บทที่ 10...2/3
ใช้เวลาเดินทางอีกเกือบชั่วโมง เราทั้งหมดก็มาถึงที่ดินซึ่งเคยว่างเปล่า ทว่าหลังจากผ่านเกือบสองเดือน ตัวโครงสร้างของอาคารเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง คานและเสาในชั้นล่างหล่อหมดแล้ว ตอนนี้กำลังทำคานชั้นสอง ส่วนพื้นสำเร็จปูทับด้วยปูนไปก่อน คนงานกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หัวหน้าคนงานเดินมาหาพันธินเพื่อคุยงานกัน เธอจึงออกมาเดินเล่นแทน ตอนนี้เขาคงปลอดภัยเมื่อมีปริญคอยเป็นโล่กระสุนให้
อรอินทุ์เดินที่ชายหาด แล้วพอเหนื่อยก็นั่งพักหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปวิวไปเรื่อย เสียงคลื่น ลมแผ่วๆ ทำให้เย็น ชักง่วง หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินกลับมาใกล้ๆ รถ แล้วนั่งรอ พันธินยังคุยงานอยู่ เธอเดาว่าหน้าที่ของปริญนอกจากเป็นบอดี้การ์ดแล้วคงไม่พ้นเป็นสปายส่วนตัวของคุณเธียรแน่ๆ พันแสงเคยบอกเธอว่าคุณเธียรรู้ทุกเรื่องได้เพราะมีสายคอยบอก การเป็นทายาทของตระกูลมั่งคั่งไม่ได้มีแต่ความสุขเลยสินะ
“กลับกันเถอะ หรือเธออยากจะนั่งเล่นสักพัก”
พันธินเอ่ยจากด้านหลัง เขาเห็นอรอินทุ์สะดุ้งก่อนหันหน้ามามอง เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ แถมยังเป็นเรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้น ขนาดเขายังอึดอัด ทั้งที่เป็นอย่างนี้มาตลอด แล้วเธอจะชอบเข้าไปได้ยังไง
“กลับดีกว่าค่ะ นี่มันก็เกือบ 6 โมงแล้ว เดี๋ยวถึงบ้านดึก ขับรถลำบาก เอากุญแจรถมาสิคะ เดี๋ยวฉันขับให้”
“เธอไปนั่งสบายๆ เถอะ ฉันจะขับเอง”
อรอินทุ์ไม่ยอมยังแบมือรอ พันธินเลยใจอ่อนยอมส่งกุญแจรถให้ แล้วเดินไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ รถเคลื่อนออกจากไซด์ก่อสร้าง มุ่งหน้ากลับบ้าน ตอนมาต้นไม้สองข้างทางดูสวยเหมือนกำลังเข้าสู่เมืองลึกลับ แต่ตอนกลับพอใกล้มืดแล้วนี่ดูวังเวงพิกล
รถยังแล่นต่อไปเรื่อยๆ อรอินทุ์อุ่นใจเมื่อรถที่ปริญขับมายังตามอยู่ พันธินรู้ดีอรอินทุ์คงกังวลเพราะเรื่องที่เขาเล่า แต่ถ้าบอกไปว่าเขาไม่เคยไปไหนโดยปราศจากอาวุธ เธอคงยิ่งกังวลหนักกว่าเดิม
เรียวคิ้วเข้มขมวดเมื่อเห็นรถกระบะคันหนึ่งขับตามรถที่ปริญนั่ง แล้วพอถึงช่วงชะลอความเร็ว รถคันนั้นก็เร่งความเร็วมาคั่นกลางระหว่างรถสองคันไว้ พอปลอดรถอีกฝั่ง รถคนเดิมกระหน่ำเร่งเครื่องมาตีคู่รถของเขา เหมือนจะแซงแต่กลับไม่ไปไหน ฉับพลันนั้นกระจกรถก็เลื่อนลงพร้อมกับปลายกระบอกปืนได้ยื่นออกมา
“อร...ระวัง!”
“ปัง ปัง ปัง!?!”
กระจกกันกระสุนยังทำหน้าที่ของมันได้ดี อรอินทุ์ก้มหัวลงพลางกระทืบคันเร่งกระชากรถหนี แต่มันกลับเร่งเครื่องกะดักหน้า หญิงสาวกระทืบเบรกแล้วแว้งออกไปอีกเลนที่มองแล้วว่าไม่มีรถสวนทางมา ทว่ารถกลับวิ่งหน่วงๆ
“มันยิงยางรถค่ะ” หญิงสาวตะโกนลั่น พอหันไปก็เห็นในมือของพันธินมีปืนอยู่เช่นกัน
เขาลดกระจกลงแล้วใช้ปืนยิงสวนกลับไปยังรถกระบะคันนั้น มีรถสวนทางมา เธอจำเป็นต้องกลับมาเลนเดิมไม่งั้นจะชนประสานงา เลยกลายเป็นรถคนร้ายแล่นตามหลังมา เสียงปืนดังรัวหลายนัดจากปริญที่ช่วยยิงสกัดจากด้านหลัง แต่รถที่เธอขับกำลังจะไปไม่ไหวเมื่อกลิ่นเหม็นไหม้คลุ้ง พอรถชะลอความเร็ว คนร้ายก็ชะลอตาม รถของปริญแล่นมาขนาบแล้วเปิดศึกยิงใส่กัน
“เอาอย่างนี้พาพอจอดรถเธอรีบวิ่งหนี เดี๋ยวฉันกับปริญจะยิ่งสกัดพวกมันเอาไว้เอง” พันธินสั่ง
“ได้ยังไงล่ะคะ ถ้าจะหนีก็หนีด้วยกัน” อรอินทุ์พยายามบังคับรถ พอมองไปข้างหน้าก็แทบลมจับ ยังมีรถกระบะแล่นมาพร้อมห่ากระสุนอีกคัน
ก่อนที่รถจะแล่นต่อไปไม่ได้อีก อรอิรทุ์หักพวกมาลัยพารถลงข้างทางในวินาทีนั้น!
พันธินออกมาจากรถแล้วยิงสวนไปยังรถกระบะทั้งสองคันที่จอดแล้วเตรียมจะเข้ามาสาดกระสุนใส่พร้อมกับวิ่งมาเปิดประตูให้อรอินทุ์ ไม่อย่างนั้นเธอแย่แน่
“วิ่งให้เร็วที่สุด”
เขาจับมือพาเธอวิ่งออกมาจากรถตรงนั้น เสียงห่ากระสุนตามติดราวกับใครมาจุดประทัดพร้อมๆ กัน
หญิงสาววิ่งไม่คิดชีวิต สั่งตัวเองซ้ำๆ ว่าห้ามล้ม ห้ามปล่อยมือ ต้องมีสติ จากดึงกลายเป็นลาก จนสุดท้ายเขาต้องกอดเอวเธอไว้แล้วพาวิ่งต่อไป ตราบใดเสียงกระสุนยังไม่ซา ย่อมหมายความว่ายังไม่ปลอดภัย เธอหวังว่าจะไม่มีใครเป็นอะไร เสียงปืนดังใกล้เข้ามา พันธินวิ่งเร็วขึ้นจนเธอหายใจไม่ทัน เขาหยุดพักชั่ววินาทีแล้ววิ่งต่อ เสียงปืนที่ตามมาเงียบลง ทว่ากลับมีเสียงนกกลางคืนร้องกันระงม
“ทำไมมันไม่ตามมาแล้ว” เธอถามเขาเสียงหอบๆ พยายามหายใจเต็มที่
“อย่าเพิ่งวางใจ ต้องวิ่งต่อไป ถ้าปลอดภัยแล้ว ปริญจะตามหาเราสองคนเอง” เขาตอบและรออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้อรอินทุ์ได้พัก หูก็เงี่ยฟัง นั่นไงเขาได้ยินแล้ว “มันยังตามมา เราต้องไปต่อ”
ร่างเพรียวถูกดึงให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งอีกครั้ง โชคดีไม่น้อยที่เธอใส่รองเท้าผ้าใบมา ไม่อย่างนั้นคงเป็นตัวถ่วงของเขาแน่ๆ พันธินหยุดวิ่งแล้วนั่งราวกับรออะไรสักอย่าง
“มันมากันสองทาง อรวิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าฉันจะบอกให้หยุด”
เธอทำตามที่เขาสั่ง ไม่สนใจแล้วว่าทำไมเขาถึงรู้ คราวนี้ป่าที่วิ่งค่อนข้างรกทำให้ต้องวิ่งเรียงหนึ่งกันไป เธอวิ่งนำเขาวิ่งตามหลังคอยระวังให้ ทว่าความรกของป่าทำให้เท้าของเธอกระดุดเข้ากับรากไม้ที่โผล่พ้นดินจนล้มลง เจ็บทั้งข้อเท้าและมือที่ยื่นมายันพื้นไว้
“โอ๊ะ?!?”
พันธินนั่งลง เขามองไม่เห็นว่าเธอเจ็บตรงไหน ตอนนี้ชักช้าไม่ได้เสียด้วย พวกมันใกล้เข้ามา เขาชันเข่าหันหลังให้ก่อนจะสั่งเสียงรัวเร็ว ทว่าเบากริบ
“ขี่หลังฉัน เร็วๆ สิ ไม่งั้นเราอาจตายกันทั้งคู่”
อรอินทุ์ยื่นแขนมาคว้ากอดคอพันธินไว้อย่างรวดเร็ว พอเขาลุกขึ้นก็ยกแขนมาจับขาตรงข้อพับของร่างเพรียวเอาไว้ แล้ววิ่งฝ่าความมืดไป เธอมองไปข้างหลังเห็นแสงไฟถนนอยู่ลิบๆ นอกจากนั้นแล้วมีเพียงดวงจันทร์และแสงดาวที่เห็นว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ เสียงเงียบลงไปอีกแล้ว เขายังคงวิ่งต่อไป จนกระทั่งมาถึงที่แห่งหนึ่งเห็นลางๆ ว่าเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งเหลือเพียงครึ่งต้น เธอเดาว่ามันคงถูกฟ้าผ่ามาก่อน
“ซ่อนตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันจะออกไปดูว่าพวกมันไปกันหรือยัง” เสียงของพันธินเริ่มหอบแล้ว
“ไม่เอาค่ะ ถ้าซ่อนก็ซ่อนด้วยกัน ถ้าไปก็ไปด้วยกัน ไม่รู้หละ ฉันไม่ยอม” มือบางคว้ามือหนามากอดเอาไว้แน่น ถ้าการที่หนีตายมาด้วยกัน แล้วเขาออกไปตาย เธอจะอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
“เธอนี่ดื้อไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ ก็ได้ ถ้างั้นก็อยู่ตรงนี้ด้วยกัน ไหนยื่นขามาให้ฉันดูหน่อยสิ”
อรอินทุ์ยอมทำตามเพราะตอนนี้ปวดขาตุบๆ ถ้าเป็นตอนปกติคงเจ็บจนร้องไห้ แต่ตอนนี้ร้องไม่ออก ตอนหนียังไม่รู้สึกว่าเจ็บด้วยซ้ำ มือหนาคลำข้อเท้าเล็กพลางนวดเบาๆ
“บวม เจ็บมากหรือเปล่า”
“ฉันทนได้ค่ะ” เธอกัดฟันบอกพลางนวดข้อมือที่น่าจะซ้นของตัวเองไปด้วย
“ลองโทรหาคุณปริญดีไหมคะ ทำไมถึงเงียบไปแบบนี้ หวังว่าคงไม่...”
“ต่อให้บอดี้การ์ดก็ต้องรักชีวิตตัวเอง เดี๋ยวฉันจะโทรหาดู”
พันธินหยิบโทรศัพท์ออกมา อรอินทุ์รอฟังข่าว ตอนออกมาจากรถเธอไม่ได้หยิบอะไรมาเลย ไม่อย่างนั้นคงช่วยอะไรเขาได้บ้าง เขาวางสายแล้วโทรออกอีกครั้งคราวนี้พูดกันอยู่หลายคำก่อนวาง เธอจับใจความได้ว่า...ตำรวจกำลังมา
“ติดต่อปริญไม่ได้ เราคงต้องรอก่อนจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยจริงๆ ไม่ต้องห่วงฉันโทรหาผู้ใหญ่ที่เป็นตำรวจแล้ว อีกไม่นานตำรวจจะมาช่วยเรา” พันธินบอกให้อรอินทุ์สบายใจ “ขอโทษที่เกิดเรื่อง เธอกลัวหรือเปล่า”
“ไม่กลัวค่ะ” เธอยิ้มแหยหัวเราะเหมือนปลอบใจตัวเอง “ฉันโกหกค่ะ ที่จริงกลัวจนมือไม้หมดแรงแล้วต่างหาก”
คนไม่กลัวจริงๆ เลยยิ้มได้ พลางยื่นมือไปลูบไหล่บางเบาๆ เขามันคนพูดปลอบใจใครไม่เป็น อย่างน้อยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะไม่ทิ้งเธอ ไม่ทำให้เธอกลัวฝังใจเหมือนเรื่องที่จมน้ำ ไม่ทำให้รู้สึกผิดที่รอดตายมาคนเดียวอย่างที่เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลา
“อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา แป๊บเดียว ถ้าอันตรายฉันจะไม่เสี่ยง”
อรอินทุ์จะห้ามก็ไม่ทัน พันธินไปแล้ว แถมยังทิ้งปืนไว้ให้ดูต่างหน้า ถึงเธอจะยิงปืนได้ แต่จะมันไร้ความหมายหากว่าคนที่อยู่ในอันตรายไม่อยู่ให้ปกป้อง ครั้นเธอจะขยับลุกเดินตามไปก็เจ็บจนสูดปาก
หญิงสาวชะเง้อรออย่างใจระทึกกลัวพันธินเป็นอันตรายอยู่หลายนาที และลุ้นไม่ให้เกิดเสียงปืน คนที่ทำให้ห่วงก็วิ่งเร็วๆ กลับมา เธอถอนใจโล่งอก ถ้าเขามาช้าอีกนิดเดียวเธอคงเป็นบ้าอยู่ตรงนี้
“พวกมันคงไปหมดแล้วจริงๆ ฉันได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจ เธอเดินไหวไหม หรือไม่ขี่หลังฉันเหมือนเดิมก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไหว” เธอกัดฟันลุกขึ้นพร้อมกับส่งปืนคืนให้เขา
แขนของพันธินยื่นมาโอบเอวบางไว้ นาทีนี้นอกจากไม่โวยวายแล้วเธอยังซึ้งใจเขาด้วยซ้ำ เราเดินกันช้าๆ ไปอีกทางเผื่อว่าคนร้ายจะยังตามมาทางเดิม บ่อยครั้งที่เขาหันหน้ามาถามว่าไหวไหม เหนื่อยหรือเปล่า ท่ามกลางความมืดที่เห็นสีหน้าเพียงรางๆ แต่เธอเห็นชัดในสมองว่าพันธินเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้และทำให้อบอุ่นใจหากมีเขาอยู่ด้วยข้างๆ
ควั่บ!?!
“คุณธิน!” เธอเรียกชื่อเขาเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบจนน้ำตาปริ่ม อยากร้องแต่ก็กลัวคนร้ายจะได้ยิน
“เป็นอะไรอร หรือว่าโดนยิง” พันธินมองไปรอบตัวพร้อมส่องปืนเตรียมยิง ทว่าร่างของอรอินทุ์กลับอ่อนพับ ถ้าเขาไม่ได้กอดเอวไว้คงทรุดกองกับพื้น
พระเอกและนางเอกของโบว์ทุกคนต้องถึกและอดทนค่ะ วิ่งหนีกระสุนปืนแทบทุกเรื่อง สีสันชีวิตค่ะ ^_^
แจ้งข่าวนะคะ
1 จันทร์ซ่อนใจ ได้วางจำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะ (20/11/2023) ในหมวด นิยายรัก เว็บ/แอพพลิเคชั่น MEB ค่ะ
ลิงค์ค่ะ
2 โบว์ทำโปรโมชั่นเรื่อง จันทร์ซ่อนใจ จากราคาปกติ 249 ลงเหลือ 149 บาทเป็นเวลา 17 วัน สามารถพาอรอินทุ์กับพระเอกของเธอมาไว้ที่ชั้นหนังสือในราคาน่ารักได้แล้วนะคะ
3 โบว์จะลงจันทร์ซ่อนใจให้อ่านถึงบทที่ 14 แล้วหยุดการลงนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาด้วยกันค่ะ
จันทร์ซ่อนใจเป็นนิยายที่จะคุณรู้ว่าการรอคอยและไม่หมดหวัง
สักวันคุณจะสมหวัง...
และร่วมกันหาฆาตกรตัวจริงด้วยกัน หวังว่าจะชอบนะคะ
- อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 143
แสดงความคิดเห็น