ตอนที่ 237 ไม่มีทางออก
ตอนที่ 237 ไม่มีทางออก
เทคนิคสำคัญของวิชามนตราอสูรคือการผสมผสานระหว่างการใช้ดวงตาและพลังจิตในการส่งพลัง โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การควบคุมสัตว์อสูร
แน่นอนว่าวิชามนตราอสูรย่อมสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ นอกเหนือจากการควบคุมสัตว์อสูรเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เซี่ยเฟยที่กำลังใช้เนตรมนตราเพื่อสังเกตผนังถ้ำโดยรอบ
การที่ดวงตาของเขามีประกายแสงขึ้นมาถือว่าเป็นเทคนิคสูงสุดของวิชาเนตรมนตราแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหนดวงตาของเขาก็เหมือนเครื่องสแกนที่สามารถสอดส่องไปได้ทั่วทุกบริเวณ
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นานเซี่ยเฟยก็หลับตาลงพร้อมกับหอบหายใจออกมาอย่างหนัก
การใช้วิชาเนตรมนตราระดับสูงสุดนี้ได้เผาผลาญพลังงานภายในร่างกายอย่างรุนแรง และการพยายามสแกนผ่านสิ่งกีดขวางก็ไม่เพียงแต่จะเป็นการใช้พลังจิตไปในปริมาณมากเท่านั้น แต่มันยังเสี่ยงที่จะทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บในระหว่างการใช้งานอีกด้วย
ทุกอย่างภายในจักรวาลต่างก็ล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสียเป็นของตัวเอง แต่เพื่อที่จะหาทางออกจากห้องลับแห่งนี้ เซี่ยเฟยจึงจำเป็นจะต้องเพิกเฉยต่อข้อเสียของการใช้เนตรมนตราไปเสียก่อน เพราะท้ายที่สุดอากาศภายในห้องก็กำลังลดลงไปเรื่อย ๆ
หากว่าชายหนุ่มยังไม่สามารถหาทางออกไปได้ในเร็ว ๆ นี้ เขาก็จะเริ่มมีอาการแน่นหน้าอก, วิงเวียนศีรษะ, หูอื้อไปจนถึงขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด
“เป็นไงบ้าง?” อันธถาม
“ไม่มีประโยชน์ ฉันใช้เนตรมนตรามองทะลุเข้าไปในกำแพงลึกกว่า 3 เมตร แต่ว่ามันไม่มีทางลับซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่เลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
การมองทะลุในระยะ 3 เมตรไม่ถือว่าเป็นระยะทางที่สั้นเลย ซึ่งถ้าหากว่ามันไม่มีเส้นทางซ่อนอยู่ภายในระยะ 3 เมตรจริง ๆ มันก็มีโอกาสที่จะไม่มีทางลับซ่อนอยู่ภายในห้องแห่งนี้
“แบบนี้ต้องลองเพิ่มพลังมากขึ้นอีกหรือเปล่า?” อันธกล่าว
ปัจจุบันดวงตาของเซี่ยเฟยได้เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงก่ำแล้ว ซึ่งการเพิ่มพลังของเนตรมนตรามากกว่านี้มันก็อาจจะทำให้ชายหนุ่มตาบอดได้เลย แต่การติดอยู่ในห้องก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้มีเพียงแค่การพยายาม
เซี่ยเฟยโบกมือไปมาก่อนที่เขาจะหลับตานั่งสมาธิ
“ตอนนี้พวกเราอย่าพึ่งตื่นตระหนก สิ่งที่พวกเราควรจะต้องทำคือการคิดทุกอย่างให้รอบคอบมากที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“ลองใช้พลังทำลายห้องไปเลยไหม? นายมีดาบอีวีสเซอเรทอยู่ไม่ใช่เหรอ? ด้วยน้ำหนักของดาบเล่มนั้นมันก็น่าจะพอสร้างทางออกให้พวกเราออกไปได้” อันธกล่าวอย่างร้อนรน
เซี่ยเฟยยังคงหลับตาทำสมาธิโดยไม่ขยับเขยื้อน ซึ่งความสงบของชายหนุ่มในตอนนี้เป็นความสามารถที่น่ากลัวมาก เพราะโดยปกติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาวะวิกฤต มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถรักษาความสงบของพวกเขาเอาไว้ได้
กาลเวลาค่อย ๆ ผ่านพ้นไปพร้อมกับปริมาณออกซิเจนที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็ส่งผลกระทบให้สมองของชายหนุ่มเริ่มทำงานอย่างเชื่องช้าลง
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับกระโดดขึ้นมาจากพื้นด้วยแววตาที่ตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
“ฉันว่าฉันรู้แล้ว!” เซี่ยเฟยกล่าว
“รู้อะไร?” อันธถามอย่างสงสัย
“นายลองดูโครงสร้างของห้องนี้สิ มันทำให้นายนึกถึงอะไร?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างช้า ๆ
อันธพยายามมองตามสายตาของเซี่ยเฟยไปก่อนจะพบว่าห้องนี้มีลักษณะคล้ายกับลูกกระสุนที่มีผนังโค้งมนเป็นทรงกระบอก
“นายกำลังพยายามจะพูดอะไรกันแน่? ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นนะ!” อันธยังคงกล่าวอย่างกระวนกระวาย
“นายสังเกตไหมว่าห้องลับนี้มันดูเหมือนกระสวยกู้ภัย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
คำอธิบายของเซี่ยเฟยทำให้อันธรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย ท้ายที่สุดภายในยานรบทุกลำจะมีการติดตั้งกระสวยกู้ภัยเอาไว้ ซึ่งกระสวยนี้จะเป็นห้องโลหะอัดลมที่สามารถดีดออกจากยานในสภาวะวิกฤต ทำให้ลูกเรือสามารถหลบหนีออกไปจากยานรบที่กำลังจะระเบิดได้
กระสวยกู้ภัยส่วนใหญ่จะมีรูปทรงคล้ายลูกกระสุนหรือรูปทรงกลม ซึ่งโครงสร้างของห้องแห่งนี้มันก็ดูคล้ายกับกระสวยกู้ภัยขนาดใหญ่!
“ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ว่าแต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับวิธีการหนียังไง?” อันธถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“หึ ๆ ฉันคิดว่าเงาอำมหิตจะเป็นพวกหยาบกระด้าง แต่ความคิดของเขากลับมีความพิถีพิถันมาก”
“ความจริงแล้วมันไม่มีทางหนีซ่อนอยู่ภายในห้องแห่งนี้!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับแววตาที่เป็นประกาย
“อะไรนะไม่มีทางหนี! แบบนี้พวกเราจะถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยใช่ไหม? ทำไมผู้อาวุโสเงาอำมหิตถึงโหดเหี้ยมแบบนี้ เขาตั้งใจทิ้งมรดกเอาไว้แล้วก็ขังผู้สืบทอดของตัวเองให้ตายภายในห้องลับอย่างนั้นเหรอ!” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“ไม่ใช่แบบนั้น สาเหตุที่ห้องนี้ไม่มีทางหนีนั่นก็เพราะว่ามันไม่จำเป็น นายอย่าลืมสิว่าหน้าที่ของกระสวยกู้ภัยมันคืออะไร?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หนี?!” อันธพูดขึ้นมาอย่างลังเล
“ใช่แล้ว เงาอำมหิตพยายามสร้างภาพลวงตาให้พวกเราหาทางออกไปจากห้องแห่งนี้ แต่ความจริงแล้วห้องลับเนี่ยแหละคือทางหนี เพียงแค่เราต้องขับกระสวยกู้ภัยออกไปยังด้านนอก!”
คำอธิบายของชายหนุ่มทำให้อันธรู้สึกตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เพราะความคิดแบบนี้เป็นเรื่องที่บ้าบิ่นมากจริง ๆ
“ถ้าห้องลับนี้เป็นกระสวยกู้ภัยจริง ๆ แล้วแผงควบคุมกระสวยมันซ่อนอยู่ที่ไหน?” อันธกล่าวด้วยความสงสัย
เซี่ยเฟยเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นช่องว่างตื้น ๆ ที่อยู่ใต้ล่างร่างกายของเขา
ขณะที่เขาได้ใช้วิชาเนตรมนตราเขาก็ได้สังเกตเห็นว่ามันมีโลหะผสมซ่อนตัวอยู่ข้างใต้ลึกลงไปประมาณ 20 เซนติเมตร
“เอาล่ะพวกเรากำลังจะออกไปแล้วนะ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แววตาของอันธเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะเขาไม่เข้าใจว่าช่องเล็ก ๆ ที่อยู่บนพื้นจะเป็นแผงควบคุมได้ยังไง
ขวับ!
เซี่ยเฟยยกดาบอีวีสเซอเรทขึ้นมาหมุนควงในอากาศ 2-3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะใช้มือจับด้ามดาบ ทั้งสองข้างและแทงใบดาบลงไปยังช่องว่างที่อยู่บนพื้น
ช่องว่างนี้มีขนาดพอ ๆ กับใบดาบอีวีสเซอเรทเพียงแต่ความลึกของมันมีน้อยมากจนเกินไป ชายหนุ่มจึงสามารถสอดดาบเข้าไปได้เพียงแค่ปลายดาบเท่านั้น
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ 2-3 ครั้งก่อนที่จะปรับอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างหดเกร็งขึ้นมาในทันที
ตูม!
เซี่ยเฟยใช้พละกำลังทั้งหมดกดดาบอีวีสเซอเรทลงไปกับพื้น ซึ่งในพริบตาใบดาบก็พุ่งจมลงไปในดินมากกว่า 2 เมตร
พริบตาต่อมาสิ่งที่ไม่คาดฝันก็พลันได้เกิดขึ้น เพราะมันราวกับมีรถไฟขนาดใหญ่แล่นผ่านห้องลับที่พวกเขาอยู่ไปอย่างรวดเร็ว
แท้ที่จริงแล้วห้องลับแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนทางลาดชัน และเมื่อเซี่ยเฟยได้ใช้ใบดาบตัดตัวยึดโลหะที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้น มันจึงทำให้ห้องลับทั้งห้องเคลื่อนตัวไปตามรางที่เงาอำมหิตได้ทำการติดตั้งเอาไว้
ในที่สุดห้องทั้งห้องก็เลื่อนลงไปตามทางลาดราวกับสไลเดอร์ และเนื่องจากว่ามันไม่มีระบบยึดเกาะคอยรั้งความเร็วเอาไว้ มันจึงทำให้พวกเขาอยู่ในสภาวะการเคลื่อนไหวแบบอิสระโดยสมบูรณ์!
—
ขณะเดียวกัน 3 ผู้อาวุโสก็กำลังยืนอยู่ด้านหลังเงากระเรียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตงเทียนและเหล่าลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังห่างออกไป
บนโต๊ะเต็มไปด้วยผลไม้และชาชั้นดี ถึงแม้ว่าแขกเหล่านี้จะเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่พวกเขาก็ยังคงรับรองแขกอย่างมีมารยาท
“ไม่ทราบว่าลมอะไรพัดท่านตงเทียนมาจนถึงที่นี่ ถ้าหากคุณแจ้งผมก่อนผมคงจะออกไปต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว” เงากระเรียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเงากระเรียนอย่าได้พูดเช่นนั้นเลย เจ้าสำนักเล็ก ๆ อย่างผมจะให้คุณออกมาต้อนรับได้ยังไง” ตงเทียนกล่าวพร้อมกับโบกมือ
เงากระเรียนแอบขมวดคิ้วอย่างลับ ๆ พร้อมกับคิดภายในใจว่าแขกผู้นี้คงจะนำปัญหามาให้กับเขาแล้วแน่ ๆ
“แล้วไม่ทราบว่าท่านตงเทียนมีธุระอะไรถึงได้มาภูเขานิรนามพร้อมกับลูกศิษย์จำนวนมากขนาดนี้?” เงากระเรียนถามอย่างตรงประเด็น
“สำนักเงาสังหารและสำนักเหมันต์สวรรค์ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์นักฆ่า มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราจะมีการพบปะเยี่ยมเยียนกันบ้าง ขอท่านเงากระเรียนโปรดรับของขวัญที่ผมได้เตรียมเอาไว้ด้วย” ตงเทียนกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
หลังจากกล่าวจบฟางหยวนก็ใช้นิ้วสัมผัสกับแหวนมิติ ก่อนที่จะหยิบชุดต่อสู้ออกมามอบให้กับเงากระเรียน
เงากระเรียนรับของขวัญด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะได้กล่าวออกไปว่า
“สำนักเงาสังหารของพวกเราออกจากสมาพันธ์นักฆ่ามาตั้งนานแล้ว เนื่องจากพวกเราไม่มีเวลาคอยจัดการเรื่องในสมาพันธ์ ท่านตงเทียนอย่าได้พูดเช่นนั้นเลยมันทำให้ผมรู้สึกเกรงใจ”
“มันก็ถูกของท่านที่สำนักเงาสังหารได้ถอนตัวออกมาจากสมาพันธ์แล้ว แต่ท่านกลับเก็บเรื่องนั้นเอาไว้เป็นความลับแล้วจะถอนตัวออกไปอย่างเงียบ ๆ งั้นเหรอ?” ตงเทียนกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว
ทันใดนั้นสีหน้าของเงากระเรียนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด เพราะเขารู้ว่าตงเทียนกำลังพูดถึงอะไร แต่เขาก็ยังคงถามออกไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ผมไม่รู้ว่าท่านตงเทียนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ถ้ามันยังมีเรื่องอะไรที่ยังค้างคาสำนักเงาสังหารย่อมไม่มีทางปล่อยมันทิ้งเอาไว้อย่างแน่นอน”
“ผมได้ยินมาว่าที่ยอดเขายังคงมีแผ่นป้ายของสมาพันธ์เก็บเอาไว้ใช่ไหม? แผ่นป้ายที่จะมอบให้กับสำนักนักฆ่าอันดับ 1”
ปัง! เงากระเรียนลุกขึ้นทุบโต๊ะด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
สำนักเงาสังหารคือสำนักนักฆ่าอันดับ 1 ในสมาพันธ์ พวกเขาจึงได้รับแผ่นป้ายเกียรติยศแผ่นนี้มา แต่ตอนนี้ตงเทียนกลับกำลังถามถึงแผ่นป้ายเกียรติยศของสำนัก ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นหัวสำนักเงาสังหารอีกต่อไปแล้ว
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 122
แสดงความคิดเห็น