บทที่ 14 ตามหา 2/2
บทที่ 14 ตามหา 2/2
ย้อนไปเวลาไม่นานก่อนที่เหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้น
ชายหนุ่มทั้งสองประจันหน้ากันอยู่ท่ามกลางฟ้าคราม หนึ่งนั้นสวมหน้ากาก ส่วนอีกหนึ่งนั้นมีหน้าต่างงดงามดุจเทพบุตรที่ร่วงหล่นมาจากสวงสวรรค์ แต่สิ่งที่คล้ายๆกันนั่นก็คือนัยน์ตา นัยน์ตาของเขาทั้งสองเป็นสีแดงทับทิมดุจโลหิต พวกเขาจ้องตากันก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว
ชายหนุ่มหน้ากากทะยานร่างเตะเข้าที่ลำตัวของชายหนุ่มที่ปราศจากหน้ากาก แต่ชายหนุ่มก็สามารถนำมือหมักป้องกันแล้วสวนกลับไป ชายหน้ากากเยี่ยวตัวหลบ ก่อนที่จะต่อยเข้าไปที่หน้าของชายหนุ่มที่ปราศจากหน้ากาก
“ไม่เลวเลยนี่ สมแล้วที่เป็นสิ่งนั้น” ชายหนุ่มที่ปราศจากหน้ากากกล่าว
“ชมกันเกินไปแล้ว ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้แกน่าจะตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มที่ไร้หน้ากากยิ้มอย่างเย้ยหยันกับคำกล่าวของบุรุษหนุ่มตรงหน้า “คิดว่าการโจมตีที่แสนกระจอกงอกง่อยของแกจะทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรอ การโจมตีแบบนี้ทำอะไรเด็กในโรงเรียนเวทมนต์ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“จะพูดดูถูกมันก็ให้มีขอบเขตหน่อย จึงอยู่ที่ฝีมือของฉันไม่สามารถทำอะไรแกได้ แต่ในขณะเดียวกันแกก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวให้กับสาธารณชนได้รับรู้”
“นั่นมันก็เป็นแค่จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของข้า ถ้าแกสามารถรอดจากตรงนี้ไปได้ ข้าจะปล่อยแกไป แต่ถ้าไม่แกก็คงต้องตายอยู่ที่นี่ แผนการที่วางไว้ก็คงต้องสิ้นสุดตรงนี้”
“แสดงว่าถ้าฉันรอดออกไปได้ ฉันจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ฉันต้องการใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายหน่อย”
สิ้นคำกล่าวของชายหนุ่มเขาก็ทะยานร่างตรงมาหาบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาชกแต่รูปหนุ่มตรงหน้าก็สามารถนำบัตรขึ้นมารับได้ เมื่อหมัดได้ปะทะกันฟ้าก็สั่นสะเทือนแผ่นดินก็แยก สภาพแวดล้อมต่างๆแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน การปะทะกันครั้งนี้ ทำให้เทพทั้ง 3 องค์ล้วนกลืนน้ำลายด้วยความตระหนก
ชายหนุ่มที่ปราศจากหน้ากาก วาดวงเวทขึ้นมาบนท้องฟ้า ท้องฟ้าสั่นไหวก่อนที่จะเกิดสายฟ้าฟาด
“รับไปเวทมนต์สายฟ้าคำรณอัสนีบาตคำราม”
ชายที่สวมหน้ากากกะโหลกมนุษย์ดีดนิ้ว ก่อนที่จะเกิดอาณาเขตสีเขียวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กขึ้นมาป้องกัน “กระจอก ถึงแม้ว่าแกจะเคยเก่งที่สุด แต่ว่ายุคนี้มันเป็นยุคของฉัน”
“แกเกิดหลังจากข้าหลายสิบปี ยังกล้าพูดอย่างนี้”
ชายหนุ่มทั้งสองต่อสู้กันไปจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่สามารถรับรู้ได้ แต่การต่อสู้ของเขาทั้งสองคนก็ถูกจับตาดูด้วย 3 พระเจ้าแห่งโลก
ทางฝั่งของพระเจ้า
“โอ้โห พลังของพวกนี้มันเยอะขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่ต่อสู้กันเลยนะเนี่ย ต่อไปเอาไว้เจ้าพวกนี้แหละที่จะมาฆ่าพวกเราจริงหรือเปล่าวิน” คาออสกล่าว ในขณะที่สายตาก็จับจ้องไปยังการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านตรงหน้า
“นั่นน่ะสิ ว่าแต่เด็กๆที่มายังมิติของนายตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง นายได้ส่งไอ้เครื่องกลมๆสีขาวไปให้พวกเขาแล้วใช่ไหม หรือไม่ก็คงเตรียมแผนรับมือแล้วใช่ไหม เรื่องที่จะสามารถให้พวกเขาทั้งสี่คน สามารถกลับไปยังโลกเดิมของพวกเขาได้”
คาออสส่ายศีรษะ ชายหนุ่มยกน้ำขึ้นมาจิบ ก่อนที่จะมองไปยังลูกแก้วของพระผู้เป็นเจ้า
“เรื่องนั้นฉันยังไม่ได้คิดไว้เลย ฉันคิดไม่ออกหรอกว่าจะทำยังไงดีกับพวกนั้น จนกว่าพลังของพวกนั้นจะเพิ่มมากขึ้นฉันก็จะไม่มีทางปล่อยให้มันได้กลับไปยังไม่ติดของมันเอง ถ้าทำให้พลังเพิ่มขึ้นไม่ได้สิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมดมันก็สูญเปล่า แล้วอีกอย่างนะไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไงเจ้าพวกนั้นก็ไม่มีทางตาย”
พระเจ้ายิ้ม “พูดไป เรื่องนี้ความผิดของนายจนเต็มๆนายคนที่จะรับผิดชอบ เพราะว่าถ้าไม่ใช่นายเด็กๆพวกนั้นก็คงไม่สามารถมายังมิติแห่งนี้ได้ง่าย ๆ แล้วอีกอย่างเจ้านั่นคงใช้ช่องโหว่นี้เล่นงานลูกศิษย์โปรดของนายไม่ได้” พระเจ้าเปลี่ยนสายตาไปมองยังบุรุษหนุ่มผมสีทอง
“ระบบของโลกนายมันอ่อนเกินไป จริงอยู่ที่นายอาจจะเขียนระบบมาดีแต่ว่านายอย่าลืมสิว่าข้อผิดพลาดมันก็ยังมีอยู่ได้ทุกที่นั่นแหละ นายคงจำกัดไว้สินะเส้นทางที่จะก้าวขึ้นสู่จักรพรรดิเวทมนตร์ในยุคหนึ่งควรจะมีไม่เกิน 2-3 คน แต่ว่าอาณาจักรหนึ่งก็ควรที่จะมีได้แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ระบบมันก็เขียนขึ้นได้แต่ผู้ใช้ชีวิตนั่นก็เหมือนกับ AI พวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำให้ตนเองกลายเป็นจักรพรรดิ พวกเขาก็สามารถขึ้นเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ ดังนั้นนี่แหละที่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่อยากจะให้เกิด”
วินพยักหน้ารับกับคำกล่าวนี้ “เรื่องที่พวกเราห้ามแทรกแซงฉันก็เป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง หรือว่าเราควรที่จะยกเลิกแล้วกลับไปแทรกแซงโลกของพวกเราด้วยตนเอง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ผิดข้อตกลง แล้วพวกเผ่าเทพกับเผ่ามารก็คงไม่ยอมง่ายอย่างแน่นอน”
คาออสเห็นท่าทางจริงจังของทั้งสองเขาก็กล่าวขึ้นมา
“ไอ้สองเผ่าที่แสนวุ่นวายนั่นน่ะ ถ้ามันมีปัญหามากนักก็แค่ทำให้พวกมันเงียบไปก็สิ้นเรื่อง ถ้าพวกนายไม่อยากทำฉันจะทำให้ก็ได้นะเพราะยังไงฉันก็เป็นเทพแห่งความโกลาหลอยู่แล้ว การที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องพวกนี้มันทำได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”
2 หนุ่มสายหัวปฏิเสธก่อนที่หนุ่มผมทองจะกล่าว
“เราจะไม่ใช้กำลังเท่าที่เป็นไปได้ ยังไงฉันก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้มันผิดข้อตกลงของพวกเรา การใช้กำลังมันควรจะเป็นเรื่องที่สูญหายไปได้แล้ว โดยเฉพาะชนชั้นสูงเช่นพวกเรา ฉันขอเสนออย่างไรก็ตามต่อให้โลกนี้จะพังทลายพวกเราก็ไม่ควรที่จะไปยุ่งวุ่นวาย ต่อให้เจ้าพวกนั้นจะไปจัดการยังไงก็ตาม”
“คงจะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ แล้วอีกอย่างพวกเราก็ต้องจัดการเรื่องของพวกเราเองด้วยนายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้เจ้าพวกนั้นกำลังเคลื่อนไหว”
วินพยักหน้ารับ “ฉันรู้ได้ข่าวว่าพวกนั้นมันจัดการประชุมลับขึ้น”
คาออสยิ้ม “เจ้าพวกนั้นต่อให้จะพยายามดิ้นเท่าไหร่ฉันก็ไม่คิดจะสนใจ ก็ปล่อยให้มันสิ้นไป ถึงเวลาค่อยไปบดขยี้ทีเดียวก็ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร”
วินสั่นศีรษะกับความคิดที่แสนปลื้มเขินของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังเวทย์ทัดเทียมกันแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาชนะมันไม่ใช่พลังเวทย์ แต่มันคือความไม่ประมาท
“เลิกคิดแบบนั้นดีกว่าถ้าถึงเวลาคับขันพวกเราก็ต้องพร้อมที่จะไปจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งหมด แต่ว่าดีหน่อยที่คลังนี้ไม่ได้มีชาวต่างโลกมาวุ่นวาย”
“มิติต่างๆได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้การเดินทางไปหากันนั้นเป็นไปไม่ได้อีก ถ้าไม่ถึงขนาดที่สร้างอะไรใหม่ๆก็คงไม่มีปัญหา”
พระเจ้าพยักหน้า “ผสมพันธุ์นี้ไม่มาเจอกันอีกก็คงดี เราก็คงไม่มีทางเลือกคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็แยกย้ายไปที่ของตนเอง
ความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ทำให้หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากการหลับไหล ผมสีเขียวของเธอบัดนี้ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง แขนขาไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ เมื่อมองไปรอบๆหญิงสาวก็พบว่าตอนนี้เธอโดนบางสิ่งพันธนาการเอาไว้ ตรงหน้าของเธอมีกลุ่มคนกำลังล้อมรอบร่างของพวกเธอทั้งหมดไว้อยู่ ภูเขายืนเป็นวงกลมก่อนที่จะสาดน้ำเข้ามาหาเธออย่างแรง
ความเย็นของน้ำทำให้หญิงสาวต้องหลับตา ร่างกายรู้สึกตื่นตัวและพบว่าตอนนี้พวกเธอกำลังอยู่ในอันตราย เช่นเดียวกับอีก 2 คน ที่ค่อยๆลืมตาตื่นอย่างช้า ๆ
“ทำไมต้องเผาป่าของพวกเราด้วย แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหาอะไรกินไอ้พวกปีศาจ”
เลี้ยงของเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้น ก่อนที่เด็กน้อยคนนั้นจะปาก้อนหินใส่หัวของหญิงสาวอย่างแรง เลือดสีแดงค่อยๆหยดออกมา คือมองการกระทำของเด็กน้อยอย่างไม่พอใจนัก สำหรับเธอที่เป็นอดีตเจ้าหญิงถึงแม้ว่าปัจจุบันยังจะเป็นเจ้าหญิง การโดนกระทำอย่างนี้มันเป็นการไม่ให้เกียรติต่อสายเลือด
ถึงแม้ว่าก้อนหินที่ป่ามานั้นจะมีขนาดนี้ทำให้บาดแผลไม่ลึกและไม่ใหญ่มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็รู้สึกไม่พอใจเธอพยายามผนึกพลังเวทย์ แต่หญิงสาวก็ต้องพบว่าตอนนี้เวทมนต์ของเธอได้หายไป ตอนนี้เธอก็เหมือนกับมนุษย์คนธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทย์
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน พวกแกทำอะไรกับพวกเรากันแน่”
เธอกล่าวด้วยความโกรธ แต่น้ำเสียงที่ได้ยินกับแหบผ้า
“อย่าคิดใช้พลังให้เสียเวลา พลังเวทย์ทั้งหมดถูกผลไม้ต้องห้ามผนึกเอาไว้ พวกแกจะไม่มีทางใช้พลังเวทย์ได้อีก”
เด็กหนุ่มพยายามมองสำรวจรอบข้างเพื่อสำรวจว่าตอนนี้ตนเองนั้นถูกลักพาตัวมาอยู่ในที่แห่งใด แต่ทว่าความพยายามของเขานั้นกับศูนย์เปล่า นั่นก็เพราะว่าร่างกายของเขาไม่สามารถขยับได้ดังใจคิด
เขาตัดสินใจนอนหลับหลังจากนั้นเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่สามารถรับรู้ได้ เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วจึงพบว่าตอนนี้ เขาถูกพามายังสถานที่ที่แปลกประหลาดรอบรอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่ดูวิจิตรงดงามตระการตา จากการสันนิษฐานทำให้เขาพบว่าผู้ที่พาเขามานั้นไม่ได้คิดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่ได้หวังดี ตอนนี้เขาพบว่าตนเองได้นอนอยู่ที่เตียงที่แสนนุ่มฟู
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตอนนี้ประตูห้องถูกล็อคไว้หรือไม่ แต่ว่าสิ่งที่เขามั่นใจก็คือตอนนี้เขาต้องพยายามรวบรวมพลังเวทย์ให้ได้มากที่สุด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 260
แสดงความคิดเห็น