บทที่ 215: ท่านพ่อไล่เสี่ยวเหยา
“หลงโม่ ข้าจะไปดูรั้วกระต่าย ฝากเจ้าจัดการกับเหยื่อให้หน่อยนะ”
หลังจากที่หูเจียวเจียวไหว้วานหลงโม่เสร็จสรรพแล้ว เธอกับภูตคนที่มาเรียกตนก็มุ่งหน้าไปหาหัวหน้าเผ่า
ปัจจุบันการเพาะปลูกผลไม้ดินรวมถึงหัวไชเท้าประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีต่อ ๆ ไปขอแค่มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นก็สามารถการันตีได้ว่าคนในเผ่าจะมีเสบียงอาหารเพียงพอ
การกินผลไม้ดินอาจเป็นทางเลือกอื่นสำหรับภูต ทว่าการกินเนื้อสัตว์เท่านั้นที่สามารถรับประกันสุขภาพและความแข็งแรงของพวกเขาได้
นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เช่นเดียวกับแมวหรือสุนัขที่เป็นสัตว์กินเนื้อแทบทุกชนิด
เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในเผ่า แผนการขยายพันธ์ุสัตว์ยังต้องดำเนินต่อไป
เมื่อหูเจียวเจียวเห็นว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะสิ้นสุดลง เธอยังคงกังวลว่ารั้วจะสร้างไม่เสร็จก่อนฤดูหนาว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้วางแผนสำหรับขั้นตอนต่อไป
ทางด้านหลงโม่ เขามองตามแผ่นหลังบอบบางของภรรยาสาวจนหายลับตาไป จากนั้นเขาก็เม้มริมฝีปากแล้วเอามือออกจากกระเป๋ากางเกง
ต่อมา ชายหนุ่มแบกหมูป่าขึ้นบ่าก่อนจะเดินไปที่แม่น้ำเพื่อทำความสะอาดเหยื่อ
…
อีกด้านหนึ่ง
หูเจียวเจียวใช้เวลาไม่นานก็มาถึงทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง
“เจียวเจียว เจ้ามาแล้ว มาดูสิว่ารั้วสร้างถูกต้องไหม ถ้ามีส่วนไหนทำได้ไม่ดี เจ้าบอกข้ามาได้เลย แล้วข้าจะให้พวกเขาแก้ไขมัน”
ทันทีที่หัวหน้าเผ่าเห็นจิ้งจอกสาว เขาก็ยิ้มทักทายเธอด้วยรอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันขาว
ไม่นานมานี้เผ่ามีการเก็บเกี่ยวที่ดี เขาจึงกำลังอารมณ์ดีมาก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายชราฝันว่าในฤดูหนาวมีอาหารอยู่เต็มเผ่า และเขาก็ต้องตื่นจากความฝันหลายครั้ง
ด้านหลังผู้นำสูงสุดของเผ่ามีภูตนับสิบคนยืนอยู่ ซึ่งพวกเขาทั้งหมดมีส่วนร่วมในการสร้างรั้วกระต่าย
ยามนี้เหล่าชายรูปร่างสูงกำยำยืนอยู่ด้านหลังชายสูงวัยเหมือนนักเรียนประถมที่ถูกครูตรวจระเบียบ ระหว่างนั้นพวกเขาก็มองไปที่จิ้งจอกสาวอย่างกระตือรือร้น โดยคาดหวังว่าเธอจะพึงพอใจกับรั้วที่พวกตนสร้าง
“ตกลง”
เมื่อหูเจียวเจียวได้ยินเช่นนี้ก็ผงกหัวตอบรับ แล้วไปตรวจสอบรั้วกับท่านผู้เฒ่า
หลังจากการทำงานมากว่า 20 วัน ทุ่งหญ้าแห้งแล้งทั้งหมดก็ถูกล้อมรอบด้วยรั้วสูงทั้ง 4 ด้าน ซึ่งรั้วที่นี่สูงกว่ากำแพงของเผ่าเสียอีก และพวกมันก็แข็งแรงมาก
อีกทั้งยังมีการปลูกต้นหนามแดงไว้เป็นวงนอกรั้วตามคำขอของเธอด้วย
ต้นหนามแดงเป็นพืชที่เติบโตได้รวดเร็วมาก เพียงแค่ภูตตัดต้นหนามแดงต้นเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนมาเสียบไว้ที่ขอบรั้ว ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของรั้วก็ถูกพวกมันปกคลุมไปแล้ว
ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของรั้วถูกสร้างขึ้นล่าช้า ต้นหนามแดงจึงถูกปลูกช้าตามไปด้วย แล้วบางส่วนก็เลื้อยขึ้นไปพันรั้วไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว
พืชชนิดนี้ไม่กลัวความหนาวเย็นและสามารถเติบโตได้ในฤดูหนาว
หญิงสาวคาดว่าอีกไม่นานรั้วทั้งหมดจะถูกปกคลุมด้วยต้นหนามแดง
หากมองจากภายนอก มันไม่มีใครดูออกเลยว่านี่คือรั้ว ในทางกลับกัน มันดูเหมือนกลุ่มต้นไม้สูง ๆ มากกว่า
ขณะนี้หูเจียวเจียวกวาดตามองสำรวจไปรอบ ๆ พอไม่พบสิ่งผิดปกติ เธอก็หันไปพูดกับหัวหน้าเผ่า
“ท่านผู้เฒ่า รั้วสร้างได้ดีมาก ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา”
จิ้งจอกสาวยิ้มพลางพยักหน้าให้ชายชรากับภูตที่ยืนอยู่ข้างหลัง
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเธอ ในที่สุดลมหายใจของแต่ละคนก็ผ่อนคลายลง ทำให้พวกเขาหายใจได้โล่งขึ้นทันที
“ถ้าอย่างนั้นเราเอากระต่ายมาไว้ได้หรือยัง?” ผู้อาวุโสของเผ่าถามอย่างกระตือรือร้น
“เราเอากระต่ายเข้ามาไว้เลยก็ได้” หูเจียวเจียวพยักหน้า
แม้ว่าในฤดูหนาวจะมีอากาศเย็นสุดขั้ว แต่กระต่ายเหล่านี้อยู่รอดได้ในป่าซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกมันมีความสามารถในการต้านทานความหนาวเย็นและยังสามารถขุดโพรงเพื่อให้ความอบอุ่นกับตัวเองได้ พวกเธอไม่ต้องกังวลกับการเจ็บป่วยหรือหนาวตายเหมือนกระต่ายบ้านทั่วไป
หัวหน้าเผ่าพยักหน้าซ้ำ ๆ พลางนับนิ้ว
“ข้าบอกให้ทุกคนไปจับกระต่ายมาแล้ว ตอนนี้ในเผ่ามีกระต่ายทั้งหมด 231 ตัว เจียวเจียว เจ้าคิดว่ามันเพียงพอหรือไม่?”
ปัจจุบันประชากรในเผ่ามีมากกว่า 100 คน
ขณะนี้ภูตแต่ละบ้านจับกระต่ายมาได้ 1-2 ตัว ทำให้มีกระต่ายมากกว่า 200 ตัวอยู่ในเผ่า
“เพียงพอแล้ว” จิ้งจอกสาวตอบ “ข้ายังมีกระต่ายอีก 19 ตัวอยู่ที่บ้าน ไว้ข้าค่อยเอามาให้ทีหลัง”
แต่เดิมนี่เป็นเพียงการทดลองเลี้ยงกระต่ายเท่านั้น หากจับกระต่ายในป่ามาทั้งหมด พวกมันก็จะสูญพันธุ์
“ทั้งหมดก็เป็นกระต่าย 250 ตัว!” คนเป็นหัวหน้าเผ่าคำนวณเสร็จแล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม
มุมปากของหญิงสาวกระตุกหลังจากได้ยินจำนวนกระต่ายโดยรวม เธอคิดว่าตัวเลขนี้เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ
“ท่านผู้เฒ่า เป็นการดีที่สุดที่จะจัดให้ภูตมาลาดตระเวนในพื้นที่นี้ตอนฤดูหนาว” หูเจียวเจียวพูดย้ำ “หากกระต่ายตัวใดตาย ให้พวกเขามาแจ้งให้เราทราบโดยเร็วที่สุด”
แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บ แต่หากภูตชายคนใดมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงก็สามารถออกมาข้างนอกได้ปกติซึ่งต่างจากภูตหญิงที่มีร่างกายอ่อนแอกว่า
หากในตอนนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เธอยังสามารถคิดหาวิธีแก้ปัญหาได้ทันท่วงที
“ไม่มีปัญหา”
หัวหน้าเผ่าตบหน้าอกตัวเองและตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
“ท่านผู้เฒ่า ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปเอากระต่ายก่อน” จิ้งจอกสาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ทันทีที่เธอพูดจบ ชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังชายสูงวัย พร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อทว่าสังเกตเห็นได้ยากเนื่องจากเขามีผิวสีเข้ม “หูเจียวเจียว ให้ข้าพาเจ้าไปส่งเถอะ ข้าจะไปเอากระต่ายมาที่นี่ให้เจ้าเอง…”
แม้ว่าท่าทีปฏิเสธของหูเจียวเจียวจะชัดเจน แต่ผู้ชายในเผ่าก็ไม่ได้หยุดแสดงความรักต่อเธอเลยสักนิด
ยามนี้หญิงสาวมองชายผิวดำร่างใหญ่ แล้วภาพที่หลงโม่จระเข้ฟาดหางใส่ชายคนนั้นจนหน้าทิ่มลงไปในดินเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ปรากฏขึ้นในใจตัวเองทันที
เธอคิดด้วยว่าพละกำลังของมังกรหนุ่มดีเป็นพิเศษในตอนกลางคืน ซึ่งมันทำให้เธอต้องเจ็บปวดทั้งตัวไปตลอดวัน
นี่ฉันไม่ไม่ได้พูดให้ขำกันนะ!
“ไม่ต้อง ข้าไปเอาเองได้” เธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเย็นชาเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมาตามตอแยตนอีก
“เอ่อ…”
ชายคนนั้นอยากจะลองเร้าหรือสาวที่เขาหมายปองอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เขาก็ถูกหัวหน้าเผ่าเข้ามาขัดจังหวะ
“เจียวเจียว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการที่นี่เอง”
ชายสูงวัยโบกมือให้จิ้งจอกสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางส่งสัญญาณให้เธอกลับไปแบบความสบายใจหายห่วง
แต่วินาทีที่เขาหันหลังกลับ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นถมึงทึงทันที แล้วเขาก็ยกมือขึ้นบิดหูภูตหนุ่มเพื่อลากอีกฝ่ายไปที่พงหญ้า
“โอ๊ย! ท่านผู้เฒ่า ท่านดึงหูข้าทำไม…” ชายผู้นั้นแยกเขี้ยวอย่างไม่พอใจแต่ไม่กล้าขัดขืนคนตรงหน้า
“มากับข้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” หัวหน้าเผ่าพูดเสียงเย็นชาโดยที่ไม่หยุดฝีเท้า
เมื่อภูตที่เหลือเห็นอย่างนี้ก็แอบหลบไปทางอื่นอย่างชาญฉลาด
ไม่นานหลังจากที่ทั้ง 2 คนหายไปอีกทาง พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องน่าสมเพชดังมาจากพงหญ้า
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ภูตชายพากันตัวสั่น พร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ตอนที่เด็ก ๆ ในเผ่าอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ พวกเขาตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากในป่าหญ้าข้างเผ่า
ตั้งแต่นั้นมาก็มีตำนานสยองขวัญที่เล่าต่อ ๆ กันในหมู่เด็กของเผ่าว่ามีจิงหลิง*กินภูตในป่าหญ้า ทำให้ไม่มีเด็กคนไหนกล้าแอบเข้าไปเล่นที่นั่นอีก
*จิงหลิง หรือเอลฟ์ คือสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ หรือใต้พื้นดิน
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่กระต่ายจะถูกขโมยไปกินได้ด้วย
เมื่อหูเจียวเจียวกลับถึงบ้าน หลงโม่ได้ทำความสะอาดเหยื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขากำลังย้ายเนื้อส่วนต่าง ๆ ไปจัดเก็บที่ห้องครัว
สำหรับเด็ก ๆ ที่ออกไปเล่นระหว่างวัน ตอนนี้พวกเขาก็กลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน
พอทุกคนเห็นแม่จิ้งจอกกลับมา หลงเหยาก็วิ่งไปดึงขากางเกงของเธอแล้วฟ้องทันทีว่า
“ท่านแม่ ท่านพ่อซ่อนของไว้ในกระเป๋า!”
หูเจียวเจียวก้มตัวลงลูบหัวน้อย ๆ ของลูกชายคนเล็กด้วยรอยยิ้ม และถามอย่างขบขันว่า “หืม? พ่อของเจ้าซ่อนอะไรอยู่ในกระเป๋าหรือ?”
เมื่อหลงเหยาถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ทำหน้ามุ่ยแบบไม่สบอารมณ์
“ไม่รู้เหมือนกัน ท่านพ่อไม่ให้เสี่ยวเหยาดู”
จากนั้นเขาก็ทำหน้าเศร้าหมอง “เสี่ยวเหยาถามท่านพ่อว่ามันคืออะไร แต่ท่านพ่อกลับไล่เสี่ยวเหยาออกไปซะงั้น”
“ฮ่า ๆๆ!”
จิ้งจอกสาวที่ได้ฟังกลั้นหัวเราะไม่ได้อีกแล้ว
พ่อลูก 2 คนนี้เวลาอยู่ด้วยกันมักจะมีเรื่องให้ขำขันอยู่เสมอ แถมไม่มีใครน้อยหน้าใครด้วย
“แล้วเหยาเอ๋อยินดีที่จะบอกความลับทั้งหมดของเหยาเอ๋อให้ท่านพ่อฟังไหม?” แม่จิ้งจอกถามพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
เด็กน้อยใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวตอบ
ถ้าเขาบอกท่านพ่อเรื่องการขโมยอาหาร อีกฝ่ายจะต้องบอกท่านแม่อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากบอกอะไรให้พ่อมังกรรู้
“ทุกคนมีความลับของตัวเอง เหยาเอ๋อเข้าใจท่านพ่อใช่ไหม?” หูเจียวเจียวพูดโน้มน้าวใจเจ้าตัวเล็ก
หลงเหยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ในเวลานี้ หลงจงที่ยืนมองทั้งคู่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเปิดโปงเจ้าน้องชายตัวแสบ “เสี่ยวเหยาไม่สนใจความลับของท่านพ่อหรอก เขาแค่คิดว่าท่านพ่อซ่อนของกินไว้ แล้วไม่ยอมแบ่งให้เขากินต่างหาก”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 177
แสดงความคิดเห็น