที่คึกคะนองสนุกไปกับเกมที่ดันเจี้ยนจัดให้เพราะยังไงพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอยู่แล้ว แต่กลับกันก็มีพวกที่รู้สึกสงสารและเศร้าใจที่เห็นพวกฟรานทนต่อสู้ติด ๆ กันมานาน
“ผู้กล้าจะมาจบชีวิตที่นี่หรือเปล่านะ? หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะฉันอยากเจอเธอตัวเป็น ๆ มากกว่า” หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวนั่งไขว่ห้างเฝ้ามองการดิ้นรนของฟราน
เราต้องทำได้สิ ต่อให้มันเป็นมังกรแต่ก็ไม่มีสมองเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น มันต้องพยายามโจมตีเราและหากเราหลบและอดทนผ่านไปได้เราก็จะรอด
เวลาผ่านไปนานถึงสิบนาทีแต่มานาของมันก็ยังไม่หมดเสียที ความเหนื่อยล้าสะสมที่แค่ก้าวกระโดดก็ยังยากลำบากทำให้โอกาสชนะน้อยลงจนเกือบเป็นศูนย์ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังเพ่งสมาธิคาดเดาทิศทางเวทมนตร์ของมันไม่ละสายตา
“มะ...ไม่ทันแล้ว” ลูกไฟพุ่งลงมาเฉียดแขนเธอไปนิดเดียว หากก้าวช้ากว่านี้อีกเสี้ยววินาทีเธอก็คงโดนเผาตายทั้งเป็นไปแล้ว
เสียงหายใจถี่ท่าทางร้อนรนยากที่จะสงบจิตสงบใจหลังจากได้เห็นภาพที่ตนเองกำลังจะตายตรงหน้า รอยยิ้มและความสนุกสนานที่เคยมีมลายหายไปหมดเหลือเพียงน้ำตาที่ไหลซึมออกมาไม่รู้ตัวจากการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
“เมื่อไรมานามันจะหมดวะเนี่ย !” เสียงตะโกนลั่นจากก้นบึ้งหัวใจ แววตาอันเดือดพล่านกัดฟันฝืนร่างกายอันอ่อนล้าให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
สายตาเริ่มพร่ามัวเหมือนจะหน้ามืด เสียงเชียร์และเสียงกระพือปีกของมังกรค่อย ๆ เบาลงเหมือนหูจะไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว แขนขาสั่น ๆ ที่แค่ประคองร่างไว้ก็เต็มกลืนแต่แววตาของเธอก็ยังไม่มีคำว่ายอมแพ้สักคำเดียว
ไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากจะใช้มัน ฟรานชักดาบเทพทมิฬออกมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เราให้มันซึมซับพลังไปเยอะแล้วก็น่าจะพอใช้โดยไม่ต้องกังวลได้สักสองสามครั้ง
มังกรตัวนั้นบินลงต่ำเหมือนมานาจะหมดแต่ทันทีที่ฟรานพยายามจะเข้าถึงตัวมันกลับพ่นเปลวเพลิงใส่ทันที
เปลี่ยนมาสู้ระยะใกล้เหรอ แค่ตัวมันก็กินพื้นที่ไปค่อนสนามแล้ว
หลังจากหลบเปลวเพลิงได้มันก็กวาดกรงเล็บหวังกำจัดฟรานให้สิ้นซากแต่เธอก็กระโดดถอยออกไปนอกระยะได้พอดี เธอพยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเพื่อประหยัดแรงไว้เหวี่ยงดาบปิดฉากศัตรูตรงหน้า
ชักจะเริ่มหายใจไม่ทันแล้วสิ ทั้งเปลวเพลิงและกรงเล็บที่ฟาดฟันเข้ามาไม่หยุดจนสุดท้ายเธอก็โดนต้อนให้จนมุมจนได้
จังหวะนี้แหละ “ลงดาบรูปแบบที่หนึ่ง...” หลังจากที่เห็นช่องว่างระหว่างกรงเล็บทั้งสองและเส้นเปลวเพลิงเธอก็ได้ตั้งท่าเตรียมทันที
“[เส้นทางเปล่าเปลี่ยว]” คมดาบที่พุ่งทะลวงเป็นเส้นตรงพุ่งไปที่คอของมังกรแต่สิ่งที่คิดกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะปีกทั้งสองข้างขยับมาช่วยป้องกันคอได้ทันท่วงที
ไม่คิดว่ามันจะตอบสนองได้ไวขนาดนี้ นอกจากที่ต้องระวังมันพ่นไฟกับกรงเล็บก็ยังมีปีกขนาดใหญ่นั่นอีก อย่างน้อยมันก็ไม่ได้แข็งจนฟันไม่เข้าแต่เพราะพลังงานที่มีจำกัดจึงต้องหาจังหวะที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้น
ระหว่างที่ฟรานกำลังดิ้นรนสู้สุดชีวิตเหล่าผู้ท้าชิงคนอื่นก็กำลังหาทางออกจากห้องขังเช่นกัน
“พวกเราก็หาศพที่มีแผลตรงกับรอยเลือดมาแล้วนะ...ทำไมถึงยังไม่เห็นมีอะไรเลย” กังขมวดคิ้วปวดหัวกับปริศนาแปลก ๆ เหล่านี้
“ยังไม่ครบ เหลืออีกหนึ่งห้องที่หาศพที่ตรงกับรอยเลือดไม่ได้เลย” เจ้าสำนักดาบเทพยืนจ้องมองรอยเลือดพลางมองไปยังศพรอบ ๆ
“หรือเราจะเข้าใจเงื่อนไขผิด?” โยฮันเดาะลิ้นหงุดหงิดกับความยุ่งยากที่หาคำตอบไม่ได้
“แล้วถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะเป็นวิธีไหนเล่า?” มิโกะเองก็ขมวดคิ้วสงสัยและพอใช้ความคิดหนักมากทำให้เธอหน้ามืดเสียได้
โยฮันหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นมิโกะเป็นเช่นนั้น “ดูสิ คนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละ”
เธอถอนหายใจมองค้อนใส่แต่ไม่พูดตอบโต้อะไร
ช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบกำลังกัดกินความรู้สึกจนเริ่มเครียด พวกเขาใช้หัวคิดกันแทบตายสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะออกจากที่นี่ได้
“หรือเราต้องรอให้การท้าชิงจบลงก่อนถึงจะออกไปจากที่นี่ได้” โยฮันกล่าว
"ก็อาจจะ..." เจ้าสำนักดาบเทพเหมือนจะเห็นด้วย หลังจากใช้หัวคิดมานานเขาก็เริ่มปล่อยวางและนั่งลงทั้งอย่างนั้น
ภายใต้ความกดดันจากที่แคบ ๆ ที่มีศพเกลื่อนกลาดทำให้ทุกคนเริ่มเลิกคิดและปล่อยใจให้สบายผ่อนคลายอารมณ์
“นั่นนายจะทำอะไร?” สเตล่าเห็นซึฮากิเดินเข้าไปในห้องขังลูบคลำรอยเลือดเหล่านั้นอยู่พักหนึ่ง
“ทำสิ่งที่พอจะนึกได้” ซึฮากิใช้มีดแทงท้องตัวเองโดยเลี่ยงจุดสำคัญไว้จากนั้นเขาก็นอนลงให้รอยเลือดทั้งสองทับกันพอดี และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะประตูห้องขังพับปิดทันทีทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถขยับมันได้เลยสักนิดเดียว
“เจ้าทำอะไรลงไป?” มิโกะตกใจตาโตมองเข้าไปในห้องขัง
“จำลองภาพ...ถ้าศพใช้ไม่ได้ผลก็เลยลองใช้คนตัวเป็น ๆ ดูและมันก็ได้ผล”
“ให้พวกเราทำแบบนั้นเนี่ยนะ? นายนี่มันบ้าบิ่นจริง ๆ” โยฮันเดินวนไปรอบ ๆ มองดูรอยเลือดเผื่อจะทำตามบ้างแต่พอซึฮากิลุกจากที่นอนประตูห้องขังก็เปิดออกทันที
“ดูเหมือนวิธีนี้จะถูกต้องแล้วแต่ยังไงเราก็มีแค่เจ็ดคนเอง” มิโกะเองก็เดินเข้าไปในห้องขังและใช้กรงเล็บแทงขาตัวเองเพื่อลอกเลียนแบบรอยเลือด
“สเตล่าเธอมาห้องนี้” ซึฮากิเดินออกมาหน้าตาเฉยทั้ง ๆ ที่ท้องมีแผลแบบนั้น
“แล้วนายจะไปไหน?” สเตล่าไม่ยอมเดินเข้าห้องแต่ถามกลับแทน
“ทั้งแปดห้องจะมีแผลไม่เหมือนกันและมีแค่ห้องเดียวที่มีแผลถึงตาย” ซึฮากิใช้ร่างโคลนแทนตัวเองเพื่อลอกเลียนแบบการตัดคอและเอาไปนอนทับรอยเลือดแต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนเดิม
“หรือเพราะเสียชีวิตแล้วจึงไม่นับ...” ซึฮากิเดินไปที่ห้องถัดไปซึ่งเป็นรอยเลือดจากการโดนตัดแขน เขาใช้ร่างโคลนทำแทนแต่ก็ไม่ได้ผลอีกเหมือนเดิม
“เฮ้ย ๆ อย่าบอกนะว่าต้องมีคนที่ตัดแขนหนึ่งคน ใครมันจะอยากทำวะ?” โยฮันยิ้มอย่างมีเลศนัยเหมือนหวังอะไรบางอย่างอยู่
พวกเขามองหน้ากันและกันพลางคิดว่าใครจะต้องเป็นคนทำแบบนั้น ต่อให้พวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่เมื่อร่างกายไม่สมบูรณ์ก็อาจจะโดนศัตรูกวาดล้างก็ได้ สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าใครสักคนจะเป็นผู้เสียสละเหลือบมองใครก็ได้ที่ไม่ใช่ตนเอง
“เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่ามันเป็นวิธีที่ถูกต้อง?” มิโกะเดินมาจ้องหน้าซึฮากิก่อนจะเอ่ยถาม
“ผมเองก็ไม่มั่นใจแต่ดูจากปฏิกิริยาก่อนหน้านี้แสดงว่ามันก็ได้ผลจริง ๆ แล้วถ้าเลือกไม่ได้ว่าใครจะเป็นคนตัดแขนงั้นมาสุ่มกันไหมครับ?”
“สุ่มเนี่ยนะ แล้วเราจะสุ่มอย่างไร?” โยฮันถาม
“เรามีวิธีง่าย ๆ อย่างโอน้อยออกแต่สำหรับพวกคุณคงมองการขยับมือได้ทันแน่ ๆ เพราะฉะนั้นเราจะใช้เหรียญคนละหนึ่งเหรียญดีดขึ้นสูงเหนือหัวแล้วปล่อยให้มันลงพื้นทั้งอย่างนั้นเลย”
“โอ้ ! ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ก็น่าตื่นเต้นดีนะ” กังคว้าหาเหรียญในกระเป๋าแต่ดันไม่ได้พกมาด้วยแต่ก็ได้เหรียญจากซึฮากิแทน
“แต่ก่อนที่จะเริ่มผมขอยื่นข้อเสนออะไรสักหน่อยก็แล้วกัน”
แววตาสงสัยจ้องตาไม่กะพริบรอว่าซึฮากิจะพูดอะไรออกมา
“ผมจะเป็นคนโดนตัดแขนแทนคนที่โชคร้ายหากยอมรับข้อเสนอของผม”
“กิ...” ซึฮากิยกมือเป็นสัญญาณให้สเตล่ารู้ว่าตนเองไม่เป็นอะไร
“พูดมา” มิโกะมองด้วยแววตาอันนุ่มนวลและกล่าวอย่างสุภาพไม่เหมือนก่อนหน้านี้
“ผมอยากได้สิทธิ์การค้าขายในอาณาจักรคา”
“หา? ทำไมถึงขออะไรแบบนั้นเล่า แถมเรื่องค้าขายเจ้าก็สามารถทำได้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าอนุญาต”
“สิทธิ์เลี่ยงภาษี? ไม่ว่าผมจะไปขายของที่ไหนก็จะได้รับการงดเว้นภาษีซึ่งเทียบกับการเสียแขนที่เป็นของสำคัญก็คงไม่เป็นปัญหาหรอกนะครับ”
พวกเขาใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจนตกผลึกคำตอบได้เสียที
“ข้ายอมรับข้อเสนอนั้นและจะทำเรื่องให้...แต่ก็ทำได้แค่อาณาเขตของข้าเท่านั้น”
“แค่นั้นก็ดีแล้วครับ แล้วคนอื่น ๆ อยากยอมรับข้อเสนอนี้ไหม?” ซึฮากิกวาดสายตามองหน้าคนอื่น ๆ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะโดนตัดแขนแต่กลับเหมือนอาจารย์ในโรงเรียนหาอาสาไปช่วยยกของเฉย ๆ
“ข้าไม่เอาดีกว่า ข้าพร้อมรับความเสี่ยงและถ้าต้องโดนตัดแขนข้าก็จะเป็นนักสู้แขนเดียวที่แข็งแกร่งที่สุด” กังฉีกยิ้มกว้างเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“เห็นศิษย์พี่กังมุ่งมั่นแบบนั้นข้าก็คงน้อยหน้าไม่ได้” ชุนกระตุกยิ้มมุมปากชกหมัดผสานกับกัง
โยฮันยิ้มระรื่นสบตากับซึฮากิอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ “ฉันเอาด้วย แต่อาณาเขตของฉันค่อนข้างใหญ่นะ...แล้วนายอยากได้ส่วนไหนบ้างล่ะ?”
อาณาเขตของสำนักมนต์ดำใหญ่ที่สุดในอาณาจักรคาเพราะใช้กำลังไล่ยึดสำนักเล็ก ๆ ไปหมด พื้นที่ทางตะวันออกแทบจะทั้งหมดเป็นของเขาซึ่งมีส่วนที่ติดกับทะเลด้วย
“มันจะแปลกไหมถ้าผมขอเป็นเขตที่ติดกับทะเลทั้งหมด”
“ทะเลเหรอ? เอาสิฉันจะทำเรื่องให้ก็แล้วกัน”
ซึฮากิมองไปหาเจ้าสำนักดาบเทพที่ยังไม่ได้ให้คำตอบ
“ข้าเอาด้วย ถึงอาณาเขตของสำนักดาบเทพจะไม่ใหญ่แต่ข้าก็จะทำเรื่องงดเว้นภาษีให้”
เมื่อทุกคนตกลงกันเสร็จสรรพจึงเริ่มโยนเหรียญทันที ถ้าออกด้านไหนน้อยกว่าคนที่ออกด้านนั้นก็จะตัดออกไปแล้วให้คนที่เหลือทำต่อไปเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงแค่สองคน
“โชคดีจริง ๆ ที่ข้ายอมทำสัญญาไว้” มิโกะจ้องมองซึฮากิที่กำลังจะดีดเหรียญทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่าใครต้องเป็นคนรับกรรมนั้นไป
ไม่ว่าจะเหรียญจะออกหน้าไหนซึฮากิก็จะเป็นคนโดนตัดแขนอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงสร้างร่างโคลนรอไว้ข้าง ๆ เพราะไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำ
“นายจะทำจริง ๆ เหรอ?” สเตล่าสบตากับซึฮากิพลางคิดว่าเขายอมทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่
“ไม่ต้องห่วงหรอก” ซึฮากิฉีกเสื้อเพื่อเอามามัดต้นแขนและยืดแขนออกไปตรง ๆ
ร่างโคลนของซึฮากิใช้คมมีดมานาฟันลงตรง ๆ ตัดขาดในทันทีโดยที่ซึฮากิได้แต่กัดฟันอดทนไว้แถมยังไม่ร้องออกมาสักคำ
“รีบเข้าห้องกันได้แล้ว” ซึฮากิและร่างโคลนช่วยกันห้ามเลือดและเก็บแขนไปด้วย
ผู้ท้าชิงทั้งเจ็ดคนสร้างบาดแผลให้ตรงกับรอยเลือดจากนั้นจึงนอนทับทำให้ประตูห้องขังปิด เมื่อประตูทั้งหมดปิดก็ทำให้เสาสีขาวที่ใช้เคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมาที่ห้องสุดท้ายที่ไม่มีคนอยู่
“ผมจะลองลุกขึ้นนะครับ” ซึฮากิลุกขึ้นยืนแต่ประตูกลับปิดสนิทเหมือนเดิม
“แล้วไงต่อล่ะ? เรียกเจ้าเสาสีขาวมาได้แล้วแต่พวกเรากลับมาติดอยู่ในนี้แทน” โยฮันนั่งจ้องแขนของซึฮากิที่มีเลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลา
พวกเขาช่วยกันมองหาเบาะแสใหม่อีกครั้งแต่ทุกอย่างก็เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิดจึงทำได้แค่นั่งรอคอยความหวังและสวดภาวนาต่อองค์เทพ
“แล้วเราต้องทำอย่างไรต่อ?” มิโกะนั่งคอตกคิดจนหัวแทบจะระเบิดในขณะที่ซึฮากิกวาดสายตามองหาเบาะแสไม่หยุด
ขณะเดียวกันพวกเจ้าสำนักเฉิงก็ได้ร่วมมือกับทุก ๆ สำนักจัดการมอนสเตอร์ได้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเพราะหลังจากจัดการระลอกนั้นได้สำเร็จอีกไม่นานเกินรอก็จะมีระลอกใหม่มาเพิ่มเรื่อย ๆ
“เราต้องทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไร?” เหล่าเจ้าสำนักได้มานั่งประชุมหารือปล่อยให้คนอื่นรับมือไปก่อน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เฟยเฟิ่งเดาะลิ้นคิดหนัก
ขณะที่พวกเขากำลังประชุมกันอยู่ จู่ ๆ ยูกิก็เดินแทรกเข้ามาหน้าตาเฉย
“สหายของคุณซึฮากินี่ เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?” เฉิงกล่าวทักก่อนใครทำให้คนอื่น ๆ รู้ว่าเป็นคนรู้จักจึงไม่ได้ว่าอะไร
“ด้านหลังของพวกมอนสเตอร์มีแสงอะไรแปลก ๆ ด้วย ที่นั่นอาจจะเป็นทางออกก็ได้” ยูกิพูดจบก็เดินจากไปปล่อยให้พวกเจ้าสำนักสงสัยกันต่อ
“ช่วยบอกได้ไหมว่ามันอยู่ตรงไหน?” เฉิงรีบถามก่อนที่ยูกิจะหายไปจากสายตา
“ไม่รู้สิ ทุกครั้งที่มอนสเตอร์ระลอกใหม่โผล่มามันก็จะเปลี่ยนตำแหน่งทุกครั้ง ถ้าให้ดีก็รีบตามหามันก่อนที่จะกำจัดพวกมอนสเตอร์ซะ”
“แล้วเจ้าไปรู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไร?”
“เหอะ ไม่บอกหรอก” น้ำเสียงท่าทางกวนประสาททำให้เจ้าสำนักหลายคนหัวเสียไปตาม ๆ กัน
“ขะ...ขอบคุณที่บอกข้อมูล พวกข้าจะพยายามช่วยผู้คนให้ได้” เฉิงมองเห็นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ได้มุ่งร้ายใส่ใครทั้งสิ้นเหมือนเป็นแค่คนที่ต้องการใช้ชีวิตในแบบของตนเองเท่านั้น
“พวกเราจะแบ่งเขตการสำรวจกัน”
“นี่ท่านเฉิงเชื่อที่เจ้าเด็กนั่นบอกหรือขอรับ?” เจ้าสำนักคนหนึ่งถาม
“ข้าคิดว่าสหายของอาจารย์ซึฮากิจะไม่โกหก” พวกเขาจัดแจงพื้นที่ต้องแยกไปสำรวจต่อ
“ทำไมท่านเฉิงถึงเชื่อใจอาจารย์ซึฮากิคนนั้นนักเล่า? เขาเป็นแค่คนต่างถิ่นมิใช่หรือ?”
“ไม่ใช่แค่คนต่างถิ่น...เขาคืออาจารย์ผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทานต่างหาก”
“โห่...วิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน ฟังดูแข็งแกร่งจริง ๆ ขอรับ”
เมื่อเสาสีขาวปรากฏอีกครั้งพวกเขาก็วิ่งฝ่าฝูงมอนสเตอร์ไปคนละทิศคนละทางเพื่อตามหาแสงสีขาวแปลก ๆ ที่ยูกิบอก
“อะไร? มองหน้าแบบนั้นคงคิดว่าข้ากลัวสินะ” ยูกิยืนคุยกับเจ้าแฟรงค์ ถ้ามันไม่ได้เกาะที่ไหล่ก็คงโดนคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมอนสเตอร์แน่ ๆ เพราะขนาดตัวและกรงเล็บของมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
เจ้าแฟรงค์ส่งเสียงร้องตอบรับว่าใช่คิดแบบนั้นนั่นแหละ
“เหอะ ๆ ก็ใช่ ข้าก็แค่พ่อครัวจะเอาอะไรไปสู้กับฝูงมอนสเตอร์ ให้พวกเขาจัดการกันเองนั่นแหละ”
เจ้าแฟรงค์เอาแต่จิกหัวไม่หยุดจนยูกิรำคาญร้องโหวกเหวกโวยวาย
“ข้าทำอะไรผิดวะ !” จู่ ๆ เจ้าแฟรงค์ก็บินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าและฉายภาพที่มีผู้เสียชีวิตให้ดูอย่างกับจะบอกว่ายูกิมีส่วนทำให้พวกเขาต้องตาย
คิดว่าข้าอยากเห็นคนตายมากหรือยังไง ถึงจะเริ่มฝึกใช้เวทมนตร์แบบที่กิสอนแล้วก็เถอะแต่ก็ยังไม่ได้เรื่องเลย
“เฮ้ย ! ขวางทางจริง ๆ เด็กไปอยู่ทางโน้นไป” ขณะที่กำลังเหม่อคิดถึงอดีตเขาก็โดนอมนุษย์เผ่ายักษ์คนเดิมชนล้มอีกแล้ว
จู่ ๆ พื้นก็สั่นสะเทือนทำให้ผู้คนแตกตื่นหนีจากพื้นที่กำลังเกยขึ้นมา ไม่นานนักก็มีมอนสเตอร์งูเลื้อยขึ้นมาพร้อมแผ่แม่เบี้ยขู่รู้สึกได้ถึงความน่าสยดสยอง
“ถอยไปให้ห่างเร็ว !” เหล่านักผจญภัยและผู้มีวิชาช่วยกันป้องกันพิษที่กระจายออกมาจากตัวแต่เมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหวก็ทำให้โล่มานาแตกสลายในทันที
เมื่อมันชูคอแผ่แม่เบี้ยมันก็จะพ่นฝนพิษออกมาด้วยซึ่งกินรัศมีไกลถึงห้าสิบเมตรทำให้พวกเขาป้องกันตัวไม่ทัน
ก็ได้ ๆ ถ้าไม่ทำอะไรก็คงตายเหมือนกันนั่นแหละ ยูกิสร้างโล่มานาช่วยคนที่อยู่ใกล้ ๆ ไว้และเมื่อฝนพิษหมดเขาก็วิ่งฝ่าฝูงชนไปตามทิศทางที่ดวงตาเจ้าแฟรงค์เห็น
แสงแปลก ๆ นั่นต้องมีอะไรแน่ ๆ
เมื่อผ่านฝูงชนไปได้ก็ไปถึงแนวหน้าของการสู้รบซึ่งเต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่สาดใส่มอนสเตอร์ที่พยายามทะลวงเข้ามาไม่หยุด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะผ่านตรงนี้ไปได้ยังไงจนกระทั่งเจ้าแฟรงค์บินลงมาโฉบตัวยูกิขึ้นไปเกือบทำหัวใจวาย
"นี่แกไม่กลัวพวกนั้นเลยเหรอ? ถ้าเกิดโดนเข้าใจผิดแล้วโดนสอยร่วงจะทำยังไง" พอยูกิพูดจบเจ้าแฟรงค์ก็ส่งเสียงตอบรับเหมือนบอกว่ารู้แล้วน่า
ไม่นานเกินรอพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่แสงประหลาดส่องสว่าง พอได้เห็นใกล้ ๆ จึงรู้ว่ามันคือเสาสีขาวเหมือนกับที่ใช้เคลื่อนย้ายมอนสเตอร์มาที่นี่
“แกคิดว่ามันคือปุ่มปิดเหรอ?”
เจ้าแฟรงค์ส่งเสียงตอบรับบอกว่าน่าจะใช่
“เอามือสอดเข้าไปดีไหม?”
เจ้าแฟรงค์ส่ายหัวกลัวจะเป็นอันตรายแต่ไม่ทันไรยูกิก็ยื่นมือไปแตะเสาสีขาวเสียแล้ว
“ไม่เห็นเป็นอะไร...” พูดไม่ทันขาดคำพวกเขาก็โดนเสาสีขาวปกคลุมและเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากที่พวกเฉิงกำจัดมอนสเตอร์จนหมดก็ไม่มีมาเพิ่มอีกแล้วแต่ยูกิและเจ้าแฟรงค์กลับหายตัวไปด้วย
“โผล่มาที่ไหนอีกเนี่ย?” ยูกิเดินคลำทางที่เต็มไปด้วยแสงสว่างจ้าจนมองอะไรไม่เห็นและในที่สุดเขาก็หลุดพ้นออกมาจนได้
เหล่าผู้ท้าชิงขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
“พวกนายอยู่ที่นี่เองเหรอ ! แล้วข้าอยู่ที่ไหนเนี่ย !” ยูกิตกใจตาโตเช่นเดียวกับเจ้าแฟรงค์ที่เห็นเจ้านายตนเองบาดเจ็บหนัก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 187
แสดงความคิดเห็น