STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 28 สาปส่ง
14 เมษายน พ.ศ.2576
“แบบนี้มันดีแล้วใช่ไหม?” สายตาสงสัยกำลังจับจ้องหญิงสาวผู้ร่าเริง
“ต้องดีสิ นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันต้องเพิ่มพูนประสบการณ์”
“นั่นมันก็จริง แล้วถ้าเกิดเจ็บตัวขึ้นมาล่ะ?”
“เอาน่า...ถามเยอะไม่สมกับเป็นนายเลย หรือความทรงจำเก่า ๆ เริ่มกลับมาแล้วล่ะ” ฟรานชักดาบคาตานะสีเงินออกมาชูชันดั่งการทักทาย
“ไม่รู้สิ ฉันกลัวว่าเวทมนตร์จะสร้างความเสียหายรอบ ๆ ด้วย ถึงจะอยู่ที่สนามฝึกแต่ก็ยังวางใจไม่ได้” ซึฮากิตั้งท่าเตรียมด้วยมีดสั้นอาวุธประจำตัว
“มัวแต่พูดเดี๋ยวฉันก็ฉวยโอกาสซะหรอก” ฟรานห่อหุ้มร่างกายด้วยเสริมกำลังต่อด้วยเพิ่มพละกำลังและเพิ่มความรวดเร็ว
“ก็นะ ฉันก็ไม่ได้ออกแรงมานานแล้วเหมือนกัน” ทั้งคู่สบตากันเป็นการบอกว่าพร้อมออกอาวุธทุกเมื่อ
ฟรานเปิดด้วยการลงดาบรูปแบบที่หนึ่งที่พุ่งทะลวงฟาดฟันอย่างรวดเร็วเป็นท่าที่ใช้เข้าถึงตัวได้ง่ายที่สุด จากนั้นก็เหวี่ยงดาบที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงสร้างคลื่นความร้อนกระจายไปทั่วบริเวณนั้นจนคนที่ดูอยู่ยังรู้สึกได้
แน่นอนว่าเขาต้องหลบได้ ดังนั้นเราต้องเร่งมือให้ไวกว่านี้
ฟรานสะบัดเหวี่ยงดาบเป็นบ้าเป็นหลังและยังมีการใช้เวทมนตร์เสริมอย่างกระสุนวายุหรือหินทะลวงเพื่อจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของซึฮากิ
ขณะที่กำลังไล่ต้อนซึฮากิไปจนสุดขอบสนามฝึกเธอก็โดนเตะสกัดขาตอนที่พยายามเหวี่ยงดาบทำให้ล้มหน้าคว่ำทันที
“ใจร้อนเกินไปแล้วนะฟราน” ซึฮากิเอามีดจ่อที่คอของฟรานเป็นสัญญาณว่าเธอแพ้การประลองแล้ว
“โธ่เว้ย ! ทั้ง ๆ ที่ฉันเลเวลมากกว่าทำไมถึงสู้ไม่ได้เลยล่ะ?” ฟรานดิ้นไปมาบนพื้นทำอย่างกับเด็กน้อยที่เล่นเกมแพ้
“เอาใหม่อีกรอบไหมล่ะ? ฉันเคยบอกไปแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ประสบการณ์ ดังนั้นฉันจะสร้างประสบการณ์ให้เธอเอง” ซึฮากิฉีกยิ้มมุมปากเหมือนกำลังสนุกที่ได้สอนหญิงสาวผู้ร่าเริงเหมือนเด็กใสซื่อ
ฟรานหัวเราะลั่นเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของซึฮากิ “ฝากด้วยล่ะ”
จากนั้นซึฮากิก็ยื่นมือดึงเธอขึ้นมา ส่งสายตาคาดหวังว่าเธอจะพัฒนาจากการดวลกับเขา
การดวลยังคงดำเนินไปโดยมีผู้ชมเป็นพวกคิโนริและคนจากบ้านหลักที่แอบอู้งานมาเพื่อดูพวกเธอแสดงฝีมือโดยเฉพาะ
“ใจร้อนอีกแล้วหรือเพราะมีพลังเหลือเฟือก็เลยใช้มันไม่บันยะบันยัง ในบางจังหวะที่ควรจะผ่อนแรงก็ดันก้าวเท้าลงน้ำหนักมากไปทำให้เสียศูนย์ได้ง่ายเมื่อโดนขัด”
“เอาอีกรอบ” สายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจ้องซึฮากิตาไม่กะพริบ
หลังจากลุกขึ้นสู้อีกครั้งเธอก็ยังแพ้ให้กับซึฮากิอีกเรื่อย ๆ
“ควบคุมแรงที่ใช้ได้แล้วนี่ แม้สเตตัสจะเท่ากันแต่ถ้าทักษะยังไม่ชำนาญพอก็จะแพ้ให้กับคนที่มีทักษะสูงกว่า เธอมักจะใช้เวทมนตร์ลงดาบที่เป็นของถนัดแต่ถ้าเจอคนที่ศึกษาหรือเคยรับมือกับลงดาบมาก่อนก็จะโต้กลับได้ไม่ยาก”
“รู้แล้วน่า เอาอีกรอบ”
ฟรานเก็บดาบเข้าฟักเดินวนไปรอบ ๆ เพื่อหาจังหวะเข้าประชิดตัว
“ดูเชิงนานไปแล้ว” ซึฮากิวางระเบิดมานาไว้รอบ ๆ ขณะที่เดินวนกันไปมา ระเบิดพวกนั้นทำให้ฟรานกระเด็นออกไปหลายเมตรแต่ก็มีเสริมกำลังปกป้องร่างกายไว้แต่เมื่อตอนที่เธอกำลังจะลุกอีกครั้งก็โดนมีดสั้นจ่อคออีกแล้ว
“แม้ศัตรูจะอยู่ตรงหน้าแต่ก็ต้องใส่ใจรอบข้างด้วย ถ้าให้ดีเธอก็ใช้ตรวจจับซะสิ”
“มา ! เอาอีกรอบ” ฟรานยังคงฉีกยิ้มอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่าที่ได้พบเจอเหยื่อใหม่ ๆ
ช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่พวกเขาดวลกันไม่มีหยุดพักทำให้เหล่าผู้ชมต้องประหลาดใจกับความบ้าระห่ำของซึฮากิและฟราน
“นี่มันครั้งที่เท่าไรแล้วเนี่ย?” โทลขมวดคิ้วจ้องมองการเคลื่อนไหวอันเฉียบคมของสองหนุ่มสาว
“เจ็ดสิบสองและฟรานแพ้ทั้งหมด” นาธาตอบกลับ
“เจ้าพวกนั้นมันบ้ายิ่งกว่าคนในกรมทหารอีก แล้วมีท่าทีที่ฟรานจะชนะบ้างไหม?”
นาธาได้แต่ส่ายหน้าหลังจากเห็นท่าทางเหนื่อยหอบของฟรานแต่ซึฮากิกลับยังดูสบายดี
“สุดยอดเลยพี่กิ !” คิโนริส่งเสียงเชียร์ไม่หยุดหย่อน
“เพลา ๆ ลงบ้างคิโนริเดี๋ยวก็คอแตกกันพอดี” เอพยายามสะกิดแขนดึงตัวคิโนริให้กลับมานั่งปกติ
ฟรานล้มลงอีกครั้งด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมมเหมือนขอทาน
“ยังไม่พอ จังหวะสุดท้ายเมื่อกี้เธอทำได้ดีแล้วแต่เวทตรวจจับก็โดนหลอกได้เช่นกัน ต่อให้ใช้มันได้ชำนาญแค่ไหนแต่พออยู่ในสถานการณ์เร่งรีบก็ไม่อาจดูรายละเอียดของมันได้มากนักจึงโดนหลอกล่อได้ง่าย”
“เข้าใจแล้วขออีกรอบ”
“พอก่อนเถอะ” ซึฮากิรีบตัดจบเพราะเห็นท่าทางไม่สู้ดีของฟรานถ้าเสี่ยงฝึกต่อก็อาจจะบาดเจ็บได้
“โธ่...กำลังเครื่องร้อนเลย” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่ท่าทางของเธอเหมือนคนวิ่งรอบสนามมาห้าสิบรอบ เสียงหายใจดังจนคนรอบข้างยังได้ยินกับท่าทางเหนื่อยหอบจนพูดลำบาก
“เป็นไงล่ะเจอพี่กิของหนูเข้าไป” คิโนริกระโดดโลดเต้นเข้าประชิดหวังเยาะเย้ยฟรานเต็มที่
“คราวหน้าฉันต้องชนะแน่” ฟรานฉีกยิ้มกว้างมีความสุขที่ได้ประลองกับซึฮากิ
“ไม่มีทางหรอก” คิโนริแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ฟรานทำเป็นเด็กน้อย
“เอาน่าคิโนริ ทุกคนก็ต้องมีการเรียนรู้ไม่มีใครที่เก่งมาตั้งแต่เกิดหรอก แล้วก็อย่าทำหน้าอย่างนั้นใส่ใครมั่วซั่วเชียวถ้าไม่อยากโดนดุ”
“ค่ะ !” คิโนริตอบลากเสียงยาวทำเป็นเล่น
หลังจากการดวลจบลงคนอื่นก็พากันเข้ามาดูสภาพร่างกายของพวกเขาสองคน
“ใครจะไปเชื่อว่านายเลเวลแค่หกล่ะ ดูยังไงก็เหมือนเลเวลเจ็ดที่ใกล้จะขึ้นไปเลเวลแปดมากกว่า” โทลตบหลังทักทายเล่นเอาซึฮากิเกือบทรงตัวไม่อยู่
“มาตรฐานเลเวลอยู่ต่ำขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมคงต้องคาดการณ์สเตตัสและเลเวลใหม่ซะแล้ว”
โทลหัวเราะลั่นเพราะเห็นท่าทีกวนประสาทหน้าตายของซึฮากิ “นั่นมันก็แค่เปรียบเปรยเองน่า แต่นายก็สามารถเอาชนะเลเวลเจ็ดได้จริง ๆ ดังนั้นในอนาคตนายก็อาจจะข้ามไปอีกขั้นก็ได้”
“อา ! ข้าก็อยากสู้เหมือนกันนะเว้ย” บองตะโกนลั่นด้วยท่าทางวางมาดกับร่างกายอันใหญ่โตที่ใครเห็นต่างก็ต้องกลัว
“ไม่ใช่ว่านายเตรียมตัวไว้สู้กับเซนหรอกเหรอ? เอาแรงมาเสียกับฉันเปล่า ๆ ก็คงไม่ดีนัก”
“ก็ไอ้มนุษย์ไฟมันไม่ยอมรับคำท้าสักที ข้าฝึกทุกวันเพื่อแก้แค้นมันเชียวนะ”
“ถ้างั้นก็ไปฝึกกับคุณนาธาก็แล้วกัน”
“หา? ทำไมถึงโยนมาที่ฉันเล่า” ไม่ทันได้ตั้งตัวบองก็ลากตัวนาธาไปที่สนามฝึกเสียแล้ว
“ส่วนลุงโทลผมขอคุยสักเดี๋ยวนะครับ”
หลังจากนั้นซึฮากิก็แยกตัวกับเพื่อน ๆ มากับโทลสองคนในที่ลับตา
“ที่ผมจะบอกก็คือ...กำลังจะมีสงคราม”
“ว่ายังไงนะ ! ที่ไหน?”
“อาณาจักรนอด นั่นคือสงครามระหว่างสองขั้วอำนาจ” ซึฮากิกวาดสายตาไปรอบ ๆ ดูว่ามีใครอยู่ใกล้หรือเปล่า
“แล้วคิดว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน?”
“อืม...ดูจากเลเวลและกำลังพลคงเสียหายได้มากถึงสองในสิบของอาณาจักรนอด”
“ที่บอกพวกเราก็แสดงว่ามีแผนอะไรที่จะใช้ประโยชน์จากสงครามใช่ไหม? หรือจะไปเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อแสดงน้ำใจไมตรีจิต”
“ใช่ครับ เราจะเลือกฝั่งและถ้าชนะขึ้นมาเราก็จะได้สิทธิประโยชน์ไม่ว่าจะการค้าขายหรือข้อมูล”
“ที่มาบอกฉันก็คงต้องการกำลังพลเพื่อส่งไปเสริมทัพสินะ” โทลกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ถูกต้องครับ แต่ก็เป็นเพียงการสำรองกองทัพเพราะการส่งคนของเราไปมันค่อนข้างเสี่ยง ดังนั้นในช่วงแรกเราจะทำแค่ส่งทรัพยากรไปช่วยเท่านั้น รอให้ถึงเวลาที่ไม่ไหวจริง ๆ ก็ค่อยส่งกำลังเสริมไป”
“ได้ ๆ ฉันจะเตรียมกำลังพลมีฝีมือไว้ให้ แล้วถ้าเกิดมีคนบุกเมืองของเราจะทำยังไงล่ะ?”
“ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหากับระบบรักษาความปลอดภัยและเรายังมีพวกลิงเมฆาอีก ไม่ว่าจะเคานต์ บอง เฮรา กอนด้าหรือมังกี้ พวกนั้นต่างก็มีฝีมือในระดับสูงที่โจรทั่วไปทำอะไรไม่ได้แน่นอน”
“อืม ๆ เอาตามนั้นก็ได้ ฉันจะได้จัดทีมสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินด้วย”
“ครับขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”
“เรื่องแค่นี้เอง คนที่เคยเป็นทหารมีประสบการณ์มาก่อนอย่างฉันก็ควรจะทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว”
อาเธอร์หนึ่งในขุนนางที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรนอด อำนาจที่สามารถเทียบเคียงกับราชวงศ์ได้แต่เพราะพลังของจักรพรรดินีผู้ที่มีเลเวลเก้าทำให้เขาทำอะไรมากไม่ได้
หลังจากแยกย้ายซึฮากิก็กลับไปที่บ้านหลักเพื่อทำเอกสารวิเคราะห์กองกำลังของอาณาจักรนอด
เมื่อวานคุณวิกตอเรียโทรมารายงานเรื่องแปลก ๆ ให้ฟัง เรื่องที่อาณาจักรนอดจัดงานยิ่งใหญ่หลายครั้งเหมือนเอางบประมาณที่หักคืนจากกองทัพมาใช้เล่น ๆ
“ทำอะไรหน้าเครียดเชียว” ฟรานสวมกอดจากด้านหลังพยายามมองดูเอกสารที่ซึฮากิเขียนด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ข้อมูลของอาณาจักรนอด สงครามกำลังจะเกิดดังนั้นฉันต้องรีบหาฝ่ายที่ได้ประโยชน์มากที่สุด”
“งั้นเหรอ...แล้วเลือกได้ยังล่ะ?” เธอป้อนขนมหวานให้ซึฮากิไปด้วยขณะที่เกาะอยู่ด้านหลัง
“จากสถิติกำไรของตระกูลเลรอซองมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงปีละสามถึงห้าเปอร์เซ็นต์ แถมยังร่วมมือกับราชวงศ์ราฟาที่ปกครองอาณาจักรนอดมาตั้งแต่สมัยยุคปฏิวัติ กลับกันทางฝั่งแคทเทอรีนก็มีดีแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นซึ่งเธอไม่มีกิจการหรือธุรกิจอะไรสักอย่างเลย”
“ถ้างั้นจะเลือกฝั่งเลรอซองเหรอ?”
“ก็คงงั้น ฉันพยายามหาข้อมูลให้มากที่สุดแล้วแต่ฝั่งแคทเทอรีนก็ไม่มีอะไรเลย”
“อืม...ฉันรู้สึกว่าเลือกฝั่งแคทเทอรีนจะดีกับเรามากกว่า แต่ช่างมันเถอะก็แค่ความรู้สึกเฉย ๆ”
“ยังพอมีเวลาดังนั้นรอดูต่อไปก็ได้ สถานการณ์ทางฝั่งแคทเทอรีนค่อนข้างเสียเปรียบกว่าในเรื่องจำนวนแต่ก็ไม่รู้ว่าฝั่งอาเธอร์จะรับมือกับผู้มีเลเวลเก้าได้ยังไง”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฝั่งที่เราเลือกแพ้สงคราม” ฟรานนั่งลงตรงข้ามกับซึฮากิเปิดเอกสารดูคร่าว ๆ
“ถ้าอีกฝั่งไม่รู้ว่าเอลโฟเรียเป็นคนสนับสนุนก็รอดตัวไป แต่ถ้าเกิดรู้ก็คงตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย”
ในทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ได้มีการรวมตัวของเหล่านักโทษที่อยู่ภายใต้การควบคุมของยาซากะ ผู้คนมากหน้าหลายตาที่มีทั้งโทษคดีเล็กอย่างขโมยของไปจนถึงการฆ่าข่มขืน
“คุณแคทเทอรีนให้เรียกพวกเขามาทำไมครับ?” ยาซากะเอ่ยถาม
“นายก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันจะไปทวงคืนตำแหน่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องหากำลังพลสักหน่อยแม้จะเป็นนักโทษก็ตาม”
“ไม่ใช่ว่าคุณไปคนเดียวจะง่ายกว่าเหรอ? แต่ข้าก็เห็นด้วยที่เตรียมกำลังคนไว้อาจจะใช้เป็นเหยื่อล่อหรือคนคอยส่งข่าวก็ได้”
“เหมือนคนที่หมู่บ้านจะมากันครบแล้วครับ” คาร์เตอร์ตรวจสอบจำนวนและรายงานให้แคทเทอรีนฟัง
แคทเทอรีนสร้างแท่นน้ำแข็งเดินขึ้นไปสูงเป็นจุดเด่น “หลังจากนี้พวกนายทุกคนจะได้ออกไปข้างนอก...ในฐานะทหารของฉัน”
แทนที่จะเป็นเสียงโห่ร้องดีใจแต่กลับเงียบกริบเหมือนเห็นชะตากรรมในอนาคต
“ไม่ดีใจหรือยังไงที่จะได้เป็นอิสระ พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าที่นี่มันโหดร้ายแค่ไหน ฉันสัญญาว่าถ้าชนะสงครามพวกนายจะได้อิสระที่แท้จริง มีทั้งเงิน ตำแหน่งและหน้าที่การงาน” แม้จะโน้มน้าวเพียงใดพวกเขาก็ยังรู้สึกหวั่น ๆ กับการทำสงคราม ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้มันเกิดทั้งนั้นเพราะเมื่อเกิดขึ้นก็จะต้องมีคนสูญเสีย
“เดี๋ยวผมขอพูดได้ไหมครับ?”
“เอาสิคาร์เตอร์ บางทีพวกเขาอาจจะกลัวฉันก็ได้” เมื่อแคทเทอรีนลงจากแท่นน้ำแข็งคาร์เตอร์ก็ก้าวเดินขึ้นไปอย่างระมัดระวังกลัวจะลื่น
“ทุกคนอย่าได้แตกตื่น ! แม้จะเป็นทหารของคุณแคทเทอรีนแต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปเสี่ยงในสงคราม แผนการที่พวกเราเตรียมไว้ก็คือการเจรจาเป็นอันดับแรกและหากล้มเหลวจนเกิดสงคราม สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือลักลอบเข้าไปขโมยมานาสำรองจากคลังเพื่อนำมาให้คุณแคทเทอรีนและคุณทีโอน่าใช้ ดังนั้นโปรดวางใจเพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงต่อสู้ในสงคราม”
การอธิบายหน้าที่ของพวกเขาทำให้วางใจลงได้มากแต่ก็ยังมีคนที่ไม่อยากเข้าร่วมอยู่ดี แม้จะสัญญาปากว่าจะให้ตำแหน่งหรือเงินแต่ก็ไม่อาจซื้อใจคนพวกนั้นได้หมด
22 เมษายน พ.ศ.2576
สุดท้ายแคทเทอรีนก็ออกจากแดนเถื่อนและมุ่งหน้าไปยังเมืองเอเธนที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรนอด
“นี่เราต้องปลอมตัวจริง ๆ เหรอ?” พวกแคทเทอรีนสวมชุดคลุมทั้งตัวเพื่อหนีจากสายตาของผู้คนที่มางานสังสรรค์
“มันแน่อยู่แล้วสิครับ ถ้าเกิดผู้คนเห็นเดี๋ยวก็ได้แตกตื่นกันพอดี” นับวันคาร์เตอร์ยิ่งพูดจาสนิทสนมกับพวกแคทเทอรีนอย่างเห็นได้ชัดแต่อย่างน้อยก็ยังเรียกด้วยคุณอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้ ! ห้ามคนนอกเข้าไปในเขตที่พำนักของท่านเอเลเด็ดขาด” ทหารยามตะเบ็งเสียงแข็งพยายามไล่พวกเขาออกไปแต่พอได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจ้องตาเขม็งจึงยอมเปิดประตูให้แต่โดยดี
“เหมือนพกบัตรผ่านติดตัวตลอดเลยนะครับ”
“แหม...ตลกตายแหละ ตอนแรกฉันก็จะเดินเปิดตัวมาเลยจะได้เข้ามาไว ๆ แต่ไหน ๆ ก็ปกปิดตัวแล้วก็ทำมันให้สุดไปเลยแล้วกัน” พวกเธอเดินฝ่าทหารยามเข้าไปได้อย่างง่ายดายด้วยการเปิดหน้าแคทเทอรีนแสดงความน่าเกรงขามที่ใคร ๆ ต่างก็จำขึ้นใจ
“ห้องนี้ห้ามเข้านะครับ” แคทเทอรีนฝ่าทหารยามที่คอยเฝ้าประตูเข้าห้องของเอเล เสียงเปิดประตูดังลั่นเป็นดั่งการประกาศตัวให้รู้โดยทั่วกัน
“มาแล้วสินะแคทเทอรีน” เสียงตอบรับอันเฉยชาราวกับรู้ว่าเธอต้องมาหา
แคทเทอรีนก้าวเข้าไปในห้องอยู่กันสองต่อสองราวกับเป็นการประชันพลังอำนาจกัน
“โห่...นี่ท่านเตรียมเก้าอี้ไว้ให้เลยสินะ” เธอนั่งลงตรงหน้าเอเลโดยไม่มีความเกรงใจ
“อาเธอร์คาดการณ์ไว้ว่าเจ้าต้องกลับมา ถ้าจะพูดอะไรก็รออาเธอร์มาก่อนก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องรอเขาด้วยล่ะ?”
พูดไม่ทันขาดคำอาเธอร์ก็เปิดประตูเข้ามาพอดีและเมื่อเห็นหน้าแคทเทอรีนเขาก็ฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“กราบสวัสดีคุณแคทเทอรีนด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องมาลีลาเลย ถ้าอยากพูดอะไรก็รีบพูดมา”
อาเธอร์หัวเราะในลำคอ “อย่างที่คุณรู้ว่าตำแหน่งผู้ปกครองอาณาจักรนอดเป็นของท่านเอเล ดังนั้นคุณในตอนนี้เป็นแค่ทหารผ่านศึกเท่านั้นมิอาจใช้อำนาจสั่งการเหมือนอย่างเคยได้อีก”
“แล้ว? รู้ไหมว่าถ้าฉันอยากลบเมืองนี้ออกไปก็ทำได้ทันที”
“นี่คุณจะฆ่าผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนเลยหรือครับ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่เคยปกครองพวกเขากลับพูดว่าจะฆ่าคนเหล่านั้นได้ง่าย ๆ เช่นนี้” คำพูดคำจาประชดประชันทำให้แคทเทอรีนกัดฟันกรอด
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นแผนของนาย ตั้งแต่เรื่องดันเจี้ยนไปจนถึงการหลอกให้เซ็นชื่อบ้า ๆ นั่น”
“อะไรกันครับผมไม่ได้หลอกสักหน่อย ตอนนั้นที่ผมบอกให้เซ็นก็เพราะจะได้เก็บข้อมูลการเข้าดันเจี้ยน เอกสารมันมีหลายเรื่องให้เซ็นแต่พวกคุณไม่อ่านกันเองนี่”
“เหอะ ฉันไม่คิดเลยว่านายจะเป็นคนอย่างนี้ ฉันอุตส่าห์เพิ่มงบประมาณผลิตอาวุธให้แท้ ๆ แถมยังเชื่อใจให้ทำงานเบื้องหลังหลาย ๆ อย่างอีก”
“ผมแค่ต้องการทำให้อาณาจักรนอดพัฒนาไปได้ไกลที่สุด และแน่นอนว่าการเพิ่มกองกำลังทหารในยุคที่ไม่มีสงครามช่างเป็นเรื่องน่าขำยิ่งนัก คุณกำลังเอางบประมาณมหาศาลไปใช้กับการสร้างกองทัพที่ไม่ได้ใช้งานหรือคุณจะฝ่าฝืนสนธิสัญญาของท่านผู้นั้น”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันอาเธอร์ ทำไมถึงไม่พูดคุยกันให้เข้าใจแต่กลับหลอกพวกฉันและโยนเข้าไปในดันเจี้ยนบ้า ๆ นั่น”
“เพราะวิธีนั้นมันแน่นอนกว่ายังไงล่ะครับ แล้วตอนนี้คุณเห็นสีหน้าของประชาชนหรือยัง? พวกเขาต่างก็รู้สึกโล่งใจที่จะไม่ทำสงครามหรือคุณยังอยากทำเช่นนั้นอยู่” อาเธอร์ยื่นเอกสารให้กับเอเลที่นั่งฟังเงียบ ๆ
“ฉันทำมันมาถึงขนาดนี้แล้วไม่คิดจะเลิกกลางคันหรอก และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันยอมประนีประนอมด้วย เลือกมาว่าจะคืนบัลลังก์มาดี ๆ หรือจะให้ฉันต้องใช้กำลัง”
“ใจเย็นก่อนสิครับคุณแคทเทอรีน คุณคงไม่ทำร้ายท่านเอเลที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านรามอน ราฟา ใช่ไหมครับ?”
แคทเทอรีนเดาะลิ้นหงุดหงิดที่อาเธอร์พูดแทงใจดำเช่นนั้นก่อนจะแผ่ความหนาวเหน็บไปทั่วห้อง
“ฉันจะให้เวลาสองวัน เมื่อถึงตอนนั้นแล้วยังไม่ประกาศลงจากตำแหน่งจักรพรรดิฉันจะมาอีกครั้ง...ในฐานะแม่ทัพผู้นำสงคราม”
เธอถีบประตูออกไปทั้งอย่างนั้นโดยมีคาร์เตอร์และทีโอน่ารออยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าท่าทางเป็นกังวลจนยืนไม่สุข
“ไปกันเถอะ อีกสองวันเราจะได้เห็นผลลัพธ์กันแล้ว”
หลังจากที่แคทเทอรีนออกไปได้ไม่นานอาเธอร์ก็เริ่มเจรจาหารือว่าจะทำยังไงกันต่อดี
“อย่างที่ท่านเห็น แคทเทอรีนพยายามจะก่อสงครามภายในเพื่อแย่งชิงตำแหน่งคืน ดังนั้นเราต้องเตรียมมาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้า”
“อืม ข้าก็พอเข้าใจนิสัยแบบนั้นเพราะเห็นเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก ทีนี้เราจะทำยังไงต่อล่ะหรือยอมทำตามที่เธอต้องการไปเลย” เอเลเอนหลังนั่งเก้าอี้พลางอ่านข้อตกลงในเอกสารที่อาเธอร์ยื่นให้
“เราต้องทำเพื่อประชาชนที่รักท่านนะครับ ถ้าเกิดเราถอยก็แปลว่าแคทเทอรีนจะกลับมาใช้วิธีปกครองแบบเดิม”
“ถึงข้าจะอยากต่อต้านแคทเทอรีนก็เถอะแต่เธอก็เป็นผู้มีเลเวลเก้าเลยนะ ความแข็งแกร่งของเธอนั้นมีมากกว่ากองทัพทั้งกองเสียอีก”
“ไม่ต้องห่วงครับท่านเอเล เพียงแค่ท่านอนุมัติเรื่องงบประมาณให้กระผม...ผมจะจัดการที่เหลือให้เอง”
“นี่ข้าเชื่อที่เจ้าพูดได้มากแค่ไหนกัน แถมเอกสารนี่มันไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณแต่ยังมีทรัพย์สินและชื่อเจ้าของกิจการทั่วทั้งอาณาจักรนอดอีก นี่เจ้าอยากจะฮุบอำนาจทั้งหมดไว้เพียงตระกูลเดียวเลยหรือยังไง?”
อาเธอร์หัวเราะสั้น ๆ “นี่แหละครับเป็นวิธีที่จะสู้กับแคทเทอรีนได้ ตอนนี้ผมกำลังผลิตอาวุธพิเศษเอาไว้ใช้ต่อกรกับผู้มีเลเวลเก้าแต่มันก็ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก เพราะฉะนั้นท่านโปรดเข้าใจผมด้วยครับ”
เอเลถอนหายใจมองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดถึงอนาคตและความเป็นไปได้ว่ามันคุ้มกับที่เขาจะเซ็นมันหรือไม่
“ในเมื่อมาไกลถึงขนาดนี้แล้วข้าคงจะไม่มีทางเลือก” เอเลเซ็นอนุมัติการเพิ่มงบประมาณสร้างอาวุธและการยกทรัพย์สินให้กับตระกูลเลรอซอง
“ขอบพระคุณเป็นอย่างมากครับท่านเอเล ผมสัญญาว่าจะทำให้อาณาจักรนอดเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าที่แห่งอื่น” ขณะที่กำลังกล่าวขอบคุณเขาก็ยกมือโบกเรียกใครบางคนจากมุมมืดของห้อง
คมมีดสีเงินแทงเข้าที่หัวใจพอดีโดยที่เอเลยังไม่รู้ตัว
“เจ้า...ทำไม...” ไม่ทันได้สั่งเสียหรือสาปแช่งเขาก็หมดสิ้นลมหายใจไปเสียก่อนหลังจากนั้นก็มีเวทมนตร์น้ำแข็งจากมีดสั้นแช่ทั้งร่างเป็นดั่งประติมากรรมช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
“ช่วยด้วย ! ท่านเอเลโดนทำร้าย” อาเธอร์แบกร่างที่โดนแช่แข็งออกไปหาทหารยามข้างนอก
ทั้งทหารและหน่วยแพทย์ต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันไปหมดแต่ก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพจักรพรรดิเอเลได้
มาถึงขั้นนี้แล้วสินะ จากนี้ไม่มีทางถอยได้อีกแล้ว
“อย่าพึ่งประกาศให้ประชาชนรู้เด็ดขาด หากเป็นเช่นนั้นมีหวังได้เกิดความวุ่นวายเป็นแน่”
“ใครเป็นคนทำ !” จู่ ๆ หัวหน้าหน่วยคุ้มกันก็ตะโกนขึ้นมากลางหมู่คนจำนวนมาก
อาเธอร์กัดฟันด้วยความโกรธแค้น “แคทเทอรีน...เธอบุกมาที่ห้องของท่านเอเล ผมพยายามขัดขวางแล้วแต่พลังของเธอมันเหนือชั้นเกินไปจน...”
ด้วยหลักฐานพยานมากมายที่เหล่าทหารยามโดนแคทเทอรีนข่มขู่รวมกับเวทน้ำแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ทุกคนเชื่อทันทีว่าเป็นฝีมือของเธอ
“ตอนนี้เธอยังไปได้ไม่ไกลนัก รีบไปตามจับเร็ว”
“เดี๋ยวก่อน” อาเธอร์พูดขัดเสียก่อนที่เหล่าทหารจะออกไป
“มีปัญหาอะไรครับคุณอาเธอร์ ถ้าเกิดช้ากว่านี้พวกเราจะพลาดโอกาสนะครับ”
“ใจเย็นก่อนทุกคน ด้วยกำลังพลของเราตอนนี้ไม่มีทางจับตัวแคทเทอรีนได้แน่” แม้พวกเขาจะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังรู้สึกโกรธแค้นจนอยากระเบิดอารมณ์ออกมา
“แล้วจะให้เราทำยังไง? ปล่อยให้เธอทำอะไรตามใจชอบเลยไหมล่ะ” ถ้อยคำประชดประชันของหัวหน้าทหารยามตะเบ็งเสียงใส่อาเธอร์
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น ผมกำลังผลิตอาวุธพิเศษอยู่และมันใกล้จะสำเร็จแล้ว ดังนั้นพวกคุณแค่แจ้งข่าวให้เหล่ากองทัพทั้งหมดได้รับรู้และเตรียมกำลังพลไว้ให้มากที่สุด...พวกเราจะต้องแก้แค้นให้ท่านเอเล”
สิ้นเสียงสั่งการเหล่าทหารก็พากันไปประชุมหารือและส่งม้าเร็วไปยังค่ายทหารทั่วอาณาจักรนอดทันที
รอพี่อีกนิดเดียวเท่านั้น ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนของเรา อาเธอร์หวนคิดถึงน้องชายที่ต้องโดนขังไว้ในคุกของตระกูล รูปร่างอันผอมโทรมค่อย ๆ ตักอาหารสีแดงสดเข้าปากราวกับขุนนางตกอับที่ยังรักษามารยาทแม้จะโดนโซ่ล็อกแขนขาอยู่ก็ตาม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 223
แสดงความคิดเห็น