บทที่ 7...1/2
หลังจากใช้เวลาคิดอย่างรอบคอบมาหลายวัน อรอินทุ์ก็ตัดสินใจได้ในที่สุด การย่ำอยู่กับที่เท่ากับเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้นหากเธอต้องการเอาคืนสมพงศ์กับเบญญาจึงมีหนทางเดียวเท่านั้น สร้างสรรค์งานให้เหนือกว่าบริษัท Leoness ให้ได้ การที่จะทำแบบนั้นได้และเร็วที่สุดต้องมีบริษัทและมีสมองเป็นของตัวเอง หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของพ่อ อิชย์วางมือจากงานแล้วหันมาสนใจลูกสาว เพียงเห็นสีหน้าก็เดาได้ไม่ยากว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไร
“พ่อคะ อรตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง”
อิชย์ยิ้มกว้าง ไม่รู้หรอกว่าการเปิดบริษัทจะกำไรหรือว่าขาดทุน ที่เขารู้มีเพียงคนที่รู้จักตัวเองว่าต้องการทำอะไรและใช้สมองอย่างคุ้มค่าย่อมได้เปรียบคนอื่นเสมอ
“ได้สิ ต้องการงบเท่าไหร่บอกป๋ามาได้เลย”
อรอินทุ์หัวเราะแล้วกอดเอว ‘ป๋า’ ไว้ ก่อนจะหอมแก้มสปอนเซอร์รายใหญ่ไปหลายฟอด น่ารักไหมล่ะพ่อของเธอ ไม่ถามสักคำว่าต้องทำอะไรบ้าง กำไรหรือขาดทุน
“ขอบคุณนะคะที่สนับสนุนอรในทุกเรื่อง แต่ถ้าจะให้ดีช่วยหาลูกค้าให้ลูกสาวตกยากบ้างนะคะ จะได้คืนเงินพ่อไวๆ”
“พ่อให้เพราะรักลูก เป็นการให้โอกาส ไม่ต้องคืนหรอก” อิชย์หัวเราะชอบใจ ลูกสาวคงลืมไปว่าถ้าเขาตายทุกอย่างก็ต้องให้ลูกอยู่ดี “เอ ถ้าฝีมือเจ๋งจริงๆ พ่ออยากนำเสนองานนึง แต่พ่อใช้เส้นช่วยไม่ได้หรอกนะ”
“งานของบริษัทอะไรหรือคะ”
“เอ็มไพร์ กรุ๊ป” ทุกๆ หกเดือน เอ็มไพร์ กรุ๊ป จะมีการจ้างบริษัทโฆษณาให้ทำโฆษณาออกมาในแต่ละแคมเปญที่อยากนำเสนอ หากได้ทำก็เหมือนเป็นใบเปิดทางในงานสายโฆษณาได้ไม่ยาก
โลกกลมแท้ๆ อรอินทุ์จำได้ แม้ไม่ได้อยู่ในรุ่นบุกเบิกของบริษัท Leoness ของสมพงศ์ แต่ก็พอรู้ว่าเพราะการได้ทำโฆษณาของเอ็มไพร์ กรุ๊ป ทำให้บริษัทเล็กๆ กลายเป็นที่รู้จักมาจนถึงตอนนี้
“ก่อนไปถึงตอนนั้น อรคงต้องหาเพื่อนร่วมงานก่อนนะคะ เฮ้อ เริ่มต้นก็ปาดเหงื่อแล้ว”
“อรทำได้แน่นอน พ่อมั่นใจ” อิชย์กอดลูกสาวแน่นๆ ก่อนจะปล่อยแล้วยกนิ้วโป้งให้
อรอินทุ์ถอนใจยาวเรียกพลังให้ตัวเองเต็มที่ เธอทำงานคนเดียวไม่ได้ แต่มีเพื่อนที่ทำงานสายอาชีพเดียวกันซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่มหา’ลัย เธอถนัดคิด ธนิดาถนัดวาด ส่วนพิพัฒถนัดกำกับ สองคนนั้นคงมีคนในสายอาชีพเดียวกันมาแนะนำให้เธอบ้างละน่า
ปฏิบัติการหาคนเริ่มขึ้นในสายของวันเสาร์ อรอินทุ์มาถึงร้านอาหารใกล้บ้านก่อนเพื่อน ตามมาด้วยธนิดา ในขณะที่พิพัฒมาช้าตามเคย รายนี้ทำงานดึก ตื่นสาย เมื่อมาพร้อมกันหมดแล้ว ธนิดาก็เล่าเรื่องที่เพื่อนถูกกระทำให้พิพัฒฟัง ขืนหมอนี่ไปรู้จากคนอื่นได้โวยวายเหมือนกับที่เธอโวยวายใส่อรอินทุ์นั่นแหละ ชายหนุ่มเพียงคนเดียวนั่งฟังจนจบก่อนจะโทรหาเพื่อนในวงการกำกับโฆษณา ส่วนธนิดานั้นเล่าเรื่องจริงๆ ให้เพื่อนที่ทำงานฟังไปหลายวันก่อนแล้ว
อรอินทุ์ซึ้งใจ แม้ว่าวิธีนี้อาจไม่ได้ช่วยให้ภาพพจน์ของเธอดีขึ้นเท่าไหร่นัก เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ทำงานบริษัทโฆษณาที่มีชื่อเสียงติดอันดับ ส่วนเพื่อนๆ ทำงานในบริษัทเล็กๆ แต่ดูมีความสุขมากกว่าเธอเสียอีก
“ไปดักตบยัยเบญดีไหม” ธนิดาชวนยังไม่หายโมโหแทนเพื่อน
“ไม่เอาล่ะ ฉันจะตบหน้าคนพวกนั้นด้วยสมองและมือทั้งสองข้าง”
“หมายความว่ายังไงน่ะอร” พิพัฒถาม
“อรจะเปิดบริษัทโฆษณา แล้วที่นัดเธอสองคนมาก็เพราะอยากให้ช่วยหาลูกน้องฝีมือดีๆ ที่ไม่กลัวเจ๊งกับฉันน่ะ หาให้ฉันได้ไหม”
ธนิดาทำหน้าคิดก่อนจะหยิบปากกากับกระดาษออกมาเขียนดูเหมือนกำลังทำข้อสอบ พิพัฒยื่นหน้าไปดูก่อนจะหัวเราะ เขากับธนิดาเคยคุยกันเล่นๆ ว่าจะลงขันเปิดบริษัทด้วยกัน การสร้างงานด้วยความคิดสร้างสรรค์ แต่กลับถูกลูกชายของเจ้านายลงชื่อเป็นผู้คิดในตอนท้ายทำให้เธอสุดทนเหมือนกัน
“เงินเดือนสัก xxxxx ได้ไหม ฉันต้องผ่อนรถ”
“หือ อะไรของเธอน่ะยัยดา” อรอินทุ์ถามงงๆ
“ฉันเอาด้วยกับเธอน่ะสิ นายละพัฒ”
“เอาสิ เราสามคนจะได้มีบริษัทเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครเสียที” พิพัฒยิ้มกว้างกว่าใคร การทำงานของเขามีกรอบที่น่าเบื่อ ทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่หลายครั้ง เขาไม่เถียงหรอกว่าการขัดแย้งเป็นเรื่องที่ต้องเกิดในการทำงาน แต่การคาดหวังทั้งที่ไม่มีอะไรให้คาดหวังตั้งแต่ตัวเรื่องของโฆษณาแล้ว มันจะได้อะไร
ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง อรอินทุ์จับมือเพื่อนเขย่าด้วยความดีใจ ก้าวแรกของเธอที่คิดว่าจะซวนเซไปสักสามเดือน ตอนนี้ถ้าเปิดบริษัทได้ปุ๊บก็ทำงานได้เลย ส่วนเรื่องอุปกรณ์อะไรไปเช่าเอาก่อนได้ ส่วนออฟฟิศเธอขับรถไปดูๆ มาแล้วเมื่อเช้า
“ขอบใจมากนะทั้งสองคน”
“เอาน่า คิดเสียว่าเราสองคนกำลังเบื่อเจ้านายเหมือนเธอพอดีแล้วกันยัยอร” ธนิดาเริงร่า ถ้าอรอินทุ์ไม่ชวนเปิดบริษัท เธอก็วางแผนเรื่องลาออกไว้แล้ว เพียงแต่ยังต้องรอเพราะทุนจะเปิดบริษัทยังไม่พอ
“ถ้างั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
สองเพื่อนเฮลั่น อรอินทุ์รู้สึกเหมือนกำลังฝันดี อย่างน้อยการทำงานกับเพื่อนที่คบกันมานานและเก่ง เงินของพ่อที่ได้มาคงไม่พบคำว่าขาดทุนง่ายๆ แล้วล่ะ ชีวิตคนเรานี้ไม่แน่ไม่นอนจริงๆ เธอต้องทำให้บริษัทในฝันเป็นคู่แข่งของ Leoness ให้ได้
ธนิดามีงานยังทำไม่เสร็จต้องไปสะสางเพื่อจะได้ลาออกแบบไร้ปัญหา ส่วนพิพัฒต้องไปกำกับงานต่อ อรอินทุ์เดินมาที่รถ แต่พอนึกได้ว่าลืมโทรศัพท์ก็รับวิ่งกลับมาที่โต๊ะ โชคดีที่พนักงานจำลูกค้าได้เลยเก็บโทรศัพท์ไว้ให้ เธอกำลังเดินกลับไปที่รถ แต่ความรีบทำให้เดินไปชนบริกรที่กำลังเสิร์ฟน้ำให้แขก แก้วถูกปัดลงพื้นแตกกระจาย ส่วนลูกค้าดวงซวยรายนั้นเสื้อสูทเปียกไปทั้งแขน
“แย่ชะมัด!” ลูกค้ารายนั้นบ่นเสียงดังพลางปัดน้ำออกจากเสื้อ
“ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” บริกรคนหน้าเสียละล่ำละลักบอกลูกค้า ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง
อรอินทุ์คิดว่าคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้ แต่สีหน้าของบริกรที่ยังเป็นเด็กวัยรุ่นทำให้เธอต้องพูดอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นเด็กคนนั้นซวยเพราะความซุ่มซ่ามของเธอแน่ๆ
“ขอโทษค่ะฉันผิดเอง คุณอย่าต่อว่าน้องพนักงานคนนี้เลย ถ้าฉันไม่เดินไปชน น้องเค้าก็คงไม่เซไปหาคุณจนเสื้อเลอะแบบนั้น”
“ผมไม่เอาผิดพนักงานคนนั้นหรอกคุณ” จิรกรเอ่ย แม้ว่าเสื้อของเขาจะแพงระยับ แล้วโดนน้ำอัดลมแบบนี้จะล้างออกหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ขอบคุณมากนะคะ” ค่อยยังชั่วหน่อย “ถอดเสื้อสูทของคุณมาสิคะ ฉันจะเอาไปร้านซักรีดให้ ขอที่อยู่ของคุณมาด้วยค่ะ ฉันจะได้ส่งให้ถึงมือ”
“ไม่ต้องหรอครับ”
“ไม่ได้ค่ะ ฉันต้องรับผิดชอบ” อรอินทุ์ยืนกรานพลางบอกให้บริกรคนนั้นสบายใจว่าเธอจะรับผิดชอบเอง
จิรกรเลิกคิ้วมองผู้หญิงที่เขาคลับคล้ายคลับคลาแล้วยิ้มออกมา ทนายประจำตระกูลเอ็มไพร์ กรุ๊ปมีลูกสาวคนเดียว เขาเคยเห็นเธอไปออกงานกับพ่อ แม้ว่าจะนานแล้ว แต่ให้อย่างไรก็จำได้ คราวก่อนที่เห็นเธอ เหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ เพียงแค่คู่กรณีไม่ใช่เขา ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทแล้วส่งให้อรอินทุ์พร้อมกับนามบัตร
“ก็ได้ครับ แล้วนี่นามบัตรของผม ส่งไปที่นั่นแล้วเสื้อจะถึงมือของผมเอง”
อรอินทุ์ยิ้มตามมารยาทก่อนจะเดินจากมาจนถึงรถ เธอวางสูทไว้เบาะข้างๆ แล้วอ่านชื่อของเจ้าของนามบัตร พอรู้ว่าเขาเป็นใครก็อยากเอาสูทไปคืน ทำไมเธอจำผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตั้งแต่แรก
“ทำไมโลกกลมแบบนี้เนี่ย รู้อย่างนี้ให้เงินไปซักรีดน่าจะดีกว่าละมั้ง”
เธอขับรถออกไปจากร้าน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว คงมีทางเดียวเท่านั้น รีบส่งเสื้อให้ร้านซักรีด หลังจากนั้นก็ส่งเสื้อคืนไปให้จิรกร จบเรื่องแล้วก็ลืมๆ ไปเลยว่าเธอได้พบกับลูกชายของคู่กรณีพันแสง เธอค่อนข้างมั่นใจว่าการลอบฆ่าที่พันธินพูดถึงต้องเป็นฝีมือของคนบ้านนั้นแน่นอน ความแค้นของคนเป็นพ่อกับคนเป็นพี่ บางทีอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดและปิด พันธินเดินผ่านชั้นหนังสือมากมายที่พ่อสะสมไปยังประตูด้านหลังซึ่งเชื่อมไปยังชั้นลอยที่พ่อสั่งให้ช่างออกแบบแล้วทำออกมาประหนึ่งการอยู่กลางสวน ต้นไม้สูง ดอกไม้ส่งกลิ่นหอม มีแม้กระทั่งแมลงและผีเสื้อ หญ้าก็ยังเป็นของจริง แสงแดดในยามเช้าสวยงาม
เธียรได้ยินเสียงเดิน แต่ไม่ได้หันมามอง มีเพียงไม่กี่คนในบ้านที่กล้ามาหาเขาถึงในสวนแห่งนี้
“พ่อต้องการพบผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ธินรักดรุณีหรือเปล่า ถ้าต้องใช้ชีวิตร่วมกันจะอยู่ด้วยกันได้ไหม ตอบพ่อมาตามตรง” เธียรไม่เคยอ้อมค้อมในการหาคำตอบเสมอ
พันธินเลือกที่จะยืน แม้ว่าจะมีเก้าอี้อยู่ใกล้ๆ แต่ถ้าเป็นพันแสงคงทำอย่างนั้น น่าแปลกทำไมพ่อไม่คิดอะไรให้ได้ยินเลย เผื่อว่าเขาจะมีคำตอบที่ชัดเจนถึงจุดประสงค์ของคำถามนั้น
“ต่างกันตรงไหนครับ ไม่ว่ารักหรือไม่รัก ถ้าเป็นเรื่องของผลประโยชน์แล้วยังไงก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี ถึงบ้านของดรุณีจะไม่มีธุรกิจ แต่ก็มีเส้นสายของนักการเมือง ช่วยเสริมตระกูลของพ่อได้เป็นอย่างดี”
เธียรเลิกคิ้วกดยิ้มที่มุมปาก “ถ้าธินคิดอย่างนี้จริงๆ ล่ะก็ พ่อจะประกาศการแต่งงานในวันเลี้ยงต้อนรับ”
“ตามใจพ่อครับ” พันธินเอ่ย แม้ไม่อยากทำ แต่สำหรับพ่อแล้ว ไม่ว่าคำตอบของเขาจะเป็นอย่างไร ผลประโยชน์มาก่อนความรู้สึกเสมอสำหรับนักธุรกิจ
เธียรหันหน้ากลับไปสนใจหนังสือที่อ่านค้างไว้ พันธินก้มหน้าลงอย่างให้ความเคารพก่อนจะเดินออกไป พ่อสอนลูกๆ เสมอว่าการแสดงความรักจะทำให้ผู้ชายอ่อนแอ แล้วสิ่งที่พ่อเป็นตอนนี้เรียกว่าเข้มแข็งหรือเปล่า ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ พ่อไม่เคยแสดงความรัก ไม่เคยบอกรัก จนแม่จากไปนั่นล่ะ พ่อถึงพูดคำว่ารักออกมา แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อแม่ไม่อยู่ฟังแล้ว
ตุลยารีบเดินออกมาจากบานประตู ลูกเลี้ยงของเธอออกมาแล้วและกำลังเดินตามมา เธอเดินเรื่อยๆ ไม่ให้น่าสงสัยว่าเมื่อครู่เพิ่งแอบฟังว่าพันธินบอกอะไรสามี
“สวัสดีครับคุณตุล” พันธินทักทายพลางเดินเร็วๆ มาจนทัน
“คุณธินจะแต่งงานกับหนูณีจริงๆ หรือคะ” ถามออกไปแล้วตุลยาก็แทบตีตัวเอง อย่างนี้พันธินก็รู้น่ะสิว่าเธอแอบฟัง
“แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ ได้ข่าวว่าคุณตุลจะไปยุโรป”
“ค่ะ หลังวันงานเลี้ยงต้อนรับของคุณธิน”
พันธินเลิกคิ้ว เขาไม่อยากรอนานถึงขนาดนั้น ตุลยามีความลับอะไร ทำไมถึงบอกพ่อไม่ได้และกลัวว่าเขาจะเป็นคนบอก
“เรื่องนั้นที่ผมรู้ ถ้าบอกพ่อ คุณตุลจะว่ายังไงครับ”
‘จำได้แล้วเหรอ ทำยังไงดี ถ้าคุณเธียรรู้ คงได้บ้านแตกแน่ๆ’
“อย่าบอกนะคะ ยังไงก็บอกไม่ได้” สีหน้าของตุลยาซีดเผือด ดวงตาคู่นั้นมองลูกเลี้ยงยิ่งกว่าขอร้อง
พันธินถอนใจ ถ้าเขาโพล่งถามไปตรงๆ ว่ากลัวเขาบอกอะไรพ่อคงไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เขาเป็นต่อคงมีแค่การทำว่ารู้ต่อไป เรื่องอะไร ร้ายแรงขนาดทำให้บ้านแตก
“ก็ได้ครับผมจะไม่บอก แต่คุณตุลต้องบอกผมว่าทำแบบนั้นทำไม การพูดความจริงไม่ทำให้บ้านแตกหรอกครับ พ่อเป็นคนมีเหตุผล”
เขารอเผื่อว่าตุลยาจะคิดอะไรต่อ ทว่าในสมองของเธอกลับว่างเปล่า มีแค่ความกังวลเท่านั้น
“ฉันจะบอกคุณเธียรหลังจากกลับมาแล้วนะคะ ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะพูดมันออกมา”
ตุลยาเดินจากไปเพื่อเข้าห้องของตัวเอง ถ้าเขามองไม่พลาดเธอมีน้ำตา ความลับอะไรหนอที่ทำให้หวาดกลัวว่าเขาจะพูด เป็นไปได้ไหมว่าเพราะเรื่องสำคัญนั้นทำให้เธอลงมือทำบางอย่าง วางแผนฆ่าลูกเลี้ยงน่ะหรือ ไม่ใช่ละมั้ง แต่ก็ตัดออกจากรายชื่อคนที่น่าสงสัยไม่ได้
พอใกล้เวลาเลิกงาน พันธินสั่งให้คนขับรถพาเขาไปยังที่แห่งหนึ่งหลังเลิกงานซึ่งเป็นร้านดอกไม้เล็กๆ กลางกรุงฯ ดรุณีเพิ่งเปิดร้านเมื่อเดือนก่อน ด้านข้างเป็นร้านขนมของเพื่อนด้วยดาราด้วยกัน นักข่าวและแฟนคลับพากันสนใจ ภาพพจน์ของนางเอกที่เธอแสดงในละครทำให้ได้รับความนิยมเสมอ ละครทุกเรื่องที่ดรุณีแสดงมักได้เรตติ้งสูง
พันธินมองไปยังคู่หมั้นซึ่งนั่งอยู่ในร้าน มีบางอย่างที่เขาต้องรู้ให้ได้ ก่อนเดินทางไปอเมริกาเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาสัมผัสความรักจากดรุณีไม่ได้เลย เธอหลบหน้าและห่างเหิน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจะใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักได้หรือ
เสียงกระดิ่งที่เป็นโมบายดังเมื่อมีคนเปิดประตูกระจกเข้ามาในร้าน ดรุณีเงยหน้าขึ้นทว่ารอยยิ้มที่ควรมีกลับหายไป พนักงานของเธอออกไปหาลูกค้ารายล่าสุด ทว่าเขากลับเดินมาตรงนี้ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนในวันที่ไม่ได้ถ่ายละคร
“ไม่ดีใจหรือณีที่ผมมาหา”
ดรุณีฝืนยิ้ม ไม่คิดว่าพันธินจะมาหาเธอถึงที่นี่ เขาไม่เคยทำแบบนี้ ที่แล้วมามีแต่เธอที่เป็นฝ่ายไปหาจนกระทั่งทุกอย่างสายไป ถ้าเราเลิกกันคงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ทั้งนักข่าว พ่อแม่ของเธอและ... ช่างเถอะ
สีหน้าของพันธินไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ที่คู่หมั้นทำอยู่ตอนนี้เรียกว่าการแสดงคงจะได้
“ดีใจสิคะ แต่แปลกใจมากกว่า คุณธินไม่เคยเป็นฝ่ายมาหาณี วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ”
“เราไปทานข้าวด้วยกันดีไหม คราวก่อนผมไม่ได้พาณีไป ถ้างั้นก็ไปด้วยกันวันนี้เถอะ” พันธินชวน
ดาราสาวมีสีหน้าลังเล แต่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร “ก็ได้ค่ะ”
ดรุณีหยิบกระเป๋ามาสะพายไหล่ แล้วเดินตามคู่หมั้นมาที่รถซึ่งจอดห่างออกไปจากหน้าร้านไม่กี่ก้าวเท่านั้น แสงแฟลชสาดใส่ ดรุณีถอนใจเริ่มเบื่อพวกนักข่าวที่ตามไม่เลิก ถ้าเธอเห็นว่าพันธินมาคงหลบไปหลังร้านทัน คราวก่อนที่ไปหาก็เพียงเพราะทำตามคำสั่งของพ่อ เธอไม่เคยมีอิสระคิดอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่จำความได้ แม้กระทั่งการหมั้น เธอก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ
ทุกคนมีความลับกันหมด หลายคนวางแผนเล่นงานพันธินแล้ว
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 180
แสดงความคิดเห็น