ตอนที่ 411 แววตาของปีศาจ
ตอนที่ 411 แววตาของปีศาจ
“อีก 3 ปีงั้นเหรอ…” เซี่ยเฟยอุทานกับตัวเองขึ้นมาอย่างเหม่อลอย
ถึงแม้ว่าหยูเจียงกับหยูฮัวจะจากไปแล้วแต่พวกเขาก็ยังคงสร้างความลำบากใจให้กับชายหนุ่มมาจนถึงปัจจุบัน เพราะท้ายที่สุดนักสู้ทุกคนย่อมแสวงหาความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง และการได้เรียนรู้กฎแห่งจักรวาลย่อมสามารถเพิ่มพลังให้กับเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นเดียวกัน เพราะเจตนาของชายปริศนาทั้งสองคนนั้นยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
แต่เมื่อชายหนุ่มได้คิดถึงทฤษฎีการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม มันก็ทำให้เขากลับมามีสติได้อีกครั้ง เพราะท้ายที่สุดความเสี่ยงกับโอกาสเป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันอยู่เสมอ และความเสี่ยงในครั้งนี้มันก็คุ้มค่าที่เขาจะลองดู
ขนอุยยังคงนอนอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้าน โดยฝังตัวเองเอาไว้ใต้กองหนังสือราวกับมันเป็นแมวที่กำลังหลับใหล
ในระหว่างที่หยูเจียงได้แสดงพลังออกมาขนอุยก็ได้แสดงด้านที่ดุร้ายออกมาเช่นเดียวกัน ซึ่งด้านที่ดุร้ายนั้นก็อาจจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของมันก็ได้ใครจะรู้ โชคดีที่เป้าหมายความโกรธของขนอุยไม่ใช่ตัวเซี่ยเฟย และการแสดงพลังครั้งนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยินดี เพราะถึงแม้ว่าขนอุยจะมีนิสัยเกียจคร้านและเจ้าเล่ห์ไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยเมื่อมันเติบโตมันก็คงจะกลายเป็นคู่หูร่วมรบสำหรับเขาได้
“ขอบใจมากไอ้ตัวขี้เกียจ” เซี่ยเฟยกล่าวกับขนอุยด้วยรอยยิ้ม
ขนอุยขยับตัวเล็กน้อยราวกับว่ามันไม่พอใจที่มันถูกด่าว่าเป็นตัวขี้เกียจ ก่อนที่มันจะกลับไปนอนหลับต่อโดยไม่สนใจเรื่องราวใด ๆ เลย
ระหว่างนั้นกระป๋องก็นำถ้วยน้ำชามาเสิร์ฟให้กับเซี่ยเฟย ซึ่งชายหนุ่มกำลังยืนอยู่กลางห้องบัญชาการและมองไปยังลูกบอลพลังงานที่หยูเจียงได้ทิ้งเอาไว้ให้กับเขาอย่างสงสัย
“เซี่ยเฟยจู่ ๆ ฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” อันธกล่าว
“เรื่องอะไร?” เซี่ยเฟยถาม
“นายเคยได้ยินเรื่องที่สัตว์อสูรจะเติบโตตามลักษณะนิสัยของเจ้านายไหม?” อันธกล่าว
“มันมีบันทึกในจารึกมนตราอสูรอยู่เหมือนกันว่าสัตว์อสูรหลาย ๆ ตัวจะมีนิสัยเหมือนเจ้าของ โดยเฉพาะสัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงดูโดยเจ้าของตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากนี้มันยังมีสัตว์อสูรบางตัวที่สามารถดูดซับพลังงานจากเจ้าของของมันได้ ซึ่งมันก็ทำให้สัตว์อสูรประเภทนั้นยิ่งมีนิสัยเหมือนกับเจ้าของมันมากขึ้นกว่าเดิม” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“นี่นาย?! อย่าบอกนะว่านายกำลังคิดว่านิสัยของขนอุยเหมือนกับนิสัยของฉันงั้นเหรอ?”
“นายก็ลองดูนิสัยมันสิ” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยแทบจะพ่นน้ำชาออกมาจากปาก ก่อนที่เขาจะชี้ไปยังขนอุยที่นอนขี้เกียจอยู่บนโซฟาและกล่าวแย้งขึ้นมาว่า
“ฉันเคยขี้เกียจเหมือนมันไหม? แล้วฉันมีนิสัยเจ้าเล่ห์แบบมันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“นายไม่ได้มีนิสัยเจ้าเล่ห์จริง ๆ เหรอ? ตั้งแต่ที่ฉันอยู่กับนายมานายแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาตั้งหลายครั้ง ฉันคิดว่าขนอุยน่าจะได้นิสัยนี้มาจากนายนั่นแหละ” อันธกล่าว
คำพูดนี้ทำให้เซี่ยเฟยผงะไปเล็กน้อย แต่สิ่งที่อันธพูดออกมาก็สมเหตุสมผลอยู่เช่นกัน เพราะเซี่ยเฟยเชื่อเสมอว่าการใช้ความเจ้าเล่ห์ออกมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังทำใจยอมรับได้อย่างยากลำบากที่อันธมาบอกว่าเขามีนิสัยเหมือนกับขนอุยแบบนี้
“พวกสัตว์อสูรมักจะคิดว่าสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่พวกมันเห็นคือแม่ของมัน และการที่ขนอุยเกิดต่อหน้านายมันย่อมคิดว่านายเป็นพ่อแม่มันอย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังอาศัยอยู่ในกระเป๋าเสื้อนายหลังจากที่มันเกิดเป็นเวลาหลายเดือน แล้วมันก็ดูดซับพลังงานจากลูกบอลพลังงานที่นายสร้างขึ้นมาไปแล้วหลายครั้ง”
“ที่สำคัญคือมันได้ทำพันธสัญญากับนายด้วย มันจึงทำให้การเชื่อมโยงระหว่างพวกนายมีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ฉันบอกตรง ๆ นะว่าบางครั้งฉันก็เห็นเงาของนายบนร่างของขนอุย ฉันว่านิสัยของมันคงจะคล้ายนิสัยของนายมากขึ้นเรื่อย ๆ” อันธอธิบายสิ่งที่เขาเห็นจากมุมมองของตัวเอง
ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะไม่ได้ทำพันธสัญญากับขนอุย แต่เงื่อนไขในก่อนหน้านี้มันก็มากพอที่จะทำให้เจ้าหนูนี่มีนิสัยเหมือนกับเซี่ยเฟยแล้ว
“ก่อนหน้านี้นายก็ได้เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วใช่ไหมว่าความดุร้ายที่ขนอุยได้แสดงออกมา มันคล้ายกับตอนที่นายกำลังต่อสู้กับศัตรูอย่างสิ้นหวัง และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเอาเรื่องนี้มาคิดอย่างจริงจัง และฉันก็พบว่านิสัยหลาย ๆ อย่างของมันเหมือนกับนิสัยของนายมากจริง ๆ”
เซี่ยเฟยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและไม่คิดที่จะสนทนากับอันธอีกต่อไป ท้ายที่สุดการที่ขนอุยได้เรียนรู้นิสัยจากเขาไปมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเพียงแต่เขาไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง
เซี่ยเฟยหันไปมองลูกบอลพลังงานที่หยูเจียงทิ้งเอาไว้ ก่อนที่เขาจะใช้ปลายนิ้วแตะลูกบอลก้อนนี้เบา ๆ ทันใดนั้นปลายนิ้วของเขาก็มีอาการชาขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับกระแสพลังงานที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้าที่พุ่งตรงเข้าไปสู่จิตใจของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
—
ในห้องบัญชาการของกองยานเซิร์กขนาดใหญ่ที่บนยานรบถูกอัดแน่นไปด้วยฝูงเซิร์กเผ่าพันธุ์ตั๊กแตน และในกองยานแห่งนี้ก็มียานบัญชาการอยู่เป็นจำนวนหลายร้อยลำ
ปลายทางของกองยานนี้คือกาแล็กซีวีนอล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกลุ่มดาวนครหลวงของพันธมิตรมนุษย์ แล้วมันก็เป็นพื้นที่ศูนย์กลางที่มนุษย์เอาไว้ใช้ทำธุรกรรมที่สำคัญอีกด้วย
ภาพที่ปรากฏนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อย ซึ่งในความเป็นจริงสิ่งสำคัญที่สุดในกาแล็กซีวีนอลสำหรับเขาไม่ใช่กลุ่มดาวนครหลวงแต่เป็นบ้านของแอวริลต่างหาก
ภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นภาพที่เกิดขึ้นไม่กี่เดือนก่อนงั้นเหรอ?
แล้วหยูเจียงไปเอาภาพพวกนี้มาจากไหน?
เมื่อภาพเหตุการณ์มีความเกี่ยวพันกับแอวริล เซี่ยเฟยจึงเฝ้าดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง โดยหวังว่าเขาจะได้เห็นหลักฐานอะไรบางอย่างว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่จากภาพที่กำลังแสดง
เซี่ยเฟยพยายามบอกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าผู้หญิงใจดีอย่างแอวริลควรจะมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เขากลับต้องรู้สึกทรมานเพราะเขาไม่มีหลักฐานใด ๆ เอาไว้เชื่อมโยงกับความคิดของตัวเองเลย
ตูม! ตูม!
เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องสนั่นไปทั่วทั้งจักรวาล และถึงแม้กองยานป้องกันของพันธมิตรจะพยายามออกมาต่อต้าน แต่จำนวนของมนุษย์ก็มีน้อยมากจนเกินไป กองยานของพันธมิตรจึงพ่ายแพ้หลังจากที่กองยานเซิร์กจู่โจมเข้าไปเพียงแค่ไม่กี่ระลอก
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็สังเกตเห็นตราสัญลักษณ์คล้ายกับใยแมงมุมบนยานอวกาศพลเรือนลำหนึ่ง ซึ่งตราสัญลักษณ์นั้นคือโลโก้ของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ด
ภาพเหตุการณ์นี้คล้ายกับรู้ว่าเซี่ยเฟยกำลังให้ความสนใจยานอวกาศลำนั้น มันจึงทำให้จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นภาพเหตุการณ์ใหม่ที่ปรากฏขึ้นมาแทน
ครั้งนี้ภาพที่เซี่ยเฟยเห็นคือหญิงสาวหน้าซีดกำลังยืนอยู่ที่ช่องหน้าต่าง แล้วมองออกไปยังทะเลดวงดาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ซึ่งใบหน้าของเธอสวยงามราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิและถึงแม้ว่าบนใบหน้าของเธอจะเต็มไปด้วยรอยเปื้อน แต่เซี่ยเฟยก็ยังคงจดจำใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ได้เป็นอย่างดี
“แอวริล!” เซี่ยเฟยใช้มือจิกผมของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เพราะยานของเซิร์กกำลังแล่นเข้ามาใกล้แอวริลมากขึ้นเรื่อย ๆ และปากกระบอกปืนก็กำลังมุ่งเป้ามายังยานลำนั้นที่แอวริลอาศัยอยู่
“อย่า!!!!!” เซี่ยเฟยตะโกนคำรามออกมาดังลั่น แต่เสียงนั้นคล้ายกับไม่ใช่เสียงที่ดังออกมาจากลำคอแต่มันคล้ายกับเสียงที่ดังออกมาจากหัวใจ
ตูม!
การจู่โจมนี้ก่อให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ก่อนที่ยานพลเรือนที่แอวริลอาศัยอยู่จะตกอยู่ภายใต้กองเพลิงที่โหมกระหน่ำ
—
“ท่านผู้นำของขวัญที่คุณทิ้งเอาไว้ให้กับเซี่ยเฟยคืออะไรงั้นเหรอครับ?” หยูฮัวกล่าวถามอย่างสงสัย
“สิ่งที่ฉันให้เขาไปมันก็คือสิ่งที่เขากลัวที่สุดนั่นแหละ” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“แล้วเขากลัวอะไรมากที่สุดเหรอครับ?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในจิตใจของทุกคนต่างก็มีความกลัวหลบซ่อนเอาไว้อยู่เสมอ ทันทีที่เขาสัมผัสกับลูกบอลพลังงานลูกนั้นมันจะกระตุ้นให้เขาได้เห็นภาพนิมิตในทันที และภาพที่ปรากฏก็จะเป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุดในตอนนั้น” หยูเจียงกล่าว
“คุณกำลังลงโทษเขาอยู่ใช่ไหมครับ? คุณถึงได้ให้เขาเห็นภาพที่น่ากลัวที่สุดแบบนั้น” หยูฮัวกล่าวถาม
“สภาพจิตใจของเซี่ยเฟยแข็งแกร่งมาก แม้แต่แรงกดดันของฉันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขายอมแพ้ได้ แต่ทุก ๆ คนย่อมมีด้านที่อ่อนแอของตัวเอง ครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงโทษที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ให้เกียรติฉันอย่างที่ควรจะเป็น” หยูเจียงกล่าว
“ท่านผู้นำช่างฉลาดหลักแหลมจริง ๆ ถึงแม้ว่าแรงกดดันของคุณจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่คุณก็ยังเลือกจู่โจมเข้าใส่จุดอ่อนที่เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เหตุผลที่ฉันทำก็ไม่ใช่เพียงแค่การลงโทษเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยให้เขาสามารถปล่อยวางภาระที่อยู่ภายในใจของเขาด้วย นายก็น่าจะรู้ว่าในดินแดนกฎยากที่จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน”
“แล้วถ้าหากว่าใครต้องการที่จะเติบโตในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องทิ้งภาระในจิตใจและต้องยอมแบกรับแรงกดดันอันหนักอึ้งที่ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็สามารถจะแบกรับภาระพวกนั้นเอาไว้ได้ง่าย ๆ” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าในระยะไกล
“ขอบคุณผู้อาวุโส หยูฮัวน้อมรับคำสั่งสอน” หยูฮัวคำนับด้วยความเคารพหลังจากที่หยูเจียงได้กล่าวคติพจน์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
—
เซี่ยเฟยไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นคือภาพลวงตา แล้วในพริบตามันก็ทำให้เขาตกอยู่ภายใต้ความสิ้นหวังในทันที ท้ายที่สุดภาพที่เขาเพิ่งเห็นไปก็คือภาพที่ผู้หญิงที่เขารักถูกทำลายหายไปต่อหน้าต่อตา ที่สำคัญก็คือเขาไม่สามารถที่จะยื่นมือออกไปช่วยเหลือเธอได้ด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าภาพลวงตาจะหายไปตั้งนานแล้วแต่เซี่ยเฟยก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่จิตใจของเขากลับกำลังว่างเปล่าและหัวใจของเขาก็กำลังรู้สึกเจ็บปวดจนทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเคลื่อนไหวได้
หลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่นาที เซี่ยเฟยกลับดูเหมือนแก่ลงไปอีก 10 ปีก็ไม่ปาน
แม้แต่ขนอุยที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ มันจึงรีบกระโดดออกมาจากโซฟาด้วยความเร่งรีบ แต่น่าเสียดายที่ความโศกเศร้าที่กำลังเกิดขึ้นกับเซี่ยเฟยในตอนนี้เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่ามันจะทำความเข้าใจได้
ขนอุยกับเซี่ยเฟยมีจิตที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และความเสียใจของเซี่ยเฟยก็ทำให้มันรู้สึกโกรธมาก โดยที่มันก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมมันถึงรู้สึกโกรธมากขนาดนี้ สิ่งเดียวที่มันพอจะทำได้คือการพยายามหาที่ระบายความรู้สึกภายในใจออกไป ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะรู้สึกอึดอัดไปจนตาย
ขณะเดียวกันกระป๋องก็พยายามวิ่งวนไปรอบ ๆ เพื่อเสิร์ฟน้ำชาและอาหารให้กับเซี่ยเฟยอย่างเร่งรีบ โดยมันพยายามทำทุกอย่างให้เจ้านายของมันกลับมามีความสุขอีกครั้ง แต่ภายในแววตาของเซี่ยเฟยกลับยังคงว่างเปล่าและเขาก็มองไม่เห็นการกระทำใด ๆ ของกระป๋องทั้งนั้น
เซี่ยเฟยยืนอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนที่จู่ ๆ ร่างของเขาก็แกว่งไปแกว่งมาจนทำให้หนึ่งวิญญาณ, หนึ่งสัตว์อสูรและหนึ่งหุ่นยนต์รู้สึกตกใจ
แววตาของเซี่ยเฟยในตอนนี้ไม่ใช่แววตาของคนใจดีเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาที่ทำให้แม้แต่อันธก็ยังไม่กล้าที่จะสบตาชายหนุ่มตรง ๆ
‘ทำไมมันถึงเป็นแววตาที่เกรี้ยวกราดขนาดนี้?’ อันธครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็คิดคำอธิบายของแววตานี้ได้เพียงแค่คำเดียว
นี่มันแววตาของปีศาจ!
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 150
แสดงความคิดเห็น