บทที่ 6...1/2
แผลไม่ได้ลึกอย่างที่กังวลตอนเห็นเลือดชุ่มตรงฝ่ามือ จริงๆ แล้วเธอกัดที่ข้อนิ้ว ตอนนั้นก็ไม่ทันมองหรอก พอมาเห็นเข้าจริงๆ เป็นรอยฟันของเธอเลยเชียวล่ะ อรอินทุ์เหล่มองพันธิน ใจเริ่มแป้วที่เขาไม่ต่อว่าอะไรสักคำ เป็นคนอื่นอาจมีของขึ้นแล้วเอาคืนให้หายโมโห แต่เขากลับนั่งเฉยๆ ให้เธอเช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ เม้มปากเมื่อมันคงแสบไม่น้อย พอใส่ยาให้ มือของเขาเกร็งแต่ไม่ชักมือกลับ
เธอพยายามทำแผลให้เบามือที่สุด ก่อนจะใช้ผ้าก๊อซมาพันแผลโดยพันรอบฝ่ามือก่อนจะมาเน้นที่นิ้วชี้ข้อล่างสุดของเขาซึ่งแผลลึกที่สุด ก่อนจะจบด้วยการพลิกฝ่ามือของเขาคว่ำลงแล้วผูกผ้าให้ติดกัน แทนการใช้สก็อตเทป (Transpore) แปะให้แน่น
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“โบนี่มันอะไร” พันธินชี้ไปที่หลังมือของตัวเอง แล้วดูคนพันแผลให้ยิ้มชอบใจโบอันสวยที่หลังมือของเขาเสียอย่างนั้น มันเข้ากับใบหน้าของเขาตรงไหนกัน
“แหม ปฏิวัติวงการพันแผล เจ็บแล้วเห็นอะไรสวยๆ ก็จะได้หายโกรธไงคะ”
พันธินมองโบที่หลังมือตัวเองอีกครั้ง มันก็สวยดีอยู่หรอก แต่เธอลืมไปหรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร ขืนพนักงานเห็นเข้าได้ขำกันน่ะสิ ครั้นจะแกะออกก็ไม่อยากให้คนทำเสียน้ำใจเลยยอมๆ ไปก่อน
“ฉันไม่โกรธเธอหรอกน่า ไปนอนต่อเถอะ ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน ขอบใจที่ทำแผลให้”
พันธินลุกขึ้นเดินผ่านประตูเชื่อมระหว่างสองห้องไป ก่อนจะปิดประตูและล็อคทางฝั่งอรอินทุ์ให้เธอไม่ต้องนอนผวาเพราะกลัวเขาจะย่องเข้าหาทั้งคืน อรอินทุ์ก็อยากหลับ แต่คนเพิ่งตื่น แถมยังไปออกแรงจนเลือดสูบฉีดจะไปหลับลงง่ายๆ ได้ยังไงกัน พอนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรก็ต้องหาคนคุยด้วยแค่นั้น
“จนถึงตอนนี้ คุณธินคิดถึงคุณแสงไหมคะ” เธอถาม ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพันธินจะได้ยินหรือเปล่า
“ไม่”
อ้าว ทำไมเป็นแบบนั้น หรือว่าที่ใครๆ ในบ้านวัสวานพูดกันจะเป็นเรื่องจริง แม้แต่คุณแสงก็คิดว่าพี่ชายไม่รักและกลัวมาแย่งทุกอย่างในเอ็มไพร์ กรุ๊ปไป ถึงได้ส่งพันแสงไปอเมริกาหลังจากเกิดเรื่อง แม้ศาลจะยกฟ้องว่าเขาไม่มีความผิดก็ตาม
“ทำไมล่ะคะ คุณแสงเป็นน้องชายของคุณนะ หรือว่าคุณไม่...”
“หลับได้แล้ว ฉันเหนื่อยจนคิดไม่ออกว่าจะตอบคำถามของเธอว่ายังไงเหมือนกัน” เขาตอบผ่านบานประตูปิดสนิทก่อนจะหลับตาลง ความเหนื่อยล้าทำให้เขาหลับได้เร็วกว่าหลายวันที่ผ่านมา แม้คำถามของอรอินทุ์จะกระแทกสู่ใจของเขา ทว่าสมองที่ทำงานซับซ้อนกลับยังคงทำหน้าที่ของมัน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานพอ ฝันร้ายก็เข้ามาเตือนถึงสิ่งที่เขาต้องไม่ลืม
‘เราถูกตาม!’
พันแสงหันมาบอกพี่ชายที่กำลังตั้งใจขับรถและเริ่มรู้สึกได้เหมือนกันว่ารถคันที่ตามมานั้นเริ่มจี้มาใกล้เกินไป
‘นายคิดอย่างนั้นหรือแสง บางทีอาจจะเป็นคนแถวๆ นี้ก็ได้’
พันธินพยายามคิดในแง่ดี แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรที่สามารถคิดในแง่ดีได้เลย เราขับรถข้ามรัฐโดยผ่านทะเลทรายรกร้างเพื่อไปหาลุงอิชย์ซึ่งเดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน เนื่องจากเป็นวันเกิดของพันแสง
ทว่าพอเขาแกล้งเปิดไฟเหมือนจะจอดข้างทาง รถที่ตามกลับชะลอ แม้ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว พันแสงเห็นท่าไม่ดีรีบตะโกนสั่งพร้อมหยิบปืนที่ซื้อมาถูกกฎหมายขึ้นมาเตรียมพร้อม
‘รีบไปกันเถอะ’
พันธินกระทืบคันเร่งรถโฟล์วีลพลางสังเกตรถที่ยังตามมา
‘นายพูดถูก มันเร่งเครื่องตามมาแล้ว’
‘นายตั้งใจขับรถไป ที่เหลือฉันจัดการเอง’ พันแสงบอกเสียงเหี้ยมพร้อมกับเปิดกระจกเล็งปืนไปยังรถที่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ในวินาทีนั้นเองที่พวกมันเริ่มจู่โจม
‘บึ้ม!!! โครม!!!’
พันธินสะดุ้งตื่น และไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้อีก เขาเปิดบานกระจกเลื่อนออกแล้วเดินไปยังระเบียงด้านนอก ดวงตาดำสนิทมองท้องฟ้าอย่างใช้ความคิด มีความลับมากมายที่เขาต้องรู้ให้ได้ การได้รับสิ่งพิเศษหลังรอดความตายอาจเป็นประสงค์จากพระเจ้า เขาทำหลายสิ่งไปแล้วก่อนเดินทางกลับมา ตอนนี้ก็แค่เร่งให้เกิดเหตุการณ์เท่านั้น
อรอินทุ์ตื่นในเวลาปกติที่เคยตื่น แม้ว่าจะตกงานมาเกือบเดือนแล้วก็ตาม มีเสื้อผ้าของเธอมาแขวนไว้ให้น่าจะก่อนเจ็ดโมงเช้าเพราะพอเปิดประตูออกไปก็เห็นว่ามันแขนรออยู่แล้ว เธอเลยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเสร็จก็นั่งคอยเจ้าของห้องข้างๆ ที่ทำอะไรอยู่ไม่รู้ เธอได้ยินแต่เสียงข่าวจากทีวีแว่วมา
หญิงสาวเดินไปที่ประตูเอาหูแนบ ได้ยินเสียงเดิน เธอควรเคาะเรียกเขาหรือเปล่า หรือว่ารอต่อไป ยังไม่ทันได้ตัดสินใจประตูที่เธอเอาหูแนบไว้ก็เปิดผัวะ ร่างเพรียวสะดุ้งโหยง แต่พอเห็นสภาพของพันธินแล้วหัวใจกลับแทบวาย ทำไมเขาไม่ติดกระดุมมาให้เรียบร้อย เขาจะคิดว่าเธอเป็นพวกถ้ำมองหื่นกามหรือเปล่า
“มะ...มีอะไรหรือคะคุณธิน”
พันธินเลิกคิ้วกลั้นหัวเราะเต็มที่ ผู้หญิงบ้าอะไร เขาจะไปคิดว่าเธอเป็นพวกหื่นกามได้ยังไง คำถามนี้น่ะน่าจะเป็นของเขามากกว่าละมั้ง แต่เพื่อไม่ให้เธออายหรือไม่ก็ประทุษร้ายต่อร่างกายของเขาอีก มือที่ยังพันผ้าก๊อซไว้เลยยื่นออกมา
“รับผิดชอบด้วย เห็นไหมว่าฉันกำมือไม่ได้ แล้วจะติดกระดุมใส่เนคไทยังไง”
อรอินทุ์หรี่ตามองมือของพันธิน ก่อนจะยื่นมือไปพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างไม่แน่ใจนัก
“ฉันว่ามันไม่น่าจะหนักหนาขนาดนั้นหรอกมั้งคะ” เธอบอก แต่พอเขาดึงมือกลับแล้วถอนใจใส่ก็ชักจะต้องเป็นอะไรแล้วละมั้ง “โอเคๆ ฉันช่วยคุณธินก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวก้มหน้าก้มตามองแต่กระดุมเม็ดล่างสุด มือเจ้ากรรมก็ดันเกิดจะมาสั่นเอาตอนนี้อีก กลิ่นครีมโกนหนวดของเขามันกวนสมาธิของเธอจนต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดกว่าจะติดกระดุมได้สักเม็ด เขายืนเฉยไม่พูดอะไร ทำแบบนี้เธอก็ตายน่ะสิ
“คุณธินเคยเล่มเกมในเฟสบุ๊คไหมคะที่ทายว่าชาติก่อนเคยเป็นอะไรน่ะ” อรอินทุ์ถามขึ้น ก็ใครใช้ให้เขาปิดปากเงียบอยู่อย่างนี้ล่ะ
พันธินอยากสั่งให้อรอินทุ์หยุดคิดเรื่องต่างๆ นานาในสมองสักห้านาที เธอประหม่าที่เห็นแผ่นอกของเขา แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาต้องรู้สึกหวิวๆ ไปตามเธอด้วย ถึงจะไม่ได้คิดลามก แต่พอรู้ว่าร่างกายของตัวเองมีผลต่อเธอ เขาก็หวั่นไหวไม่น้อยเหมือนกัน
“ไม่เคย แล้วเธอเป็นอะไรล่ะชาติที่แล้ว”
“เป็นแมวค่ะ สงสัยจะเชื่อได้”
อรอินทุ์ติดกระดุมเม็ดที่สองได้สำเร็จ แต่ความสูงของกระดุมที่ค่อยๆ ไล่ระดับขึ้นทำให้สายตาของเธอเริ่มเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น(จริงหรือ?) จริงสิ นี่เธอจะมาเถียงกับตัวเองทำไมเนี่ย หญิงสาวจัดการติดกระดุมเม็ดที่สาม เฮ้อ เหลืออีกสองเม็ด ทว่าพอมองแบบเห็นชัดๆ ประมาณกล้อง HD เธอก็เห็นรอยเนื้อนูนที่หน้าอกขวาของพันธิน
“เอ๊ะ! ทำไมมันถึง...”
พันธินรู้ว่าว่าอรอินทุ์เห็นอะไร เขาไม่จำเป็นต้องก้มลงมองสิ่งที่ไม่มีวันลืมความเจ็บเจียนตายนั้นได้ ถึงแม้ว่าแผลจะหายและเวลาผ่านไปเกือบปีแล้วก็ตาม เขาชี้ตรงแผลเป็นที่อกและบอกได้อย่างแม่นยำ แม้ไม่มองมัน
“รอยกระจกบาดตอนที่รถพลิกคว่ำ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ตอนนั้นฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกกระจกบาดที่อก”
“ทำไมคุณธินมั่นใจว่าไม่ใช่อุบัติเหตุล่ะคะ” อรอินทุ์ไม่เคยได้ยินพ่อพูดถึงมาก่อน ใครๆ ต่างเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ
“ก็มันไม่ใช่น่ะสิ แต่มันเป็นการฆาตกรรม”
คนอย่างพันธินไม่พูดเล่นในเรื่องแบบนี้แน่ คนแรกที่เธอคิดถึง...พันแสง เขาไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุที่พอทำให้ใครต่อใครปลอบใจตัวเองได้ว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ใครกันที่ทำแบบนั้น หรือว่าเพราะเรื่องของจิรเมธ หญิงสาวถอนใจรู้สึกผิด ถ้าใช่ คนที่ควรตายน่าจะเป็นเธอมากกว่าพันแสง
“แล้วทำไมคุณธินไม่ทำอะไรเลย”
พันธินก้มหน้าลงมองดวงตาสีดำสนิทที่กล้าจ้องตอบ พันแสงมีอิทธิพลต่อเธอมานานแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เขารับรู้ได้ว่าเธอคิดอะไร แต่บางเรื่องมันเกินกว่าจะเชื่อได้ หากพูดไปเธอจะเชื่อเขาหรือว่าคิดว่าเป็นการหลอกลวงกันแน่ เขาไม่แน่ใจ
“ฉันเชื่อใจเธอได้หรือเปล่า”
“อ้าว! แล้วฉันเคยคิดจะฆ่าคุณธินหรือเปล่าล่ะคะ ถามแบบนี้ถ้าฉันสนิทกับคุณธินคงโกรธไปแล้ว” ความโมโหทำให้มือที่สั่นเริ่มกลับมาเป็นมือที่เชื่อฟังและสามารถติดกระดุมอีกสองเม็ดเสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“นี่เรายังไม่สนิทกันอีกอย่างนั้นเหรอ”
“ก็ยังน่ะสิคะ เสร็จแล้ว ฉันลงไปรอข้างล่างล่ะค่ะ” อรอินทุ์รีบเดินเร็วๆ ไปที่ประตูห้องของพันธิน แต่พอนึกได้ว่าคงไม่ดีแน่ๆ ถ้าใครมาเห็นเลยเดินผ่านหน้าเขาแล้วไปทางห้องของตัวเองก่อนจะเปิดประตูออกไป
พันธินหัวเราะ ถ้าไม่ได้ยินว่าเธอคิดอะไร เขาคงเข้าใจว่าเธอโกรธ เวลาอรอินทุ์เขินนี่ดูตลกดีเหมือนกัน แล้วที่บอกว่าเราไม่ได้สนิทกันนั้นไม่จริงเลยสักนิด เราสนิทกันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เธอยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเองต่างหาก สัญญาอีกไม่นานเขาจะบอกเธอเรื่องความลับที่มีเพียงลุงอิชย์เท่านั้นที่รู้
อรอินทุ์ยังไม่ทันหายโมโห พันธินก็ลงมาหา แต่เรากลับต้องเดินแอบๆ กันไปที่ประตูทางออกด้านหลัง ทั้งๆ ที่ปริญรออยู่ด้านหน้า เขาทำท่าทางเสียอย่างกับเรากำลังหนีใครอยู่ ซึ่งก็คงจะใช่ แต่ใครล่ะ หรือว่าพวกที่ตามฆ่าตามมาถึงที่นี่ ก็คงไม่ใช่อีก เขาจะบอกอะไรเธอบ้างได้ไหม มาถึงก็ลากให้เดินตามมาเร็วๆ จนกระทั่งมาถึงรถที่จอดรอพร้อมกุญแจที่เสียบคา พันธินเข้าไปนั่งตรงเบาะคนขับแล้วสั่งให้รีบๆ เข้ามาในรถ เธอทำตามแบบงงๆ สรุปแล้วเราหนีใครอยู่เนี่ย
“คุณธินกำลังพาฉันหนีใคร หรือเรากำลังจะไปไหนหรือคะ” ทนไม่ไหวก็ต้องถามล่ะ
พันธินหักพวงมาลัยเลี้ยวออกไปจากโรงแรม เขาทันเห็นปริญที่ลอบบี้ พนักงานคงไปบอกว่าเช้านี้เขามีธุระต้องไปทำข้างนอกแล้ว
“ไม่ได้หนี แค่ไม่อยากให้ใครต่อใครตามมา ส่วนไปที่ไหนเดี๋ยวก็เห็นเอง มันไม่มีอะไรที่เป็นความลับสำหรับที่ที่เรากำลังจะไปหรอก เพียงแต่สิ่งที่ฉันจะสร้างจากที่ดินผืนนั้นอาจทำให้หลายคนไม่เข้าใจ”
“คุณธินจะสร้างอะไรหรือคะ” อรอินทุ์คาดเข็มขัด
“มูลนิธิพันธิน”
“ก็ดีนี่คะ” ถึงจะฟังดูแปลกๆ ที่เขาทำมูลนิธิขึ้นมาโดยใช้ชื่อของตัวเอง “แล้วทำไมให้บอดี้การ์ดของคุณธินรู้ไม่ได้” ถ้าเป็นเธอถูกตามทุกฝีก้าวยังไงก็ต้องอึดอัด บอดี้การ์ดก็เหมือนหูและตาของคุณเธียร
พันธินยิ้มเมื่อมีคนคิดเหมือนกับเขา การมีปริญก็ดี ทำให้ถ้าหากตายจริงๆ คงมีเพื่อน
“ไม่ใช่ว่ารู้ไม่ได้ แต่ฉันเบื่อไม่อยากให้ตามตลอดเวลา” เขาบอกไม่ทันคิด “ตอนนี้ฉันยังไม่เบื่อหน้าเธอหรอกน่า”
อรอินทุ์จะเถียงว่าเธอไม่ได้นึกน้อยใจอะไรสักหน่อย เลยปล่อยเลยตามเลย รถแล่นออกสู่นอกเมืองระยองมุ่งหน้าสู่บ้านเพ แล้วใช้เวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็พาเข้าไปจอดหน้าที่ดินว่างเปล่าไร้การปลูกสร้างทั้งที่ถูกขนาบด้วยตึกสูงๆ ทั้งสองด้าน คนที่เติบโตมากับคำว่าธุรกิจคิดจะทำมูลนิธิตรงที่ดินซึ่งสามารถทำเงินได้มหาศาล เจ๋งจังแฮะ แล้วเขาจะหันมายิ้มให้เธอทำไม กลับมาคราวนี้เขาดูเป็นมิตรขึ้นกว่าแต่ก่อนจนเหมือนกับเป็นพันธินอีกคน
เราเดินเข้าไปในที่ดินว่างเปล่าซึ่งปลูกไว้เพียงต้นทานตะวันสีเหลืองอร่ามทั้งที่ตรงนี้ไม่ใช่สระบุรีหรือนครสวรรค์ คนทำช่างคิด แทนที่จะปล่อยให้หญ้าขึ้นรกก็ปลูกดอกไม้แทน เธอไม่ทันเห็นว่าพันธินหยิบเอกสารออกมาด้วย พอเขาคลี่ออกก็เห็นเป็นแบบของตึกสองชั้นที่ดูเรียบๆ แต่ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้รายล้อมตึกไว้ ไม่นานนักรถคันหนึ่งก็เข้ามาจอด พอเจ้าของรถลงจากรถก็มาขอโทษขอโพยพันธินที่มาช้า
อรอินทุ์แยกตัวออกมาเดินเล่นที่ทะเลซึ่งข้ามถนนมาก็ถึง ตอนนี้รู้แล้วว่าเขามาเพื่อสั่งงานช่างให้เริ่มการก่อสร้างมูลนิธินั่นเอง แสงแดดเริ่มแรงขึ้นในเวลาสิงโมงกว่าๆ แต่ลมทะเลก็เย็นจนไม่รู้สึกร้อนเท่าไหร่ เธอนั่งเล่นและซื้อน้ำมะพร้าวมากินระหว่างรออยู่นานจนเริ่มง่วง
“กลับกันเถอะ ขอบใจที่มาด้วยกัน”
หญิงสาวเกือบสะดุ้งไม่คิดว่าพันธินจะเดินมาตาม แถมยังสั่งงานเสร็จเร็วกว่าที่คิด น้ำมะพร้าวถูกคว้าไปดูดก่อนจะทิ้งลงถังขยะ เธอกับเขาสนิทกับจนกินอะไรด้วยหลอดเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเดินกลับมาที่รถพร้อมกับเขา คนรับงานกำลังคุยงานกับช่างที่มาด้วยกัน ว่าแต่ทำไมเขาไม่ทำมูลนิธิพันแสง แทนที่จะเป็นมูลนิธิพันธิน
‘เรื่องของเขา อย่าถามเลย’
“สักวันฉันจะบอกเธอว่าฉันอยากทำมูลนิธินี้เพราะอะไร” พันธินเอยขึ้นลอยๆ
อรอินทุ์มองเขาจนกลายเป็นจ้อง เขารู้ได้ยังไงว่าเธออยากรู้ หน้าตาของเธอแสดงออกว่าอยากรู้จนออกนอกหน้าขนาดถูกจับได้เชียวหรือ หญิงสาวส่ายหน้า ไม่ได้ๆ ต่อไปคิดอะไรต้องไม่แสดงออก พันธินกลั้นยิ้ม ต่อไปเขาจะรอให้อรอินทุ์ถามไม่อย่างนั้นเธอจับได้แน่ๆ ตอนนี้เธอยังสงสัยตัวเอง แต่ต่อไปเธอจะสงสัยเขาแทน
“อร! ระวัง”
ความลับของพันธินคืออะไร?
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 165
แสดงความคิดเห็น