ตอนที่ 52
ตอนที่ 52
แม้คนใช้เอากระดานวิเศษมาถึงแล้ว แต่ยังไม่ยื่นให้ ต้องเปิดให้ก่อน เพราะว่าโจวเฟยเปิดใช้งานไม่เป็น
แน่นอนว่าทุกคนอยากรู้คำตอบ โดยเฉพาะพวกอนุภรรยา พวกเธออยากรู้แทบใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้ายื่นหน้าไปดูใกล้ๆ เพราะจะกลายเป็นการกระทำที่เสียมารยาท
เวลายังคงเดินต่อไป... ความเงียบที่ทำให้ระทึกยังคงอยู่ โจวเฟยยังคงมองดูภาพที่กระดานวิเศษ
แต่ดูไม่นานนัก เพราะว่าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่นาน จึงรู้ว่าต้องหยุดเมื่อถึงเวลาใด
แน่นอนว่าโจวเฟยต้องอยู่ในสายตาทุกคู่ที่อยากรู้คำตอบ โจวเฟยก็รู้ว่าทุกคนต้องการอะไร จึงกล่าวออกไป
“ไม่มีใครทั้งสิ้น”
โจวเฟยดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดทั้งสิ้นจริง ยกเว้นนกที่บินไปมา
“คุณพี่ไม่เห็นใครจริงรึเจ้าคะ ?” จินเยว่ไม่เชื่อหู
โจวเฟยชำเลืองมอง แล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าโกหกรึ”
ทุกคนรู้สึกได้ว่าตอนนี้โจวเฟยเริ่มมีความโกรธกลับมาอีกครั้ง
แน่นอน ไม่ว่าใครก็ต้องโกรธทั้งนั้น ทั้งที่ดูหลักฐานเหมือนเห็นกับตาเช่นนี้แล้ว ดังนั้นเป็นไปได้อย่างเดียว...
เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก !
“ข้าอยากรู้นัก ทั้งที่ไร้หลักฐาน แต่เหตุใดพวกเจ้ามั่นใจกล่าวหาข้านัก”
แม้คุณหนูใหญ่กล่าวอย่างเย็นชา เหมือนว่ายังไม่หายโกรธ แต่ให้ความรู้สึกท้าทายและเยาะเย้ย
แน่นอนว่าต้องสะกิดอารมณ์ของพวกอนุภรรยาอย่างรุนแรง แต่ไม่ถึงขั้นทำลายสติปัญญา
“เจ้าคิดว่าเราไม่มีหลักฐานอื่นรึ” จินเยว่หันขวับไปสั่งสาวใช้ส่วนตัว “พวกเจ้าทั้งสองจงออกมา”
แต๋วชำเลืองมองตาม “หลักฐานของเจ้าคือพยานเช่นนั้นรึ ?”
ทั้งเฟิงเหยาและลี่เลี่ยนแทบสะดุ้งเมื่อถูกคุณหนูใหญ่มองด้วยสายตาอย่างนั้น
จินเยว่ไม่ตอบคำถามของคุณหนูใหญ่ กลับยิงคำถามไปที่คนใช้ทั้งสองแทน “พวกเจ้าเห็นชายแปลกหน้าเข้าไปในเรือนของโจวจื่อรั่วจริงหรือไม่ ?”
ทั้งเฟิงเหยาและลี่เลี่ยนทำเสียงอ้ำอึ้งเล็กน้อย ดวงตาชำเลืองมองกันครู่สั้นๆ แล้วตอบเป็นเสียงเดียวกัน ทว่าเสียงไม่ค่อยหนักแน่น ยังสั่นอย่างบางเบา “เจ้าค่ะ...”
โจวเฟยจ้องหน้าสาวใช้ทั้งสอง แววตาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริงเอาจัง “เช่นนั้นพวกเจ้าจงเล่ามาว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ?”
ทั้งเฟิงเหยาและลี่เลี่ยนทำเสียงอ้ำอึ้ง แต่ดวงตาแอบเหลือบมองเล็กน้อยไปที่พวกอนุภรรยา
จินเยว่เหมือนเป็นตัวแทน แอบพยักพเยิดให้
เมื่อทั้งเฟิงเหยาและลี่เลี่ยนได้รับคำสั่งที่เสมือนโล่คุ้มครอง ก็เริ่มเล่า
โจวเฟยไม่พูดอะไรแม้คำเดียว มีเพียงแค่คิ้วขมวดเล็กน้อยระหว่างฟัง
หลังจากได้ฟังจนจบ โจวเฟยก็ค่อยๆ หันไปที่คุณหนูใหญ่ แววตาของเขานั้นบ่งบอกความรู้สึกที่ไม่ดีนัก
“เจ้าได้ยินคำพูดชัดเช่นนี้แล้ว เจ้าจะปฏิเสธอีกหรือไม่ ?” จินเยว่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
แน่นอนว่าพวกอนุภรรยาต้องหัวเราะในใจ เพราะมั่นใจว่าพยานหลักฐานต้องทำให้คุณหนูใหญ่โต้แย้งไม่ได้แน่นอน
แต่ทว่า... ลืมไปว่าถูกตอกหน้าหงายมาหลายครั้งแล้ว
“ข้าอยากรู้นัก” แต๋วมองไปที่คนใช้ซึ่งเป็นพยาน “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นบ่าวส่วนตัว พวกเจ้าต้องอยู่กับผู้เป็นนายมิใช่รึ แต่พวกเจ้าไปอยู่ใกล้เรือนส่วนตัวของข้าเพราะเหตุใด ?”
ทั้งเฟิงเหยาและลี่เลี่ยนอ้ำอึ้ง แน่นอนว่าตอบไม่ได้ เพราะแท้จริงไม่มีเหตุผล
“หรือแท้จริงเรื่องทั้งหมดนี้คือแผนการใส่ร้าย เพราะต้องการทำให้ข้าเสื่อมเสีย ใครมากมายที่ถูกเชิญเข้ามาจะได้รับรู้ เอาเรื่องนี้ไปกระจาย รู้ถึงไหน อับอายทั้งตระกูลถึงที่นั่น แล้ววันนี้ตระกูลมี่จะมาเยี่ยมเยือนด้วยมิใช่รึ เป็นสถานการณ์บังเอิญตรงกันยิ่งนัก เหมือนตั้งใจให้พวกเขาได้รับรู้ เสื่อมเสียทั้งตระกูลโจวไม่พอ ยังย่ำยีศักดิ์ศรีตระกูลมี่ หมวกเขียวครอบได้ทั้งหัว ให้อับอายและเป็นที่ตลกขบขันไปทั่ว”
โจวเฟยหน้าเสีย แต่ขัดแย้งด้วยความโกรธใหม่ที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าหลายอย่างชี้มาตามที่คุณหนูใหญ่พูดไม่มีผิด
และแน่นอนว่าต้องทำให้พวกอนุภรรยาเกิดความตื่นตระหนกในใจ พวกเธอรู้สึกเหมือนปาหอกออกไปแล้วแต่วกกลับมาหาไม่มีผิด
เจียวจ้านเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงคิดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้ข้ออ้างอันสวยหรู “เหตุใดเจ้าพูดเช่นนั้น...” น้ำเสียงของเธอสื่อออกชัดว่าเสียใจอย่างยิ่ง “เรารู้ว่าเจ้าตั้งใจดูแลแม่มากเพียงใด เจ้าต้องเหนื่อยมาก เราจึงสั่งพวกนางไปหาเจ้า เผื่อว่าเจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่ม เจ้าจะได้ใช้พวกนางทำแทน เราเพียงเป็นห่วงเจ้า” เธอเว้นคำพูดครู่สั้นๆ เหมือนกับว่าเกิดความลังเลจะกล่าว “แต่เราไม่คาดคิดว่าเฟิงเหยาและลี่เลี่ยนจะไปเห็นเรื่องไม่ดีไม่งาม ที่เรามานี้ เราเพียงไม่อยากให้เจ้าหลงผิด เจตนาของเรามีเพียงจะเตือนสติของเจ้า เราไม่อยากเห็นเจ้าหลงทางไปไกล...”
“เหตุใดเจ้ามองว่าเรามีเจตนาร้ายอยู่เรื่อยไป” จินเยว่รีบเสริม “จิตใจของเจ้ามีแต่ความเกลียดชังต่อเราอย่างเดียวรึ ทั้งที่เราพยายามทำดีต่อเจ้าและแม่ของเจ้า”
แต๋วนิ่งเงียบครู่สั้นๆ แล้วกล่าวช้าๆ อย่างเยือกเย็น “แม้ข้าจะเหนื่อย แต่เพียงข้าได้พัก นั่งจิบชา รับลมโชย สูดหายใจปกติ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องหอมเช่นธูป”
จินเยว่รู้สึกได้ชัดว่าตัวเธอนั้นเกิดอาการชะงัก แต่หัวใจพลันเต้นรัวอีกครั้ง
“ข้าได้พักเพียงเท่านั้น ข้าก็ดีขึ้นแล้ว แม่ของข้าเช่นเดียวกัน” แววตาของแต๋ววิบวับ คล้ายคำเตือนอย่างสัตว์อันตรายบางชนิด “ข้านึกขึ้นได้ว่าจะบอกเจ้าตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ต้องใช้บ่าวให้เอาธูปมาให้แม่ข้าแล้ว ข้าเกรงใจ ข้ารู้ว่าธูปนี้มีราคาแพงและเป็นเรื่องยากกว่าจะได้มันมา เจ้าเก็บไว้ใช้เพียงผู้เดียวเถิด และเรื่องบ่าวเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องสั่งบ่าวมาช่วย ข้ามีอิ้งเยว่อยู่แล้ว ข้าขอบคุณที่เป็นห่วง” แล้วค่อยๆ หันหน้ามาหาเจียวจ้าน เหมือนย้ายเป้าหมายใหม่ “ข้าขอบคุณเจ้าเช่นเดียวกัน ที่ยังคงส่งยามาให้แม่ของข้าได้ดื่มระหว่างรอยาตัวใหม่ แต่เจ้าไม่ต้องส่งมาให้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าอยากให้แม่ของข้าเว้นว่างระหว่างยา ข้าคงไม่ต้องพูดต่อว่าเพราะเหตุใด เจ้าย่อมรู้มากกว่าข้า”
แน่นอนเจียวจ้านรู้อยู่แล้วว่ายาอาจมีตกค้างอยู่ในร่างกาย ถ้าหากยังคงรับประทานยาตัวเก่าต่อไป แต่เปลี่ยนยาใหม่กะทันหัน ก็อาจเกิดผลกระทบต่อร่างกายผู้ป่วย เพราะยาทั้งสองตัวนั้นอาจจะตีกัน
โจวเฟินโกรธเมื่อเห็นมารดาพูดไม่ออก จึงออกสู้รบแทน “เจ้าอย่าเปลี่ยนประเด็น ในเมื่อเฟิงเหยากับลี่เลี่ยนเห็นกับตา พูดเป็นเสียงเดียวกัน เป็นพยานชัดเช่นนี้แล้ว เจ้ายังพยายามโกหกอยู่อีกรึ จงพูดความจริงมา เจ้าบอกให้ชายชู้พวกนั้นไปซ่อนอยู่ที่ใด !?”
“น้องโจวเฟิน” น้ำเสียงของแต๋วเย็นชา แต่ยิ่งไร้ความรู้สึกมากเท่าไร กลับยิ่งเหมือนบอกให้รู้ความโกรธที่เพิ่มมากขึ้น ชี้ชัดว่าเธอไม่ชอบถูกกล่าวหาลักษณะนี้ “อย่าเอาพยานมาอ้าง พยานนั้นไม่อาจเอามาชี้ชัด แต่หากเจ้ายังคงกล่าวอ้างด้วยพยาน เช่นนั้น ข้าเรียกอิ้งเยว่มาเป็นพยาน แล้วกล่าวหาเจ้า ข้าก็ทำได้เหมือนกันใช่หรือไม่”
ความหมายของคุณหนูใหญ่นั้นคือยกตัวอย่างให้รู้ว่าพยานหลักฐานถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายดาย จึงเอามาชี้ชัดว่าเป็นเหมือนหลักฐานไม่ได้
แน่นอนว่าต้องทำให้โจวเฟินปากสั่นแทบอยากกรีดร้องทันใด “เจ้า- !”
“หยุด !” โจวเฟยตะเบ็งเสียงสั่งอย่างเกรี้ยวกราด
ใบหน้าของโจวเฟยตอนนี้น่ากลัว และถ้าสังเกตอย่างละเอียด จะเห็นเส้นเลือดของเขาเต้นตุบๆ อยู่ที่ขมับ เหมือนจังหวะน้ำเดือดที่ใกล้ล้น
เกิดเป็นบรรยากาศอันเงียบสงัด แต่มีความระอุที่ยังคงอยู่
แต่บรรยากาศถูกทำลายเล็กน้อยเมื่อพวกคนใช้หญิงกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากเรือน
แน่นอนพวกคนใช้หญิงรู้ว่าเกิดสถานการณ์อะไรขึ้น ทำให้พวกเธอไม่กล้ากล่าวออกไป พวกเธอทำเพียงยืนรอ
ขณะเดียวกันโจวเฟยก็เข้าใจ จึงถาม ทว่าน้ำเสียงยังคงบ่งบอกอารมณ์อยู่ “พวกเจ้าได้เจอสิ่งใดหรือไม่ ?”
คนใช้หญิงที่ยืนอยู่หน้าสุดรู้ว่าต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทน จึงตอบคำถาม ทว่าเสียงของเธอนั้นบ่งบอกความกลัวเล็กน้อย เพราะหวั่นว่าคำตอบอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจ “เรา... ค้นหาจนทั่วแล้วเจ้าค่ะ เราไม่พบสิ่งใดผิดแปลกเจ้าค่ะ”
พวกอนุภรรยารู้สึกได้ชัดว่าหัวใจเต้นแรงอย่างฉับพลัน แน่นอนว่าพวกเธออยากออกคำสั่งให้เข้าไปหาอีกรอบอย่างละเอียด ถึงขั้นงัดข้างฝาออกมาเพื่อมองหาทุกซอกหลืบ
โจวเฟยนิ่งคิดครู่ ค่อยๆ หันไปหาพวกอนุภรรยาและลูกสาว แล้วกล่าวเสียงชัดอย่างดุดัน ซึ่งบ่งบอกว่ายังคงมีอารมณ์ค้างอยู่ “เรื่องนี้จบแล้ว หากใครเอาเรื่องนี้มาพูดอีก หรือเอาไปเผยแพร่ ข้าจะลงโทษผู้นั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร”
คำพูดเพียงเท่านั้นก็ชัดแล้วว่าไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แน่นอนว่าเหล่าอนุภรรยาอยากจะแย้งและร้องขอให้คิดอีกรอบ แต่พวกเธอก็ไม่กล้าพูดออกไป เพราะหน้าตาของโจวเฟยเหมือนช่วยยืนยัน ว่าเขานั้นไม่อยากรู้อะไรทั้งสิ้นแล้ว
และหลังจากโจวเฟยตัดจบ เขาก็จากไปทันที
ทั้งพลทหารที่ติดตามมาและคนรับใช้ชำเลืองมองกันอย่างงงๆ เพราะไม่คาดคิดว่าจะออกมาเป็นสถานการณ์นี้ แต่พวกเขาก็ไม่คิดอะไรต่อ รีบเดินตามโจวเฟยไป
แต๋วชำเลืองมองทหารรับใช้ที่ยังคงจับแขนของเธอ “ในเมื่อจบเรื่องแล้ว พวกเจ้ายังจับข้าไว้เพื่อเหตุใด”
พวกพลทหารมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็ปล่อย กล่าวขออภัย แล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินจากไป
เหลือเพียงเหล่าผู้เป็นนายหญิงและพวกคนใช้ไม่กี่คน
แน่นอนว่าต้องเกิดเป็นสงครามเงียบระหว่างนายหญิง โดยอาวุธหลักคือดวงตาที่จ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อ
แต่ความเงียบอยู่ไม่นาน แต๋วเอ่ยขึ้นมา
“หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวไปดื่มชาให้ชุ่มคอก่อน หากคราวหน้ามีอีก...” ปากของเธอค่อยๆ โค้งยิ้มเยาะเย้ยอย่างสวยงาม “ข้าจะได้ออกกำลังปากคล่องแคล่วไม่เปลี่ยน”
สิ้นเสียง ประตูก็ปิดดังปัง
พวกอนุภรรยาขบฟันกรอด แทบอยากจะเต้นผางเสียภาพลักษณ์
แน่นอน ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเธอบดขยี้ไม่สำเร็จ
เมื่อเจียวจ้านสงบสติอารมณ์ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ทันใดนั้นความคิดก็เกิดขึ้น “พวกเรา กลับกันเถิด” แล้วใบหน้าของเธอพลันมืดครึ้มอย่างน่ากลัว “ข้ามีบางอย่างจะบอกพวกเจ้า”
* * *
“หมวกสีเขียว” คำนี้ในภาษาจีนนั้นมีความหมายแฝงคือผู้ชายถูกคนรักสวมเขาให้เกิดความอับอาย คำนี้มีหลากหลายที่มา โดยหลักๆ เล่ากันมาว่า ในอดีต มีพ่อค้าผู้ร่ำรวยอยู่คนหนึ่ง เขาต้องไปค้าขายต่างแดนบ่อยครั้ง ทำให้ภรรยาของเขารู้สึกเหงา แต่ความเหงาของภรรยาก็หายไปเมื่อได้คบชู้ เธอถูกใจชู้รักมาก แต่จะเรียกชู้มาบ่อยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นความลับจะแตก มีโอกาสตอนที่สามีไปค้าขายไกลๆ เท่านั้นที่ทั้งเธอและชู้รักจะอยู่ด้วยกันได้อย่างเต็มที่ ภรรยาคิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไร แล้วที่สุดเธอก็คิดออก เธอซื้อหมวกสีเขียวสดใสเด่นสะดุดตาให้สามี เธอบอกให้สามีสวมหมวกสีเขียวทุกครั้งที่ออกไปค้าขายแดนไกล โดยอ้างว่าของสิ่งนี้เปรียบเสมือนตัวแทนจากเธอ เธออยากอยู่ใกล้ชิดกับสามีตลอดเวลา เธอไม่อยากอยู่เดียวดาย สามีก็ตกลง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่สามีออกไปค้าขายแดนไกล เขาจะสวมหมวกเขียวตลอด โดยที่หารู้ไม่ แท้จริงแล้วหมวกสีเขียวนั้นคือการส่งสัญญาณลับให้ชู้ และทุกครั้งชู้ก็จะสังเกตเห็นและรีบแอบมากระทำเรื่องไม่ดีไม่งาม ไม่เพียงทำให้ชู้รับรู้คนเดียว ยังรวมไปถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ที่รู้จักกับครอบครัวของพ่อค้าอยู่แล้ว แน่นอนว่าก็ยิ่งทำให้พ่อค้ากลายเป็นเหมือนซูเปอร์สตาร์ แต่ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องภรรยาแอบมีชู้ไปบอก เนื่องจากเป็นเรื่องในครอบครัว แต่พวกชาวบ้านก็แอบซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามความลับไม่มีอยู่บนโลก วันหนึ่ง พ่อค้าก็สวมหมวกเขียวแล้วออกเดินทางตามปกติ แต่เขาลืมของบางอย่าง เขาจึงย้อนกลับไปที่บ้าน โดยยังคงสวมหมวกเขียวอยู่ และเมื่อกลับไปถึง ความลับก็แตก เมื่อชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ทะเลาะกัน ก็เอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันอย่างสนุกปากมากกว่าเดิม โดยหลักๆ เน้นไปที่หมวกสีเขียวสดใส ซึ่งเรื่องนี้กระฉ่อนไปไกลอย่างไม่คาดคิดและข้ามยุคข้ามสมัย ต่อมาก็กลายเป็นคำที่มีความหมายแฝง (ที่มาของความหมายแฝงนี้มีหลายที่มามาก เรื่องนี้เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น)
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 214
แสดงความคิดเห็น