บทที่ 1...2/3
เสียงเพลงบรรเลงคลาสสิกนำพาให้แขกของงานเซ็นสัญญาครั้งสำหรับของ Saturn corporation เดินมาสู่ส่วนต้อนรับซึ่งจัดอยู่ภายในโรงแรมหรูหรากลางเมือง มีพนักงานคอยแนะนำและมอบของที่ระลึก ก่อนแขกที่ได้รับเชิญจะเดินเข้าไปด้านในของงาน ภูดิศกำลังต้อนรับแขกในฐานะรองประธาน โดยมีพ่อของเขานั่งอยู่ด้านในกับคุณธำรงค์ ท่าทางนอบน้อมและค้อมไหล่เล็กน้อยทำให้นักข่าวสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมภูเบศซึ่งเป็นประธานของ Saturn corporation ถึงทำแบบนั้น ข่าวลือถึงการมีประธานที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่ภูเบศยังคงลือสะพัด ซึ่งมันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่รุ่นทวดของภูเบศแล้ว
ภูดิศเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผู้เป็นพ่อ ในขณะที่ธำรงค์เพิ่งนั่งรถออกไปจากงานอย่างเงียบๆ แม้นักข่าวอยากจะตามเข้าไปสัมภาษณ์ แต่การ์ดกันไว้ทำให้นักข่าวไม่เคยได้ข้อมูลจากปากของธำรงค์แม้แต่ครั้งเดียว
“ท่านจะมาหรือเปล่าครับพ่อ” ภูดิศถามผู้เป็นพ่อ การที่เขาเป็นคนในครอบครัวทำให้รู้ว่าใครเป็นใครและอะไรเป็นอะไรมาตั้งแต่เด็ก
“มา แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน แต่พอท่านมา พ่อกับภูจะรู้เอง” ภูเบศชี้ที่สมองท่านจะติดต่อมาเอง เขาจึงไม่ชัดเจนนักว่า ‘ท่าน’ เป็นมนุษย์หรือว่าอะไรกันแน่
“ท่านมาแล้ว” ภูดิศรู้สึกได้ผ่านสมองของเขาราวกับท่านมาบอกตรงนี้ว่าเอง...ผมมาถึงแล้ว
“เริ่มงานได้” ผู้เป็นพ่อเอ่ย
การเซ็นสัญญาครั้งสำคัญของ Saturn corporation เริ่มขึ้นใน 5 นาทีต่อมา หลังจากชายใบหน้าเรียบเฉย ทว่าราวกับมีแสงประกายในทุกย่างก้าวที่เดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้มุมห้องซึ่งเจ้าตัวสั่งไว้อย่างนี้เสมอ เขามาเพื่อรับรู้เท่านั้น
ภูดิศเดินขึ้นเวทีไปโดยมีคู่สัญญาเดินขึ้นมาจากบันไดอีกฝั่ง พิธีกรของงานกล่าวถึงความเป็นมาและสัญญาที่ได้จัดทำกันในวันนี้ ซึ่งจะทำให้ Saturn corporation เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านสัญญาณสื่อสารครอบคลุมไปทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ก่อนที่เสียงปรบมือหลังการเซ็นสัญญาจะดังขึ้น
ศนิลุกจากเก้าอี้ริมห้องกำลังจะเดินออกไปจากห้องแถลงข่าวเงียบๆ แต่ภูเบศที่มองมาตลอดก็รีบลุกแล้วเดินตามมาเพียงลำพัง แม้ว่าปกติแล้วเวลาเขาไปไหนจะมีคนคอยติดตามโดยตลอด ศนิหยุดเดินราวกับรอ แล้วเมื่อภูเบศเดินมาจนถึงจึงเดินต่อเคียงกันไป ทว่าผู้ที่ดูมากวัยกว่ากลับค้อมหลังด้วยท่าทีนอบน้อม ผู้ที่ดูเหมือนจะอ่อนวัยกว่ากลับผึ่งผายหันมามองเพียงนิดพลางก้าวต่อไป
“ท่านจะไปแล้วหรือครับ วันนี้นักข่าวถูกกันไปทางโซนนั้น ปลอดภัยดีหากท่านจะอยู่ต่ออีกสักนิด” ภูเบศเอ่ย
ศนิเห็นแล้ว แต่เขามาที่นี่เพื่อรับรู้ตามที่ทำมาโดยตลอดเท่านั้น “ผมมีธุระที่โรงพยาบาลใกล้ๆ นี่เอง วันนี้ครบ 1 เดือนแล้ว เด็กคนนั้นได้เวลาแล้วที่จะฟื้นขึ้นมาพบบททดสอบ”
ภูเบศร้องอ้ออยู่ในใจเพราะเวลานี้ธามิณีกำลังได้รับการรักษาอย่างดีที่โรงพยาบาลที่ ‘ท่าน’ เป็นเจ้าของ แม้ว่าตามเอกสารแล้วจะเป็นชื่อของภูเบศก็ตาม
“ถ้าเด็กคนนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะรอด...”
เรียวปากหนากดยิ้มคล้ายขบขัน แม้เขาจะกำหนดความเป็นความตายของมนุษย์ไม่ได้ แต่หากเขาไม่ต้องการให้ใครสักคนล่วงลับไปสู่ยมโลก ใครหรือจะกล้ามาขวาง ต่อให้เข้ามาขวางแล้วอย่างไร การต่อสู้กับผู้ที่ไม่กลัวการลงโทษอาจไม่ใช่สิ่งที่เทพผู้สูงส่งอย่างนั้นอยากเกี่ยวข้องนัก แต่หากเขามองผ่านความตายของธามิณีไป แล้วรอเวลาที่รอคอย ย่อมไม่มีใครว่าเขาได้เช่นกัน
“มีผมอยู่ เด็กคนนั้นไม่มีอะไรให้ต้องกลัว ถ้าเจ้าตัวพยายามมากพอที่จะมีชีวิตต่อ”
ภูเบศยิ้มกว้างอย่างที่ปู่ของปู่และอีกหลายคนในครอบครัวของเขาเคยรับรู้เรื่องราวของท่านจากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงเขาและลูกชาย
“แน่นอน แค่เด็กคนนั้นกลัวท่านคนเดียวก็พอแล้ว”
ศนิหันมายิ้มให้ภูเบศที่ตอนนี้มากวัยไปมากแล้ว ก่อนจะขึ้นรถที่มาจอดรอ เขาเห็นภูเบศมาตั้งแต่เพิ่งเกิดจนเวลาล่วงเลยผ่านไป ภูเบศได้เติบโตไปตามกาลเวลา ทว่าเขากลับไม่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่เขาได้รับบทลงโทษ จนกระทั่งมันผ่านมานาน จากวันเป็นปี จากปีเป็นหลายปี จนเป็นร้อยปี ผ่านมา 749 ปี ศนิอยู่ในสภาพเกิดไม่ได้ ตายไม่ได้มานาน ผ่านการต่อสู้เพื่อนำพาปีศาจและวิญญาณร้ายมากมายกลับยมโลกมานับไม่ถ้วนและหน้าที่นี้ไม่มีวันจบสิ้นลง ดังนั้นตอนนี้เรื่องราวที่พบเขามักจะมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องขบขัน แต่ถ้าใครมีปัญหาให้เวลาอันแสนเบื่อของเขาน่ารำคาญ เขาก็ย่อมมีวิธีตอบโต้ที่ไม่ผิดกฎสวรรค์
11 มกราคม วันนี้ครบรอบวันเกิด 16 ปีของธามิณีซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาเป็นเวลา 31 วันพอดี บาดแผลที่ร่างกายทั้งแขน ขา หลังและศีรษะหายดีแล้ว แต่ธามิณียังหลับใหลไม่ฟื้นขึ้นมา แม้ว่าสัญญาณชีพต่างๆ จะดีขึ้นมาตลอด รัดเกล้ามาเยี่ยมหลานสาวทุกวัน แม้ว่าตอนที่เกิดเรื่องนางจะไม่ได้เข้ามาดูแลหลานทันทีเพราะมีงานศพของพี่สาวกับพี่เขยที่ต้องจัดการ โชคดีมีพลเมืองดีพาธามิณีมาส่งโรงพยาบาล อีกทั้งยังช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดและห้องพักคนป่วยไว้ ทำให้นางไม่ต้องวิ่งวุ่นหาเงินในช่วงแรก
แต่การที่หลานสาวต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล โดยที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ค่ารักษาต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน เงินจากซองงานศพที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็เหลือไม่ถึงหมื่น ทำให้การหาเงินมาเป็นค่ารักษาธามิณีเป็นเรื่องใหญ่สำหรับครอบครัวฐานะปานกลางอย่างนาง
แม้เตชิตยังไม่พูดเรื่องค่ารักษาก็จริง แต่รัดเกล้ากังวลใจเพราะถ้าสามีรู้ว่าตอนนี้ค่ารักษาทั้งหมดในวันล่าสุดนั้นเกือบ 3 แสนแล้ว เตชิตต้องไม่พอใจแน่ๆ การขายที่ดินเพื่อมาจ่ายเงินในส่วนนี้เขาคงไม่ยอม หลายสิ่งหลายอย่างพอมาจบที่เรื่องเงินก็กลายเป็นมืดมนทันที การที่ไม่มีคู่กรณีให้มาชดใช้ค่าเสียหายเพราะเหตุการณ์นั้นเกิดจากฟ้าผ่า ทำให้รัดเกล้ายิ่งไม่มีทางออกเข้าไปทุกที
“จะทำยังไงกันดี ทำไมไม่ฟื้นขึ้นมาเสียทีนะธาม ป้าไม่รู้จะหาเงินมาจากไหนแล้ว”
รัดเกล้าทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ เริ่มมองหาลู่ทาง แม้จะเครียดมากก็ตาม รัดเกล้าเป็นครูโรงเรียนประถมมาหลายสิบปี การกู้เงินจากสหกรณ์คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง แต่หากสามีรู้เข้าคงทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้หนี้สินที่เตชิตเคยไปค้ำประกันให้เพื่อนยังคาราคาซังอยู่เลย หากมีหนี้เกิดขึ้นอีกก้อน เขาคงไม่ยอมแน่
พยาบาลเข้ามาในห้องผู้ป่วยเพื่อดูแลธามิณีในเวลาเดิมเหมือนกับทุกวัน รัดเกล้าลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงกำลังจะกลับ พยาบาลเห็นอย่างนั้นจึงรั้งไว้เพื่อบอกว่า
“เดี๋ยวขอเชิญคุณรัดเกล้าที่แผนกการเงินด้วยนะคะ”
“ค่ะ”
รัดเกล้าถอนใจกลุ้มๆ เพราะตอนนี้มีเงินติดตัวไม่กี่พันบาทเท่านั้น พรุ่งนี้นางคงต้องไปทำเรื่องกู้เงินที่สหกรณ์ครู แล้วนำเงินมาจ่ายค่ารักษาของธามิณี หากธามิณีฟื้นคงขยับขยายขายสมบัติของมาสุ แม้จะไม่มากมายอะไร แต่หากขายบ้านและรถอีกคันที่บ้านของมาสุ คงพอที่จะนำมาจ่ายหนี้สินจากค่ารักษาได้ ที่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้เพราะพินัยกรรมและทนายที่ดูแลทรัพย์สิน ทำให้ต้องรอธามิณีฟื้นเสียก่อน
รัดเกล้าเปิดกระจกบานเล็กที่ด้านหน้าแผนกการเงิน เจ้าหน้าที่หันมายิ้มให้พร้อมกับพิมพ์บางอย่างออกมาจากเครื่อง รัดเกล้าเดาว่าคงเป็นรายละเอียดค่ารักษาล่าสุด
“คือว่า...”
“วันนี้มีคนยื่นเรื่องเข้ามาเพื่อดำเนินการจ่ายเงินค่ารักษาให้น้องธามิณีค่ะ คุณรัดเกล้ายินยอมไหมคะ” เจ้าหน้าที่บอกพร้อมกับยื่นเอกสารให้รัดเกล้าซึ่งรับไปด้วยสีหน้าแปลกใจระคนดีใจ
“ช่วยจ่ายหรือคะ”
“ค่ะ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ โดยเป็นค่ารักษาทั้งหมดของน้องธามิณีจนกว่าจะออกจากโรงพยาบาล”
รัดเกล้าดีใจมากในวินาทีแรก ก่อนจะเกิดความสงสัยในวินาทีต่อมา นางไม่ได้มีญาติที่รวยพอจะจ่ายเงิน 3 แสนง่ายๆ แบบนี้ ถ้ามาสุยังอยู่ เงินเพียงเท่านี้คงเป็นเรื่องง่ายดายมาก
“ใครหรือคะ ฉันจะได้ไปขอบคุณในความมีน้ำใจนี้”
“คือว่าทางผู้ยื่นความจำนงไม่ต้องการเปิดเผยค่ะ” เจ้าหน้าที่ตอบ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะส่งผ่านมาทางผู้อำนวยการโดยตรง
แม้รัดเกล้าจะไม่แน่ใจว่าคนที่ช่วยหวังดีจริงๆ ไหม แต่การที่ไม่ต้องไปวิ่งวุ่นหาเงินถึง 3 แสน ทำให้รัดเกล้าหยุดคำถามทั้งหมดไว้เพียงเท่านั้น
“ถ้างั้นฉันขอฝากคำขอบคุณผ่านไปทางคุณนะคะ บอกว่าขอบคุณมากจริงๆ ถ้ามีอะไรให้ฉันตอบแทน หากฉันทำได้ ฉันจะทำให้ทันทีค่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะแจ้งให้นะคะ”
รัดเกล้ายิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณและเดินมาจากแผนกการเงินด้วยความเบาใจ บางทีคนที่มาช่วยจ่ายค่ารักษาให้ธามิณีอาจเป็นพ่อบุญธรรมที่มาสุเคยบอกนางเมื่อนานมาแล้วก็ได้ หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว รัดเกล้าเดินออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านด้วยความโล่งใจที่สุด ตอนนี้สามีและลูกๆ คงกลับถึงบ้านกันหมดแล้ว
ธามิณีกำลังเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งมานาน จนเธอไม่สามารถทำแบบนี้ได้ แต่วันนี้ในความโดดเดี่ยวและสลัวรางของห้องสี่เหลี่ยม เธอกำลังกะพริบตาตะแคงหน้ามองไปรอบตัวด้วยความสับสนว่าตอนนี้ตัวเองยู่ที่ไหน ก่อนหน้าที่เธอจะมานอนอยู่ในห้องนี้ เธอไปอยู่ที่ไหนมาก่อน ตอนนี้พ่อกับแม่อยู่ที่ไหน เด็กสาวมองไปรอบตัวอีกครั้ง
ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเองจึงลุกขึ้นนั่ง ความกลัวทำให้เธอมองฝ่าความสลัวเพื่อหาสวิตช์ไฟ ทว่ากลับรู้สึกได้ว่าถูกจ้องมองมาจากปลายเตียง เธอเม้มปากหลับตา แต่ถ้าหนีจะไปทางไหน เพราะฉะนั้นในวินาทีที่ไม่แน่ใจนั้นธามิณีก็หันไปมองปลายเตียงตรงโซฟาตัวนั้น
ใครบางคนนั่งอยู่ที่นั่น ธามิณีมองไปพลางพยายามนึกเพราะใบหน้าเรียบเฉย เรียวปากเม้มปิด และดวงตาสีดำสนิทน่าค้นหาคู่นั้น เธอเคยเห็นมาก่อนใช่ไหม เธอยกมือทั้งสองข้างที่มีสายน้ำเกลือและสายอะไรสักอย่างขึ้นมาประคองใบหน้าของตัวเอง ความมึนงงทำให้สมองคิดได้ช้าและเธอปาดหัวมาก แต่เธอต้องนึกให้ออก
ใช่แล้ว! คืนนั้น...วันที่รถถูกฟ้าผ่าลงมา
“คุณ...ฉันจำคุณได้ คืนนั้นคุณอยู่ที่นั่น”
ทว่าภาพของชายคนนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยเงาดำของใครบางคนที่ธามิณีเห็นหน้าไม่ชัด รู้แต่น่ากลัวราวกับใบหน้าหน้าสยดสยอง ในวินาทีนั้นเธอก้มตัวหลบพร้อมกับกอดอกคล้ายเวลาที่จะถูกชน แม้เธอจะไม่รู้ว่าอะไรหรือใครที่เข้ามาใกล้
“ถ้ามาดี อย่าทำร้ายกัน เอาไว้จะไปวัด ทำบุญไปให้”
ธามิณีเงยหน้าฝืนตัวเองมองออกไป เงาสีดำยังอยู่ตรงนั้น ถามว่าเธอกลัวไหม เธอย่อมกลัวอยู่แล้ว แต่ความเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาบอกไว้ว่าวิญญาณเป็นเพียงกลุ่มพลังงานเท่านั้น ทำให้เธอบอกตัวเองว่าอย่าได้กลัว แม้ว่าจะใจเต้นแรงเมื่อเงาดำนั้นใกล้เข้ามาอีกครั้ง เธอกลั้นใจแล้วยกมือกันตัวเองไว้ ดวงตาทั้งสองข้างมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า!
วันนี้ 2 เดือน 2 หลายคนคงช็อปกันไปไม่น้อย สู้ๆ กันนะคะ ^_^ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 148
แสดงความคิดเห็น