ทุกคนควรค่าสิ่งดี ๆ 6: จริง ๆ แล้ว เราแค่ต้องการความพอดี
“อะไรก็ตามบนโลกนี้” ควรตั้งอยู่บนความพอดี เหมาะสม สมดุลกันเสมอ! สังเกตไหมว่าอะไรที่เยอะเกินน้อยไปมักจะส่งผลเสียมากกว่าดี กระทั่งของมีประโยชน์มีคุณหลายอย่างเมื่อเอาใส่ตัวเกินปริมาณก็เป็นอันตรายได้ไม่แพ้ยาพิษ แม้ในทางกลับกัน ของเป็นโทษ เรื่องแย่ ๆ หรือความทุกข์ ถ้าอยู่ในปริมาณพอเหมาะก็สร้างคุณไม่น้อยกว่ายาดีได้
ในการดำรงชีวิต ถ้าเราเอาสารอาหารวิตามินบางประเภทเข้าร่างกายมากเกินไปก็อาจส่งผลให้ร่างกายมีปัญหาเหมือนกัน ยกตัวอย่างวิตามินซี วิตามินที่น้อยคนจะไม่รู้จัก เมื่อเรารับเข้าร่างกายมาก ๆ อาจส่งผลให้เป็นนิ่วในไต หรือถ้าน้อยไปสามารถส่งผลต่อการฟื้นฟูบาดแผลของอวัยวะต่าง ๆ กระทั่งน้ำเปล่าในปริมาณเกินพอเหมาะก็ยังสร้างผลเสียกับสุขภาพได้ ปกติแล้วเราควรดื่มน้ำเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน แต่เมื่อไรที่แตะ 6-7 ลิตรอาจเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ ซึ่งถึงขั้นเสียชีวิตได้ และถ้ามันน้อยมากจนเลือดข้นหนืด หัวใจก็จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ผลร้ายย่อมเกิดกับสมองของเรา
ชีวิตคนเราดำรงได้ด้วยอาหารก็จริงอยู่ ทว่าอีกสิ่งสำคัญที่ใครต่อใครปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องการไม่แพ้กัน นั่นคือ “ความสุข” แปลกใจไหม เจ้านี่เกี่ยวอะไรกับความพอดี สำหรับคนกลุ่มหนึ่งความสุขในอะไรมากไปอาจเป็นเหตุให้เสพติดสิ่งนั้นงอมแงม จนยอมเสียเงิน เสียสุขภาพ เพื่อจมอยู่กับมันนาน ๆ ในทางกลับกัน อะไรที่ทำแล้วได้รับความสุขน้อยหรือทำให้ชีวิตไม่สดชื่นเท่าที่ควรก็ส่งผลให้เราไม่อยากทำสิ่งนั้นต่อ ในเรื่องของความสุข ก็ขอพูดถึงของรางวัลและคำชมสักหน่อย เรายอมรับกันไหมว่าสองอย่างนี้ได้รับมาก ๆ เข้าสุดท้ายยากจะขาดจริง ๆ พอไม่มีเครื่องล่อก็ไม่มีใจจะทำอะไร อีกประการหนึ่งที่มันมีปัญหา เพราะถ้าไม่ระวัง ความสุขจะก่อให้เกิดความหลงได้ และตัวหลงนี้จัดอยู่ในกลุ่มกิเลสอันตรายตัวหนึ่งที่ศาสนาพุทธชี้ให้ตระหนักควบคุม
ตอนนี้พอเห็นกันบ้างหรือยังว่าแม้แต่ของดี ถ้าไม่อยู่ในปริมาณพอเหมาะย่อมมีโทษได้เหมือนกัน และเมื่อไรที่ของเสียอยู่ในระดับสมดุล จากพิษร้ายก็กลับกลายเป็นยาแก้ชั้นยอดได้เลยทีเดียว พิษมัจจุราชบางปะเภทต้องใช้พิษถอนพิษ เครื่องดื่มมึนเมาจำพวกหนึ่งถ้าดื่มตามสูตรแพทย์ยังเป็นยา ความร้อนพอประมาณช่วยให้ร่างกายอบอุ่น มูลสัตว์สามารถนำไปทำปุ๋ยชีวภาพ สีดำเองก็มิวาย
ดูเท่
ถ้าชีวิตไร้รสขม ปราศจากส่วนแย่ซะหมด คงไม่มีเครื่องกระตุ้นเราให้ตื่นตัวและเคลื่อนไป จะดีหรือร้ายล้วนเป็นสีสัน
มีประโยชน์และโทษได้เสมอ ขึ้นอยู่ที่เราบริหารจัดการดีแค่ไหน ร้อยทั้งร้อยต่างปรารถนาสิ่งดี ๆ และเกลียดสิ่งตรงกันข้าม แต่ลืมคิดว่ามันช่วยผลักดันเราให้พัฒนาขึ้นอย่างยอดเยี่ยม เพราะถ้าจุดที่ยืนมีแค่สุขดีแล้วใครอยากจะดิ้นรนให้เหนื่อย เจอพายุกระหน่ำ รับของเผ็ดร้อนใส่กายใจบ้างนั่นแหละจึงจะเข้มแข็ง เก่งกล้า และเติบโตอย่างแท้จริง
“ปัญหา” คือสาเหตุให้หลายอย่างในชีวิตยากลำบากขึ้น ซึ่งบางครั้งบีบคั้นจนเราอยากร้องไห้ แต่คนจำนวนหนึ่งกลับพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ เพราะโดนฝังหัวว่าน้ำตาแสดงถึงความอ่อนแอ ทำไมหรือ พวกเราแค่คนเดินดิน จะอ่อนแอบ้าง แพ้บ้าง ผิดพลาดบ้างไม่ได้เลยหรือไง ไม่ใช่เรื่องผิดบาปร้ายแรงสักหน่อย ปล่อยให้ตนเองร้องไห้ออกมาบ้าง ซึ่งเป็นการระบายที่ดี หลังจากนั้นเราจะโล่งเบาขึ้น ใครคิดว่าห้ามให้น้ำตาไหลก็ลบมันทิ้งจากหัวได้แล้ว ไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็หาที่ส่วนตัวได้ไหม ระบายออกมาบ้าง รักตนเองก็เอ็นดูตัวเองบ้าง ไม่เห็นเป็นอะไรเลยสักนิด คนเข้าใจผิดทั้งนั้นที่ห้ามไม่ให้ร้องไห้ มันคล้ายเป็นการปรับสมดุลให้ใจเรามากกว่า!
เมื่อพูดถึงความอ่อนแอ “ความกลัว” ก็เป็นอีกอย่างที่คนชอบมองว่ามันดูแย่เหลือเกิน ทั้งที่ความรู้สึกดังกล่าวช่วยยับยั้งชั่งใจเราไม่ให้แสดงพฤติกรรมหาเรื่องใส่ตัวได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แค่อย่าปล่อยให้มากเกินควบคุมสติไม่อยู่ เพราะอาจจะรนมากไปหรือไม่ก็บ้าซะก่อน คนมีความกลัวน้อยเกินไปจนกล้าบ้าบิ่นคือคนโง่ ไม่ใช่วีรบุรุษ ถ้าเราจะมีความกลัวในอะไรก็ตาม แล้วปรับให้อยู่
ในระดับที่เกิดประโยชน์ นั่นสิน่าชื่นชมกว่า จริงหรือเปล่า? สำคัญที่สุด “ต้องมีสติเข้าไว้” ขาดสติก็ปรับสมดุลอารมณ์ลำบาก เมื่อไรที่รู้ตัวว่าอารมณ์กำลังกระเจิงให้บอกกับตนเองทันที “สตินะ สติ” จากนั้นพยายามสูดหายใจลึก ๆ จนกว่าใจจะนิ่งพอ เมื่อนิ่งมากแล้ว
เราจะจัดการเรื่องเฉพาะหน้าได้ดีขึ้น
บนโลกนี้ การเอาตัวรอดเพื่อให้ชีวิตยังไปต่อได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก คนส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนตลอดอายุขัย โลกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บีบให้คนหยุดเรียนรู้ หยุดพัฒนาตัวเองไม่ได้ซะทีเดียว อย่างน้อยก็ต้องพยายามปรับตัวตามให้ทันในสักเรื่อง สิ่งเหล่านี้เองก่อให้เกิดความเครียดกับผู้คน ซึ่งถ้าอยู่ในระดับพอเหมาะ มันย่อมช่วยกระตุ้นให้กระตือรือร้นเป็นอย่างดี แต่เมื่อภาวะเครียดสูงมากเกินก็มีโอกาสส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราหนักหนาพอดู หรือถ้าเราเครียดน้อยไป เราอาจไม่มีแรงผลักดันให้อยากทำอะไรมากพอควรเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม คำว่า “พอดี” ของแต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน เปรียบกับเวลาปรุงรสอาหาร บางคนชอบรสหวานประมาณหนึ่ง บางกลุ่มเน้นรสเค็ม และบางพวกก็ชอบรสกลมกล่อม ตอนปลูกพืชแต่ละชนิดก็ต้องใช้น้ำ ดิน ปุ๋ยที่แตกต่าง แม้ยามเกิดปัญหาคนคนหนึ่งก็ไม่อาจใช้วิธีเดียวกันกับอีกคนได้ตลอด เพราะสรรพสิ่งใด ๆ ล้วนมีเงื่อนไขและรายละเอียดปลีกย่อยนานาแยกย่อยออกไป ดังนั้น เราควรหาจุดสมดุลของตนเอง แบบไหนที่ไม่ทำเราลำบากเกินควร แบบไหนไม่สบายจนเราไม่ดีขึ้นบ้าง แน่นอนว่าอาจต้องลองผิดลองถูกหลายหน ก็เป็นธรรมดา ค่อย ๆ หาทางปรับไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอเอง
********************
เรื่องนี้ไม่ได้เปิดขาย แต่ถ้าใครชอบใจ ก็ฝากโดเนทเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ อย่างน้อยรายได้เหล่านี้อาจช่วยสนับสนุนให้แพล็ทฟอร์มKeangun ซึ่งสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงเพื่อนผู้พิการทางการเห็นคนหนึ่ง สามารถเติบโต และเป็นประโยชน์กับคนจำนวนมากต่อไปได้ ผู้สร้างคาดหวังให้แพล็ทฟอร์มนี้ช่วยคนตาบอดด้วยกันมีพื้นที่เข้าถึงหนังสือต่างๆมากขึ้นค่ะ ด้วยพักหลัง แพล็ทฟอร์มใหญ่บางแห่งพัฒนาระบบแล้วลืมนึกถึงการใช้งานของคนตาบอดไป ส่งผลให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงหนังสือลำบากขึ้น กระทั่งผู้พิการทางสายตาที่ฝันอยากเป็นนักเขียน ก็หาช่องทางลงงานได้ยากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรแล้ว ฝากทุกคนส่งกำลังใจให้เพื่อนๆตาบอด และเจ้าของแพล็ทฟอร์มนี้ด้วยนะคะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 206
แสดงความคิดเห็น