ตอนที่ 337 หยูจื่อเทา

-A A +A

ตอนที่ 337 หยูจื่อเทา

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 337 หยูจื่อเทา

“ถ้าอย่างนั้นตามฉันมา” ชายชราตะโกนออกไปด้วยความโกรธ ก่อนที่จะลากเซี่ยเฟยกลับไปยังคฤหาสน์ของไป๋ห่าว

“คุณจะพาผมไปไหน?”

“ใครที่ทำให้ฉันไม่ได้ครอบครองโกลด์แพนเธอร์ มันก็จะต้องชดใช้!” ชายชราส่งเสียงคำรามขึ้นมาด้วยความโกรธ

ขณะเดียวกันเมื่อไป๋ห่าวได้เห็นว่าสัตว์อสูรที่เขาตั้งใจจะมอบให้กับเจ้านายได้หายไป มันก็ทำให้ทั่วทั้งคฤหาสน์ตกอยู่ในความโกลาหล

ระหว่างทางเซี่ยเฟยได้พบกับทีมค้นหาของไป๋ห่าวอยู่หลายครั้ง ซึ่งชายชราก็ฆ่าคนพวกนี้โดยไม่พูดอะไรสักคำพร้อมกับมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์

ยิ่งไปกว่านั้นชายชรายังใช้วิธีการตัดหัวศัตรูทั้งหมด มันจึงทำให้แม้แต่เซี่ยเฟยที่เคยชินกับความตายก็ยังทนรับไม่ได้กับวิธีการอันโหดเหี้ยมของชายชราคนนี้

พลังแม่เหล็กของชายชราแข็งแกร่งกว่าที่เซี่ยเฟยคิดไว้มาก เพราะไม่เพียงแต่อาวุธโลหะจะไม่สามารถทำงานต่อหน้าชายชราได้แล้ว แต่ชายชราคนนี้ยังสามารถควบคุมโลหะทั้งหมดได้ดั่งใจนึกของตัวเองด้วย

โดยระหว่างทางมีศัตรูคนหนึ่งพยายามขว้างมีดมาสังหารชายชราคนนี้ แต่จู่ ๆ มีดก็บินกลับไปทางเดิมและตัดหัวผู้ที่ขว้างมีดออกมาแทน

“พลังแม่เหล็กเป็นพลังที่รับมือได้ยากจริง ๆ และระดับพลังของเขาก็คงจะอยู่ในระดับอีเทอนิตี้เป็นอย่างน้อย ถ้ามีโอกาสนายต้องรีบหนีจากเขาไปซะ” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจัง

“ถ้าฉันเดาไม่ผิดระยะการควบคุมโลหะของเขาน่าจะมากกว่า 15 กิโลเมตร และถึงแม้ว่ามันจะเกินจากระยะนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะควบคุมโลหะไม่ได้ เพียงแต่ความรุนแรงในการควบคุมโลหะของเขาจะค่อย ๆ ลดลง ดังนั้นถ้าหากว่าฉันต้องการจะหนีออกไปจริง ๆ ฉันจะต้องรีบทิ้งระยะมากกว่า 50 กิโลเมตรในเสี้ยววินาที ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะไม่มีทางหนีรอดออกไปจากเขาได้” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเคร่งเครียดเช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นเองขนอุยก็โผล่หน้าออกมาจากกระเป๋าอย่างน่ารักราวกับว่ามันรู้ตัวว่าวันนี้มันได้ทำความผิดลงไปครั้งใหญ่ ดังนั้นมันจึงพยายามเอาอกเอาใจชายหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม แต่น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยไม่หลงกลมันเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ! ไว้ฉันว่างเมื่อไหร่ฉันคิดบัญชีกับแกแน่” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงต่ำพร้อมกับใช้นิ้วดันขนอุยกลับเข้าไปในกระเป๋า

“ทำไมเจ้าหนูนี่มันถึงเจ้าเล่ห์นักนะ ไม่รู้ว่ามันไปเรียนรู้มาจากใคร?” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองและตัดสินใจว่าเขาจะสังเกตการเติบโตของขนอุยอย่างใกล้ชิด

เพียงแค่เสียงเรอของมันก็มากพอที่จะทำให้โกลด์แพนเธอร์รู้สึกกลัวจนตายได้แสดงว่าระดับของขนอุยคงจะสูงกว่าที่เขาคิด แต่ถ้าหากว่ามันเติบโตขึ้นไปโดยมีนิสัยอันชั่วร้าย เขาก็จะสังหารมันโดยไม่ลังเล

หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเฟยกับชายชราก็กลับมาถึงคฤหาสน์ของไป๋ห่าว

“เข้าไปข้างใน มาดูซิว่าสิ่งที่นายพูดเป็นความจริงหรือเปล่า” ชายชรากล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่คฤหาสน์

ฟุบ!

พริบตาต่อมาพวกเขาทั้งสองคนก็พุ่งตัวเข้าไปในคฤหาสน์โดยตรง ก่อนที่จะเริ่มสังหารทุกคนที่ขวางหน้าจนทำให้ทั่วทั้งคฤหาสน์ถูกย้อมไปด้วยเลือด

ปัง!

ชายชราถีบประตูคุกใต้ดินอย่างรุนแรงก่อนที่เขาจะได้พบว่ากรงที่เคยขังโกลด์แพนเธอร์เอาไว้ถูกรองด้วยหญ้าแห้งที่สกปรก ในขณะที่ทั่วทั้งห้องขังมีกลิ่นเหมือนกับท่อน้ำทิ้ง และไม่ไกลจากบริเวณนั้นก็มีเศษเนื้อติดกระดูกถูกทิ้งขว้างเอาไว้อยู่จริง ๆ

“ผู้อาวุโสลองดูสิพวกเขาขังโกลด์แพนเธอร์เอาไว้ในสถานที่โสโครกแบบนี้ได้ยังไง นอกจากนี้ผมยังเห็นด้วยตาของตัวเองว่าชายหัวโล้นที่เป็นคนเฝ้าโกลด์แพนเธอร์ไว้ยังเอาเท้าเหยียบเศษเนื้อพวกนั้นซ้ำ ๆ ก่อนที่จะเอาเศษอาหารพวกนั้นมาให้มันกิน”

“น่าเสียดายที่โกลด์แพนเธอร์เป็นสัตว์อสูรที่รักศักดิ์ศรีมาก ดังนั้นมันจึงไม่ยอมกินอาหารไม่ว่าชายหัวโล้นคนนั้นจะพยายามบังคับมันแค่ไหนก็ตาม แต่ชายหัวโล้นก็ยังพยายามอ้าปากของมันก่อนที่จะบังคับให้มันกินเศษเนื้อพวกนั้นเข้าไป”

เซี่ยเฟยพยายามเล่าเหตุการณ์โดยใส่สีตีไข่จนทำให้เรื่องดูแตกต่างไปจากความเป็นจริง

ยิ่งชายหนุ่มได้เล่าเหตุการณ์ที่เขาเห็นออกไปมากเท่าไหร่ ใบหน้าของชายชราก็ยิ่งเขียวคล้ำไปด้วยความโกรธมากขึ้นเท่านั้น

“ไอ้สารเลวพวกนี้กล้าดียังไงมาทำกับโกลด์แพนเธอร์ของฉันแบบนี้!!” ชายชราส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ ซึ่งในเวลาต่อมาโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นกับคฤหาสน์ของไป๋ห่าว

หลังจากสังหารคนทั่วทั้งคฤหาสน์ชายชราก็เผาคฤหาสน์ทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใยเพื่อกำจัดร่องรอยและซากศพทั้งหมด

ชายชราเดินออกจากคฤหาสน์ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง ซึ่งเซี่ยเฟยก็ต้องเดินตามชายชราไปอย่างระมัดระวังและเตรียมพร้อมที่จะหาโอกาสหลบหนีออกไปทุกเมื่อ

“ดูเหมือนว่าฉันจะมองนายผิดไปจริง ๆ ที่แท้มันเป็นไอ้สารเลวพวกนั้นต่างหากที่เป็นคนพรากโกลด์แพนเธอร์ของฉันไป” ชายชรากล่าวโดยยังคงมีอารมณ์หงุดหงิดหลุดออกมาในน้ำเสียง

“ผู้อาวุโสไหน ๆ คุณก็ได้ล้างแค้นให้กับโกลด์แพนเธอร์แล้ว ผมคิดว่าตอนนี้คุณควรจะต้องยอมปล่อยมันไปได้แล้วนะครับ” เซี่ยเฟยพยายามกล่าวปลอบใจชายชรา

อันธที่รับฟังบทสนทนาอยู่ข้าง ๆ ทำได้เพียงแต่ส่ายหัวให้กับการแสดงของเซี่ยเฟย ซึ่งในความเป็นจริงท่าทางของเซี่ยเฟยก็ไม่แตกต่างจากขนอุยมากนัก ทำให้อันธเริ่มคิดแล้วว่าขนอุยอาจจะเรียนรู้วิธีการเหล่านี้มาจากเจ้านายของมันก็ได้

“ฉันชื่อหยูจื่อเทา แต่เพราะว่าฉันมักจะไปไหนมาไหนสายอยู่เสมอ ฉันจึงได้รับฉายาว่า ‘ตาสาย’ คราวนี้ฉันก็อุตส่าห์รีบมาทันทีที่ได้รับข่าว แต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่าฉันจะยังคงมาสายไปหนึ่งก้าวอยู่เหมือนเดิม” หยูจื่อเทากล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ

“ตาสาย?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาภายในใจ และแอบคิดว่าเรื่องนี้ออกจะเป็นเรื่องตลกร้ายอยู่เล็กน้อย เพราะทุกคนน่าจะเคยไปสายอยู่บ้างแต่มันก็คงจะไม่มีใครไปไหนมาไหนสายไปตลอดชีวิต

“ผมชื่อเซี่ยเฟยครับ” เซี่ยเฟยแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมชื่อนี้มันถึงฟังดูคุ้น ๆ นักนะ” หยูจื่อเทาผงะไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินชื่อของเซี่ยเฟย

“ก่อนหน้านี้ผมได้เข้าร่วมการแข่งขันโกลเดนฟิงเกอร์และบังเอิญได้ก่อเรื่องขึ้นมานิดหน่อย ผู้อาวุโสอาจจะได้ยินชื่อของผมมาจากที่นั่นก็ได้ครับ”

“ไม่ใช่ ฉันไม่เคยสนใจโกลเดนฟิงเกอร์”

“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าบริษัทของผมได้รับเลือกให้กลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกองทัพ และคุณก็บังเอิญได้ยินชื่อของผมมาจากข่าว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยความเขินอายอยู่เล็กน้อย

“ไม่ ฉันไม่เคยฟังข่าวเกี่ยวกับทหาร”

เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะเรื่องทั้งสองเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้จักชื่อของเขามากที่สุดแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าหยูจื่อเทาไม่ได้รู้จักเขาจากเรื่องพวกนี้ ชายชราก็คงจะสับสนจำชื่อเขาสลับกับใครบางคนอยู่แน่ ๆ

“อ๋อ! ฉันจำได้แล้ว นายคือลูกศิษย์ของฉินหมางนั่นเอง” หยูจื่อเทากล่าวพร้อมกับตบหน้าผากของตัวเองอย่างรุนแรง

“ฉินหมาง? ผู้อาวุโสรู้จักคุณตาฉินหมางด้วยเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย

“เด็กฉลาดที่มีพลังสายความเร็ว... ใช่แล้ว ๆ นายจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่มีอายุน้อยที่สุดของฉินหมางแน่ ๆ” หยูจื่อเทากล่าวพร้อมกับตบไหล่เซี่ยเฟยอย่างมีความสุข

“เมื่อวานนี้ฉันไปหาย่าเหวยมาและฉันก็ได้พูดคุยเรื่องของนายกับเขาอยู่นิดหน่อย ฉันเลยอยากจะเจอกับนายเป็นการส่วนตัว แต่ระหว่างทางฉันบังเอิญได้ยินข่าวเรื่องโกลด์แพนเธอร์ฉันจึงรีบมาที่ดาวดวงนี้ ก่อนไม่คิดเลยว่าฉันจะบังเอิญได้มาเจอกับนายที่ดาวดวงนี้จริง ๆ”

“เมื่อก่อนฉัน, ฉินหมาง, ทูราม, มอร์ริสและซูฟาง เคยถูกเรียกว่า 5 พยัคฆ์แห่งสมาพันธ์จัสทิส ในตอนนั้นพวกเรายังหนุ่มและค่อนข้างเอาแต่ใจทำให้พวกเราสร้างปัญหาขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราทั้งห้าคนก็ค่อนข้างดีจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันเลยก็ว่าได้” หยูจื่อเทากล่าวอย่างตื่นเต้น

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเพราะเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าตอนหนุ่ม ๆ ฉินหมางเป็นคนที่มีอารมณ์ร้ายมากพอสมควร และแม้แต่ทูรามเองก็เคยได้รับแผลเป็นมาจากฉินหมางด้วยเช่นเดียวกัน

“นายเคยได้ยินเรื่อง 5 พยัคฆ์มาก่อนหรือเปล่า?” หยูจื่อเทากล่าวถามอย่างภาคภูมิใจ

เซี่ยเฟยส่ายหัวเป็นคำตอบ

“นายไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอ… เมื่อก่อนพวกเราแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่ต่อสู้ตามอารมณ์อย่างไม่มีเหตุผล คนในสมาพันธ์จึงเริ่มเรียกพวกเราว่า 5 พยัคฆ์เพราะพวกเรามีทั้งความห้าวหาญและความแข็งแกร่งเปรียบเสมือนกับพยัคฆ์ทั้งห้าคน” หยูจื่อเทาเริ่มเล่าประวัติขึ้นมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อได้เห็นว่าเซี่ยเฟยไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของตัวเอง

อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ไม่คิดว่าคำว่า 5 พยัคฆ์คือคำชม แต่เขาก็จำเป็นจะต้องพูดคุยด้วยรอยยิ้มและคอยรับฟังหยูจื่อเทาเล่าเรื่องสมัยเมื่อตอนที่เขายังเป็นหนุ่ม

“ถึงแม้ว่าพวกฉินหมางจะชอบการถือครองอำนาจแต่ฉันเป็นพวกชอบเที่ยวอยู่ด้านนอกมากกว่า ย้อนกลับไปตอนสมัยที่ฉันยังอยู่ในสมาพันธ์ฉันก็มักที่จะถูกตำหนิเพราะว่าฉันมาสายอยู่เสมอ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจลาออกมาเที่ยวเล่นอย่างอิสระ ดูเหมือนหลังจากที่พวกเรามีอายุมากขึ้นชื่อเสียงของ 5 พยัคฆ์ก็เริ่มที่จะเลือนลางไปทุกที” หยูจื่อเทากล่าวอย่างเศร้าสร้อย

“นายรู้ไหมว่าฉินหมางกับทูรามพยายามเสนอชื่อนายให้เข้าร่วมกับสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ แต่โชคไม่ดีที่มีใครบางคนพยายามขัดขวางความก้าวหน้าของนายเอาไว้”

“ผมเคยได้ยินเรื่องสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้มาบ้างครับ แต่ผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่คุณตาเสนอชื่อผมให้เข้าร่วมกับสมาพันธ์เลย นอกจากนี้ผมก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของคุณตาฉินหมาง แต่เป็นเพียงแค่ลูกน้องในระหว่างที่เขาทำงานอยู่ในห้องสมุดเท่านั้นครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ฉันไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างนายกับฉินหมางหรอก แต่นายต้องเข้าใจว่าการได้เข้าร่วมสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้เทียบเท่ากับการได้เข้าร่วมสมาพันธ์นักสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพันธมิตร ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักสู้หลาย ๆ คน หลังจากที่ฉินหมางกลับมาจากความตายได้ในคราวนี้เขาก็ตั้งใจที่จะให้นายเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในสมาพันธ์จัสทิสไปอีก 2-3 ปี ก่อนที่จะให้นายเข้าไปเติบโตในสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้” หยูจื่อเทากล่าว

เซี่ยเฟยนิ่งเงียบไปหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบาย ท้ายที่สุดเป้าหมายเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือการพยายามเพิ่มฐานอำนาจของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ตัดสินใจมาตั้งนานแล้วว่าเขาจะไม่พึ่งพาสมาพันธ์จัสทิสหรือสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือการสร้างฐานอำนาจขึ้นมาด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง

ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันแปลกประหลาดคนที่สามารถจะอยู่รอดต่อไปได้ก็มีเพียงแต่คนที่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง ท้ายที่สุดเขาก็เคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อนแล้วว่าการแข่งขันอย่างลับ ๆ ภายในสมาพันธ์จัสทิสเป็นเรื่องที่เน่าเฟะมากแค่ไหน และถ้าหากว่าเขาต้องเข้าไปอยู่ในสมาพันธ์เขาก็ต้องคอยระแวงว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมารอแทงข้างหลังเขาอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาจำเป็นจะต้องมีชีวิตที่ต้องคอยระวังและระแวงอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นด้วยเหรอ?

แม้การพึ่งพาต้นไม้ใหญ่จะทำให้เราได้เพลิดเพลินไปกับร่มเงา แต่ต้นไม้ใหญ่อย่างสมาพันธ์จัสทิสไม่ได้มีเพียงแค่ร่มเงาให้เขาได้พึ่งพิงเท่านั้น แต่มันยังมีระเบิดแอบฝังเอาไว้ภายใต้รากฐานของมันอีกด้วย!!

เส้นทางแห่งความสำเร็จมีอยู่มากมายหลายหมื่นหลายพันเส้นทาง และถึงแม้ว่าเขาจะเลือกเดินในเส้นทางที่ยากลำบาก แต่การเติบโตในที่โล่งมันย่อมทำให้เขาแข็งแกร่งมากกว่าการเติบโตภายใต้ต้นไม้ใหญ่

‘สักวันหนึ่งฉันจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะเป็นคนคอยควบคุมชีวิตของตัวเอง!’ เซี่ยเฟยตั้งปณิธานขึ้นมาภายในใจ

ถึงแม้ว่าหยูจื่อเทาจะมีอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้แต่เขาก็ถือว่าเป็นคู่คิดที่ดี เพราะหลังจากที่พูดคุยกันต่อไปเพียงแค่ไม่นาน ชายชราคนนี้ก็ช่วยเซี่ยเฟยวางแผนไม่ให้เขาไปเข้าร่วมกับสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้

เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลาเซี่ยเฟยก็หยิบกระป๋องชาจำนวนมากออกมาจากแหวนมิติเพื่อให้เป็นของขวัญแก่ชายชรา ซึ่งเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เขาทำจนติดกลายเป็นนิสัยประจำตัวของเขาไปแล้ว

หยูจื่อเทาไม่เคยเห็นใครที่สุภาพเหมือนกับเซี่ยเฟยมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขราวกับเซี่ยเฟยได้มอบเงินทองมากมายมหาศาลมาให้กับเขา

“เอาล่ะในฐานะของผู้อาวุโส ฉันก็ควรจะต้องมอบของขวัญในฐานะที่พวกเราได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก นี่คือบัตรผ่านเข้าสู่งานเทศกาลของสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ในปีนี้ ถึงยังไงฉันก็เป็นพวกสายเสมอตลอดชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับฉันแต่มันก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ไร้ประโยชน์” หยูจื่อเทากล่าวพร้อมกับมอบป้ายโลหะทรงกลมให้กับชายหนุ่ม

“งานเทศกาลของสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจว่างานนี้มันคืองานเทศกาลอะไรกันแน่

“มันเป็นงานแลกเปลี่ยนสินค้าของสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ที่จะจัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี ซึ่งสินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนภายในงานถือได้ว่าเป็นสินค้าระดับสูงสุดในพันธมิตร และถึงแม้ว่านายจะไม่มีเงินซื้อของพวกนั้นแต่นายก็เข้าไปเปิดหูเปิดตาภายในงานได้”

***************

กว่าจะนึกออกว่ารู้จักชื่อพี่เฟยจากไหนก็เอาซะพี่เฟยยิ้มเขินไปหลายรอบเลย 5555

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.