สักวันของเรา 5: สักวันที่ฟ้าเปิด

-A A +A

สักวันของเรา 5: สักวันที่ฟ้าเปิด

            เสียงเรียกเข้าสมาร์ทโฟนคู่ใจดังขึ้น ขณะวันสกาวเพิ่งกลับเข้าห้องมาเตรียมตัวอาบน้ำหลังจากเพิ่งรับประทานอาหารค่ำเสร็จ หญิงสาวเดินผละจากราวผ้าเช็ดตัวมายังหัวเตียง หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นดูเบอร์แล้วต้องชะงัก หัวใจเต้นรัวเร็วทันทีเมื่อทราบว่าใครโทรมา

  “ฮัลโหล” เธอกดรับสาย กรอกเสียงทักทายลงไป

  [พี่ยุ่งอยู่หรือเปล่า]

  “เปล่า เรามีธุระอะไรกับพี่หรือ” เธอจำเสียงเขาได้ พันฤทธิ์ พลางถามกลับด้วยความสงสัย

  [พี่เป็นไงบ้าง ผมเพิ่งรู้ว่าแฟนพี่ถอนหมั้นหรือ]

  “ใช่ เรารู้ได้ยังไง” วันสกาวแปลกใจ เพราะข่าวนี้ยังมีไม่กี่คนที่รู้

  [แฟนพี่มาหาผมที่ร้าน เขาบอกผม แล้วพี่เป็นไงบ้าง] เขาวนกลับมาถามคำถามเดิมอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ท่าทางของเขาทำให้วันสกาวอดสะเทือนใจไม่ได้

  “พี่โอเคดี...” เธอตัดสินใจตอบออกไปแค่นั้น เพราะดวงตากำลังร้อนผ่าวใกล้จะร้องไห้เต็มที

  [ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน]

  “คอนโด..”

  [มีคนอยู่ด้วยหรือเปล่า]

  “พี่อยู่คนเดียว แต่ไม่เป็นไร พี่โอเคจริงๆนะ” เธอพยายามกลืนก้อนขมๆลงคอพลางยืนยันให้อีกฝ่ายสบายใจ ไม่อยากให้เขารู้ว่าใจเจ็บปวดแค่ไหนที่ได้ยินคำถามห่วงใยแบบนั้นอีกครั้ง หลังจากมันเลือนหายมาเนิ่นนาน

  [พี่..ผมขอโทษ...] แล้วจู่ๆรุ่นน้องหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัว หญิงสาวชะงักไปทันที ก่อนน้ำตาจะค่อยๆไหลอาบแก้มเป็นสาย

  “ขอโทษเรื่องอะไร หนี้ที่เราเคยติดพี่ก็ใช้คืนหมดแล้วตั้งแต่สามวันก่อน เราไม่ได้ติดค้างอะไรพี่อีกแล้วนะ”

  [พี่ร้องไห้หรือ...ส่งพิกัดคอนโดมา ผมจะไปหา] น้ำเสียงเขาดูร้อนรนกว่าที่เคย เมื่อจับได้ว่าคู่สายกำลังสะอื้นน้อยๆ

  “ไม่ต้องหรอก พี่อยู่ได้น่า” เธอฝืนยิ้มบอกออกไป พยายามข่มความรู้สึกบางอย่างไว้สุดขีด แต่หัวใจกลับเรียกร้องให้ปากขยับเปล่งคำพูดต่อมา ทว่าดัดให้ดูคล้ายถามทีเล่นทีจริง

  “เป็นห่วงพี่ด้วยหรือ”

  [ครับ] พันฤทธิ์รับคำเสียงเรียบ ก่อนพูดขึ้นอีก

  [ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่ ให้ผมไปหาได้ไหม]

            ฝ่ายวันสกาวเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนเสียงไลน์ทางชายหนุ่มจะดังขึ้น พอเปิดดูก็พบว่าเป็นเธอที่ส่งพิกัดมาให้ รู้อย่างนั้นเขาก็รีบบอก และขับรถมาหาโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน

 

            เสียงกดกริ่งหน้าประตูดังขึ้น มือบางเปิดให้รุ่นน้องหนุ่มเข้ามาด้านใน ก่อนพวกเขาจะพากันมานั่งคุยที่ห้องรับแขกซึ่งแยกออกจากห้องอื่นออกมาเป็นสัดส่วน ตอนนี้น้ำตาบนใบหน้าวันสกาวแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงรอยแดงจางๆนัยน์ตาที่บอกให้รู้ว่าเธอเคยผ่านการร้องไห้จริงมาก่อนเท่านั้น

  “เราสบายดีนะ” เธออดถามออกมาไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักเขา ทุกวันมักมีเรื่องต้องให้คอยห่วงเป็นปกติทีเดียว

  “ครับ..”

  “เต๋าไปหา คุยกันว่าไงบ้างล่ะ” เธอหมายถึงอดีตคู่หมั้นของเธอ

  “เขาบอกว่าถอนหมั้นพี่แล้ว..และบอกให้ผมมาเคลียร์ใจกับพี่”

  “เคลียร์ใจงั้นหรือ?..เราสองคนไม่ได้ติดค้างอะไรกันแล้วนี่” หญิงสาวแปลกใจ ก่อนหวนนึกถึงเมื่อสามวันก่อนหลังจากเธอและอดีตคู่หมั้นกลับจากคุยธุระกับพันฤทธิ์เรียบร้อยแล้วขึ้นมานั่งบนรถ

  “จริงๆที่ผมนัดพี่ไปหาที่ร้านเมื่อวันก่อน เรื่องที่อยากจะพูดกับพี่ไม่ได้มีแค่นั้นหรอก”

            วันสกาวเลิกคิ้ว

  “แล้วเรามีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับพี่อีกหรือ?”

  “ผมยังไม่ได้บอกพี่ว่าตอนนี้ผมมีพร้อมแทบทุกอย่างแล้ว ร้านของผม ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ผมอยากให้พี่รู้ว่าผมทำได้แล้ว และผมอยากขอโทษพี่ในทุกเรื่องที่ทำให้พี่ผิดหวัง...” ดวงตาเรียวโตมองหน้ารุ่นพี่สาวอย่างจับสังเกตครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อไป

  “ผมไม่มีคำแก้ตัว ผมเงียบหายไป แต่ผมมีเหตุผลของผม”

            น้ำใสๆค่อยๆไหลลงหางตาวันสกาวอีกครั้ง เมื่อคนตรงหน้าพูดแทงใจดำอย่างถูกจุด เรื่องหนี้สินเขาไม่ติดค้างเธอแล้วก็จริง ทว่าเรื่องความรู้สึกที่เสียไป เขายังไม่ได้ชดใช้เลยสักนิด ทั้งที่ก่อนหน้าเธออยากปล่อยลืมไปเสีย แต่เขากลับพูดถึงมันขึ้นมาอีกจนอดสะเทือนใจไม่ได้

  “เหตุผลอะไร” มันเป็นเรื่องที่คาใจเธอมานานแล้ว ต่อให้นึกเคือง นึกน้อยใจมากแค่ไหน ก็ยังอยากฟังเขาอธิบายอยู่ดี

  “มันมีเรื่องมากมายเข้ามาจริงๆ จนผมเหนื่อย ผมเครียด ไม่อยากคุยกับใคร แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้สึกแย่มากที่รู้สึกว่าเป็นตัวปัญหาของพี่ พี่ช่วยผมหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่พี่ต้องการจากผมกลับทำอะไรไม่ได้ ผมคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ตอนนั้นต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ผมรู้ว่ามีคนคอยเคียงข้างพี่มากมาย และเขาจะช่วยพี่ได้โดยผมไม่ต้องห่วงเกินไป ผมรู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับผม แต่ชีวิตผมมันมีแต่เรื่องแต่ราวไม่เว้นวัน ผมรู้แค่ว่าควรปล่อยพี่ไปเจอสิ่งที่ดีกว่า และไม่ลืมเมื่อไรได้ดีแล้วจะกลับมาตอบแทนพี่ให้สมน้ำสมเนื้อ แต่มันไม่ได้ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว” เขาพักหยุดหายใจสักครู่

  “เราไปเจออะไรมา”

  “ความซวยส่วนตัว กับปัญหาที่บ้านแหละครับ พ่อแม่ไปติดหนี้นายทุน เพราะช่วงก่อนชวนเพื่อนมาเล่นแชร์กับเท้าแชร์คนหนึ่ง แรกๆก็ได้เงินดี พอชวนคนมาเยอะเข้าเท้าแชร์ก็เริ่มให้เงินไม่ครบ และขาดการติดต่อ พ่อแม่เลยต้องเอาที่ เอารถไปค้ำกับนายทุน แต่เงินที่แต่ละคนเสียไปมันมากเกินคืนให้ไหว หนำซ้ำบางคนจะเอากำไรด้วย เงินก็ไม่พอ ทีนี้พอมีหนี้หลายทางก็หาเงินไม่ทันจนนายทุนยึดบ้าน ยึดรถ สุดท้ายพ่อแม่โดนคนที่ชวนมาเล่นแชร์แจ้งตำรวจจับ เหลือผมคนเดียวที่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้แทน”

            พอคิดภาพตามที่อีกฝ่ายเล่า หญิงสาวก็อดเจ็บปวดไปด้วยไม่ได้ มันคงไม่ใช่เพียงเขาไม่อยากรบกวนเธอมากเกินไป แต่อาจเพราะทราบดีว่าลำพังฝั่งเธอก็มีเรื่องต้องจัดการพอควรอยู่เหมือนกันกระมัง

  “เรื่องของผมก็ประมาณนี้แหละ” เขาสรุปในที่สุด

  “พี่ขอโทษ ที่ช่วยเราไม่ได้” เธอบอกอย่างรู้สึกผิด คิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะตนเองไม่มีศักยภาพพอแบ่งเบาภาระอีกฝ่าย จึงทำให้เขาตัดสินใจลุยหน้าทุกอย่างตามลำพัง

  “ไม่ใช่ความผิดพี่หรอก ผมเลือกเอง” เขาส่งยิ้มปลอบใจมาให้ ก่อนขยับเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

  “เลิกร้องไห้ได้ละ ตาพี่บ้าง เล่าให้ผมฟังได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่กับคู่หมั้น”

  “จริงๆพี่กับเต๋าเป็นแค่เพื่อนกัน และแกล้งคบกันหลอกทางบ้านเต๋าเขา...” เธอเริ่มต้นขึ้น ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้รุ่นน้องหนุ่มฟัง ตั้งแต่เรื่องที่ตนเองผิดหวังจากพันฤทธิ์ หลังจากนั้นก๊อกหักอีกสองครั้ง จนได้มาเจออดีตคู่หมั้น ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่น เพื่อนสนิทกันตั้งแต่ประถมศึกษาตอนกลับไปงานผ้าป่าโรงเรียน จึงแลกคอนแท็กไว้ และติดต่อกันมาเรื่อยๆ กระทั่งรู้ปัญหาทางบ้านเขา เรื่องพ่อแม่ไม่ยอมรับที่เขาเป็นเก ฝ่ายนั้นเคยเกริ่นหลายครั้งจนรู้ว่าพวกท่านไม่มีทางยอมรับ สุดท้ายพยายามจับคู่ให้ พอวันสกาวรู้ ด้วยความนึกอยากประชดดวงความรักตนเองจึงปรึกษากับเพื่อนว่าหลอกคบกันบังหน้าไปก่อนดีไหม เขาก็กลัวพ่อแม่ตัดขาด และยังไม่พร้อมเผชิญความจริงจึงตกลง ต่อมาผู้ใหญ่อยากมีหลาน เร่งให้แต่งงาน ทั้งคู่ก็วางแผนหมั้นไปก่อนเพื่อซื้อเวลา แต่แล้วไม่นานนี้อีกฝ่ายก็ตัดสินใจถอนหมั้น และยอมบอกความจริงกับครอบครัวเสียเฉยๆ เธอคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้คงจะมีสาเหตุจากเธอด้วย

  “ยังไง” ฟังถึงตรงนี้ พันฤทธิ์ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย

  “พี่เคยคุยกับเต๋ามาหลายครั้งแล้วล่ะ เรื่องให้เขาไปคุยกับพ่อแม่จริงจังสักที แต่พี่ก็เข้าใจนะ ว่าเขากลัวผลที่จะตามมา ก็เลยปล่อยมาเรื่อยๆ เพราะพี่ก็ยังไม่ได้มีพันธะอะไรกับใคร แต่เมื่อวันก่อน...” วันสกาวชะงักนิดหนึ่ง ชั่งใจว่าจะเล่าในส่วนนี้ดีไหม แต่คิดว่าเรื่องก็มาถึงขนาดนี้คงไม่ต้องปิดบังอะไรกันอีก จึงตัดสินใจเล่าต่อ โดยมีรุ่นน้องหนุ่มรอฟังอย่างตั้งใจ

  “วันก่อนที่พี่ไปเจอเรา ขากลับตอนพี่อยู่บนรถกับเต๋าสองคน เขาคงสังเกตอะไรจากพี่ได้ล่ะมั้ง เขาถามเรื่องระหว่างพี่กับเรา คุยกันอยู่สักพักเขาก็เงียบไป พี่ก็เงียบไปเหมือนกันเพราะกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว”

  “พี่เล่าอะไรเกี่ยวกับผมและพี่ให้พี่เต๋าฟังหรือ”

  “ก็เล่าแทบทุกอย่างนะ” เธอจงใจตอบอ้อมๆ

  “เล่าอะไรเล่า” เขายังซักไซ้ต่อด้วยความอยากรู้

  “ก็ทุกเรื่องไง ตั้งแต่รู้จักกัน ตอนแกหายไป และ..ความรู้สึกของพี่”

  “พี่บอกพี่เต๋าว่ายังชอบผมอยู่ล่ะสิ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยแทนใจคู่สนทนาขึ้นมาหน้าตาเฉย พลางหลิ่วตาล้อ เป็นผลให้อีกฝ่ายหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาแทบทะลุอก แต่ก็ยังตอบอย่างไว้เชิง

  “ย่ะ”

  “พี่..เราคบกันไหม” และอีกครั้งที่พันฤทธิ์ทำให้เธอตกใจตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

  “ผมพูดจริงๆนะ เราเป็นแฟนกันไหม พี่ชอบผม ผมก็ชอบพี่ ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่” เขาย้ำอีกครั้งพร้อมขยายความเสียแจ่มแจ้ง

  “เราว่าอะไรนะ!?” คนฟังยังตะลึงไม่หาย

  “ได้ฟังหรือเปล่าเนี่ย” เขาท้วงทันที เมื่อเห็นท่าทีรุ่นพี่สาวเหมือนไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อตัวมากนัก

  “ฟังๆ แต่ตะกี้เราว่าอะไรนะ เราก็ชอบพี่งั้นหรือ!”

  “ครับ..พี่ไม่รู้หรือ ผมชอบพี่มานานแล้ว ถึงตอนห่างจากพี่ไปจะมีคนคุยหลายคน แต่ผมไม่เคยลืมพี่สักวันนะ” รุ่นน้องหนุ่มพูดตรง ตรงจนวันสกาวนิ่งอึ้งไปอย่างทำตัวไม่ถูก

  “ว่าไงล่ะ” เขาทวงคำตอบอีกครั้ง ก่อนอีกฝ่ายจะได้สติ และน้ำตาไหลซ้ำสองโดยเขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากสาเหตุใด แต่คิดว่าคงต้องเข้าไปปลอบให้เธอสงบลงก่อน

  “โอ๋ๆไม่ร้องละ ไม่ร้อง” มือหนายกขึ้นเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้คนที่ร้องอยู่ก่อนร้องหนักขึ้นไปอีก โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจอาการดังกล่าวแม้แต่น้อย

  “พี่เป็นอะไร..ร้องไห้ทำไม..ผมขอพี่เป็นแฟนนะเปล่าจะฆ่า”

  “เราอยากคบพี่จริงๆหรือ” ถามพลางสองมือก็ปาดน้ำตาไปด้วย

  “ผมพูดขนาดนี้แล้วนะพี่” พันฤทธิ์เริ่มอ่อนใจ คิดว่าตนก็พูดชัดเจนแล้วนะ

  “บอกชอบพี่อีกทีได้ไหม ขอพี่เป็นแฟนอีกที ถ้าเรายืนยันอย่างนั้น”

 คนฟังชักปวดหัวตุบๆ สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าวอีกรอบให้รุ่นพี่สาวหายค้างคาใจ

  “พี่สกาวครับ..ผมชอบพี่นะ..เป็นแฟนกับผมไหม”

วันสกาวเห็นอย่างนั้นก็หลุดยิ้มออกมาด้วยความซึ้งใจ ก่อนจะพยักหน้ารับคำหงึกๆโดยไม่เปล่งเสียง

  “เฮ่อ..พยักหน้านี่คืออะไร”

  “คิกๆๆ ตกลงๆ พี่จะคบกับเรา” เธอเห็นสีหน้าเหนื่อยใจของอีกฝ่ายก็อดขำออกมาไม่ได้ มันทั้งตลกและน่ารักเหลือเกินในสายตาเธอ

  “ผมกลับละ พี่อยู่คนเดียวได้นะ” แล้วจู่ๆ คนอ่อนวัยกว่าก็ชวนเปลี่ยนอารมณ์เสียอย่างนั้น จนเธอถึงกับร้องอ้าว

  “ทำไมรีบกลับล่ะ ไม่อยากอยู่กับพี่นานๆหรือ” ท้ายประโยคเธอทำเสียงอ่อนเสียงหวานถามอีกฝ่าย ที่พอพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู

  “ไม่ ดึกแล้ว พี่ก็นอนพักเถอะ” ไม่ทันขาดคำ เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างบอบบางเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังอย่างรักใคร่ ทำเอาอารมณ์พลุ่งพล่านที่พยายามสะกดไว้แทบระเบิดออก

  “พี่รักเรานะ” เธออ้อมแอ้มพูดกับไหล่แข็งแรงของเขา เขานิ่งไป ในใจพยายามข่มอาการรุ่มร้อนสุดฤทธิ์ แต่ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้...

  “อุ๊ย! สงสัยยำรวมมิตรจะทำงาน เกลียวจะกลับก็เดินทางดีๆนะ พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.