STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 6 ยอมใจ
17 พฤศจิกายน พ.ศ.2575
"เรารู้ว่ามันกำลังจะเข้าหน้าหนาวจากหนังสือพวกนั้น เพราะฉะนั้นต้องเตรียมเสบียงและฟืนให้พร้อม" ซึฮากิมองดูหมอกหนาที่กำลังปกคลุมผืนป่าไว้แม้มันจะเริ่มสายแล้วก็ตาม
"พี่กิหนูอยากไปล่าอีก" ไม่เพียงแค่คิโนริเท่านั้นที่ส่งสายตาอ้อนวอนยากต่อการต่อต้านพวกเธออยากจะพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งจนไม่ต้องคอยพึ่งคนอื่น
"ไม่ได้ ๆ วันนี้ต้องเรียนหนังสือ"
"โห..." เสียงร้องแห่งความสิ้นหวังปรากฏต่อหน้าของซึฮากิ
"พวกนายก็ด้วย" ขณะที่เซนและคานะกำลังย่องหนีแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาหลายวันซึฮากิก็ได้แบ่งเวลาในการเรียนหนังสือให้กับพวกเด็ก ๆ เช่นเดียวกับพวกคานะแม้พวกเธอจะไม่อยากเรียนแค่ไหนแต่ก็ถูกลากกลับเข้ามาอยู่ดี
"วันนี้เราจะเรียนเลข ภาษาและเวทมนตร์"
"เวทมนตร์เหรอ!" เหล่าเด็กตัวน้อยตื่นเต้นจนลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินคำว่าเวทมนตร์
"อันนั้นจะใช้สอนตอนบ่าย ในช่วงเช้าเราจะมาเรียนเลขและภาษา"
พวกเขานั่งเรียนหนังสือกันในพื้นที่เปิดโล่งได้สูดอากาศบริสุทธิ์ไปด้วยทำให้รู้สึกสบายตัวแต่กลับกันพวกผู้ใหญ่ยังต้องทำงานงก ๆ ไม่ได้พักใช้งานเยี่ยงทาส
"ชิมม่อนนายเป็นดาร์คเอลฟ์ใช่ไหม?"
"ชัดขนาดนี้ยังต้องถามอีกเหรอ แม้ข้าจะปกปิดใบหูด้วยเวทมนตร์แล้วก็ตามแต่สำหรับนายคงมองออกได้ง่าย ๆ" ขณะที่กำลังยกท่อนไม้ทั้งชิมม่อนและโทลพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันจนสนิทสนมอาจจะเพราะมีแค่พวกเขาสองคนที่ทำงานอยู่ด้วยกันจะเหงาหาเพื่อนคุยบ้างก็ไม่เห็นจะแปลก
"ว่าแต่พวกเขากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?" ชิมม่อนชายตามองเหล่าเด็กน้อยที่นั่งสัปหงกไม่หยุด
"เรียนหนังสือหรือเปล่าเห็นซึฮากิพูดอยู่"
"พื้นฐานที่สำคัญก็สอนไปหมดแล้วอย่างบวกลบคูณหาร ใครที่ติดตรงไหนให้ยกมือถามก่อนจะเริ่มทำแบบฝึกหัด"
"ทำไมเราต้องมาเรียนอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ?" เซนนั่งเขี่ยปากกาเล่นดวงตาที่กำลังจะปิดแทบจะหลับได้ทุกเมื่อ
"ที่ฉันอยากจะให้พวกนายเรียนจริง ๆ ก็คือภาษาแต่การได้มาทวนความจำก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือยังไง?"
"โอ พวกนี้มันวิชาเลขนี่หน่า" โทลแอบอู้งานมามองดูการสอนทำเป็นพูดคุยด้วย
"พวกคุณมาพอดีเลยอยากจะเรียนภาษาด้วยไหม? รู้ภาษาของอาณาจักรอาฟเอาไว้ติดต่อกับโลกภายนอก...มันสำคัญมากเลยนะหากสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจะแย่เอา"
"ข้าไม่เอาด้วยนะพอดีว่าพูดได้หลายภาษาอยู่แล้ว" ชิมม่อนเดินปลีกตัวออกไปกลางขันแต่ก็ถูกโทลดึงแขนไว้
"จะหนีไปไหนล่ะเจ้างั่ง"
สุดท้ายพวกเขาก็ได้ร่ำเรียนเลขและภาษาจนแทบจะอ้วกแตกแต่เมื่อได้กลิ่นอาหารของยูกิก็ทำเอาตาลุกวาวอีกครั้งเติมแรงกายแรงใจ อาหารของยูกินั้นไม่เพียงแค่ช่วยให้อิ่มท้องแต่ยังทำให้ร่างกายฟื้นฟูความเหนื่อยล้าและมานา
"คิดซะว่าได้พักร่างกายแล้วกัน มาเรียนใช้สมองให้ทำงานมากขึ้นยิ่งใช้งานมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งพัฒนา...เข้าใจที่พูดใช่ไหมเซน" ซึฮากิเหลือบตามองเซนที่ฟุบหลับบนพื้นหญ้าไปเรียบร้อยแล้ว
"เจ้าเซน !" คานะเขกหัวไปหนึ่งทีเรียกสติกลับมา
"พื้นฐานคงจะรู้อยู่แล้วทั้งนั้นฉันจะสอนอะไรที่มันลึกกว่านั้น...อย่างการคุมออร่ามานา" ซึฮากิใช้มานาสร้างเกราะมานาคล้ายคลึงกับการเสริมกำลังแต่ไม่ได้ร่ายคาถาเลยสักคำ
"ฉันรู้ว่าพวกนายก็ยังทำไม่ได้เพราะฉะนั้นตั้งใจดูให้ดี" เซนพยักหน้าตอบรับ
"หลักการของสปีดอัพคือการใช้มานาเสริมประสาทสัมผัสทำให้เกิดการตอบสนองที่ไวยิ่งขึ้น ซึ่งจะเข้ากันได้ดีกับพาวเวอร์อัพที่เสริมชั้นกล้ามเนื้อลดแรงกระแทกและสามารถส่งแรงได้มากขึ้น" ซึฮากิร่ายเวทสร้างกลุ่มก้อนมานาขึ้นมาจำลองการทำงานของกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อกับระบบประสาท
"การเสริมกำลังเป็นการสร้างชุดมานาที่ช่วยพยุงร่างกายและป้องกันภัยจากภายนอกนั่นหมายความว่าเป็นการใช้มานากับภายนอก ส่วนสปีดอัพและพาวเวอร์อัพจะเป็นการใช้มานาภายในแต่การจะร่ายคาถาทั้งหมดนั้นอาจจะทำให้ศัตรูรู้ตัวหรือหาเวลารับมือได้ทัน" ซึฮากินั่งปล่อยมานาออกจากร่างกายจำนวนมากทำให้มันฟุ้งกระจายอย่างกับฝุ่นควัน
"การใช้มานาขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ดังนั้นเวลาหมดสติหรือนอนเราจึงไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้แต่ไม่ใช่กับเวทมนตร์ที่แสดงผลด้วยตัวเอง"
"แล้วเวทมนตร์แบบนั้นคืออะไรครับ?" เอยกมือถาม
"ถ้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เป็นเวทมองในที่มืดของฉันขอแค่ได้จับหรือถือสื่อนำเวทมนตร์ก็จะใช้งานมันทันทีและมันแทบจะไม่เสียมานาด้วยซ้ำหรืออย่างการทำกับดักโดยใช้การประทับเวท"
"ครับผม !"
"มาต่อกันเลยดีกว่าทุกการใช้เวทมนตร์เราจำเป็นต้องพึ่งสติสมาธิและถ้าพวกเธอสามารถสร้างภาพและขยับมันได้ดั่งกล้ามเนื้อ การจะสร้างมานาให้กลายเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป" มานาของซึฮากิกำลังแปลเปลี่ยนเป็นโต๊ะตัวใหญ่ถึงขนาดที่ซึฮากิสามารถนั่งบนนั้นได้
"โห..." แววตาอันสงสัยใครรู้จ้องมองไปยังกลุ่มก้อนมานาของซึฮากิ
"เมื่อสามารถควบคุมมานาได้ถึงระดับหนึ่งก็จะใช้มันได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเสริมแรงแค่ปลายนิ้ว กล้ามเนื้อแขนไตรเซ็ปส์ แฮมสตริง เซลล์ประสาทส่วนกลางหรือแม้แต่การประมวลผลของสมอง"
"เข้าใจที่เขาพูดไหมโทล?" ชิมม่อนถึงกับปวดขมับเมื่อได้ยินคำแปลก ๆ
"เข้าใจแค่การคุมมานาด้วยสติหลังจากนั้นก็เหมือนหัวจะโล่งเลย"
"ฟังดูเหมือนยากเพราะฉะนั้นเราจะมาเรียนเรื่องโครงสร้างร่างกายมนุษย์ด้วย รู้ไหมว่าคนเรามีกระดูกมากกว่าสองร้อยชิ้น มัดกล้ามเนื้ออีกประมาณเจ็ดร้อยเก้าสิบมัดและเซลล์ประสาทที่มีอยู่ทั่วร่างกายเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้นก็จะสามารถปรับเปลี่ยนการใช้มานาได้ดั่งใจนึก"
"ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะแต่ถ้าเป็นเรื่องกล้ามเนื้อขอร่วมด้วยคน" เซนยิ้มอันน้อยนิดนึกสนุกเสียมากกว่าการหาความความรู้
พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงเรียนเรื่องร่างกายของมนุษย์เพราะแต่ละเผ่าแทบจะมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกันจะมีเพียงจุดเด่นที่ต่างกันไป
"ไตรเซ็ปส์ ไบเซ็ปส์" ในคืนวันนั้นเสียงกรนที่คุ้นเคยก็เหลือเพียงเสียงละเหม่อเป็นคำพูดที่กำลังถูกฝังลงในหัว
"จะไปไหนเหรอกิ?" เซนที่กำลังเฝ้ายามอยู่ได้เห็นหลังของซึฮากิผ่านไปไว ๆ จึงได้ทักถาม
"ออกไปสำรวจน่ะ" เสียงของซึฮากิมาจากด้านหลังทำเอาเซนแปลกใจเพราะเห็นซึฮากิยืนอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ
"ฉันแทบจะแยกร่างโคลนของนายไม่ได้แล้วนะคราวหลังก็บอกกันก่อนก็ได้"
"ไม่เป็นอะไรหรอกน่าก็คิดซะว่าเป็นตัวจริงทุกคนไปเลย" เขาปล่อยให้ร่างโคลนออกไปนอกเขตที่พักอาศัยเป็นเสมือนยามที่ไร้ชีวิตไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครบาดเจ็บหรือเป็นอะไร
"ฮ่า ๆ ๆ นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันสองคนแบบนี้"
"ก็นานจริง ๆ นั่นแหละเพราะเราต้องคอยระวังหลังให้กันตลอด "
"อืม...ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วใช่ไหม? ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะเป็นจะตายแล้วใช่ไหม?" เซนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีสายลมพัดผ่านไม่ได้แสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มอันสดใสเหมือนอย่างเคย
"ฉันบอกไม่ได้ตราบใดที่เรายังไม่แข็งแกร่งพอ ต่อให้เราหนีไปอยู่เมืองที่เป็นมิตรแต่สุดท้ายถ้าหากมีการบุกรุกหรือทำสงครามกันผู้ที่อ่อนแอก็จะล้มตายไป อย่างน้อยตอนนี้เราก็ยื้อเวลาให้มากที่สุดเพื่อเสริมสร้างร่างกายและเวทมนตร์จนกว่าจะไม่ต้องกลัวการปะทะกับใครอีก"
"ถูกของนายจะสบายใจได้ต้องอยู่เหนือคนอื่นไม่ต่างอะไรกับโลกเดิมของเราสักเท่าไหร่แต่เปลี่ยนเป็นการต่อสู้แทน แล้วก็...อยากจะขอห้องแยกสำหรับฉันกับคานะน่ะ"
"นายก็ทำมันเองเลยสิ อยากได้แบบไหนหรือจะเอากว้างสักเท่าไหร่ทำตามใจเลยก็ได้ฉันไม่ว่าแต่ต้องอยู่ในอาณาเขตที่วางไว้นะ" ซึฮากิกระตุกยิ้มเล็กน้อย
"จัดไปสิ" เซนฉีกยิ้มกว้างพวกเขาทั้งสองคนชกกำปั้นผสานกันเป็นดั่งสัญญาณ
"อะ-" หินเวทสื่อสารมีการตอบสนองเขารีบหยิบออกมาใช้งานทันที
"ฉันว่าพวกนายน่าจะได้ยินแล้ว" โฟลเอลฟ์หนุ่มผู้เป็นตัวแทนของเราในการสืบข้อมูลของพวกคากิผู้นำเอลฟ์คนปัจจุบัน
"เราได้ยินแล้วโฟล"
"ดีเลยฉันมีเวลาไม่มาก พวกเขากำลังรวบรวมกองกำลังจากหลายเผ่าพันธุ์ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำสงครามกับใคร- แค่นี้นะ" เขาตัดเสียงไปกะทันหันแต่อย่างน้อยก็ได้ใจความมาบ้าง
"ดูเหมือนเราจะยังสบายใจไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ หลังจากนี้เราจะเพิ่มการฝึกและการทำงานให้เข้มข้นขึ้น"
แสงดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าช่างเป็นคืนที่ฟ้าโล่งเสียเหลือเกินยิ่งมองขึ้นมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่างเปล่า ความมืดและความกว้างใหญ่ไพศาลหาที่เปรียบมิได้ของห้วงอวกาศดาวโลกที่ซึฮากิจากมานั้นอยู่ที่ใดกัน
"ท่านคากิ" เอลฟ์หนุ่มยืนตัวตรงดูเกร็ง ๆ
"ฉันรู้...มันกลับมาแล้วสินะ" เอลฟ์ร่างอ้วนท่วมแตกต่างกับรูปลักษณ์ทั่วไปของเผ่าพันธุ์
"ครับ ท่านยูกิ- อดีตองค์ชายยูกิกลับมายังอาณาจักรของเราแล้วครับ" ขณะที่กำลังจะหลุดพูดชื่อท่านยูกิเขาก็หยุดชะงักเสียก่อนเมื่อได้เห็นแววตาดุร้ายจากคากิจ้องมองมาราวกับจะกรีดเลือดกรีดเนื้อ
"ส่งนักฆ่าไปจัดการซะ"
"ครับ !" แม้ภายในห้องจะมีเพียงสองหนุ่มเอลฟ์แต่กลับมีเสียงตอบกลับจากชายหญิงเกือบสิบชีวิตก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป
อะไรกัน พวกเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
"นายเองก็คงจะตกใจสินะ...ก็ไม่แปลกหรอกเพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นนักฆ่าจากสำนักมนตร์ดำแค่ได้ยินชื่อก็ต้องกลัวจนหัวหด"
"แหม่ ๆ ท่านก็ชมพวกเราเกินไป" ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มผอมบางตัวสูงโผล่ออกมาจากเงามืดแทบจะไม่ได้สังเกตเห็น
"ฮ่า ๆ ๆ ทำงานด้วยกันก็ต้องผูกมิตรกันไว้สิ นายเองก็มาดื่มกันก่อนก็ได้ยังไงแค่พวกลูกศิษย์ของนายก็สามารถจัดการได้" คากิยกเหยือกเหล้าขึ้นมาบนโต๊ะหัวเราะเฮฮาคุยกันสนุกปากปล่อยให้เอลฟ์หนุ่มยืนดูอยู่เฉย ๆ
"พวกเราสำนักมนตร์ดำจะรับผิดชอบในการลอบฆ่าแต่อย่าลืมนะครับว่าเราไม่ได้รับประกันในเรื่องการปกป้อง เพราะเวทมนตร์ของพวกเรานั้นเน้นไปที่การฆ่าด้วยลูกเล่นถ้าเจอกันตรง ๆ กับคนที่เลเวลเท่ากันก็อาจจะสู้ไม่ได้"
"ผมได้ข่าวว่าลูกชายของผู้นำสำนักถือครองพลังเดอะอยู่สินะ เขาเก่งมากไหม?"
"พาซี่เหรอ? เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยยุ่งกับใครแต่เวลาทำงานเขาก็จะกระตือรือร้นเร่งรัดวิธีการเท่าที่จะทำได้เพื่อให้งานเสร็จโดยเร็ว แต่ดูเหมือนพ่อลูกจะมีเรื่องขัดใจกันเสียด้วยถ้าเกิดอะไรขึ้นคงไม่พังสำนักหรอกนะฮ่า ๆ"
"ฮ่า ๆ ๆ ยังไงก็ฝากด้วยละกันโยน" คากิชนแก้วกับโยนหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของสำนักมนตร์ดำ
18 พฤศจิกายน พ.ศ.2575
"อย่าหยุด ! วิ่งต่อไป" ซึฮากิวิ่งนำเหล่าเด็กตัวน้อยไปรอบ ๆ ป่าเป็นการออกกำลังกายตอนเช้าที่ดูทรหดเสียเหลือเกินสำหรับเด็กพวกนี้
"โหกิ ! เล่นฝึกแบบนี้เลยเหรอพวกเขาจะไหวแน่นะ?" เซนที่วิ่งตามมาคู่กันแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด
"วิธีพัฒนาตัวเองก็ต้องทำให้มันสุดเนี่ยแหละ นายก็ด้วยวิ่งกลับหัวไปสิ" เซนถึงกับถอนหายใจใช้มือทั้งสองข้างแทนเท้าวิ่งตามหลังไป
"ต่อไปกระโดดไกล" ซึฮากิกระโดดจากอีกฟากของแม่น้ำข้ามผ่านไปกว่ายี่สิบเมตรทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เสริมแรงด้วยมานาด้วยซ้ำ
"ยาก !" รอนวิ่งแต่ไกลย่อตัวลงเล็กน้อยส่งแรงทั้งหมดไปที่ขาทั้งสองข้างกระโดดข้ามไปยังกลางแม่น้ำสายได้แม้จะไม่ไกลนักแต่ก็ถือว่าดีแล้ว
"ไม่ต้องกลัวน้ำตรงนี้ไม่ลึก" รอนตะโกนบอกเพื่อน ๆ ที่กำลังลังเลใจอยู่จนในที่สุดทุกคนก็กระโดดข้ามมาทุลักทุเล
"ต่อไป..."
การฝึกซ้อมยังคงดำเนินต่อไปปล่อยให้พวกโทลเป็นคนจัดการงานต่าง ๆ
"วันนี้จะกินไข่เหรอ !" ซึฮากิเดินถือตะกร้าใส่ไข่มาเป็นโหล
"ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเธอ" เขาหยิบไข่ขึ้นมากำไว้ในมือและเดินไปยังก้อนหินขนาดพอ ๆ กับเก้าอี้ ในวินาทีที่ทุกคนกำลังสงสัยซึฮากิก็ได้ใช้มือข้างที่กำไข่ไว้ทุบลงไปจนหินแตกแบ่งเป็นสองส่วนก่อนจะแบมือให้ดูไข่ใบนั้นที่ยังอยู่ดี
"นายทำได้ยังไง !" ทั้งคานะและเซนแทบจะยื่นหน้ามาแนบกับไข่ใบนั้น
"มันคือการควบคุมแรง ยิ่งเราสามารถทำแบบนี้ได้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งช่วยให้เราควบคุมมานาได้ดียิ่งขึ้นและก็...ถ้าทำไข่แตกหมดก็อดกินนะ" ก่อนที่ซึฮากิจะเดินออกไปรู้สึกได้ถึงเสียงหัวเราะในลำคอที่กำลังชายตามองเซนกับคานะ
ปล่อยให้พวกเขาฝึกกันไป นี่มันก็เที่ยงแล้วยูกิน่าจะกำลังทำอาหารอยู่
ขณะที่เขาเดินไปยังห้องครัวกลิ่นอาหารก็ได้ลอยเตะจมูกความหอมกลมกล่อมชวนให้ดื่มด่ำไม่รู้จบดึงดูดทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นไม่เว้นแม้แต่โทลและชิมม่อน
"ทีเรื่องกินนี่มาอย่างไว" ลิงเมฆาเอ่ยติดตลกจากด้านหลังเดินตามมาติด ๆ แม้เธอจะพูดไปแบบนั้นแต่ตัวเองก็รีบตรงไปยังห้องครัวทันที
"อือ ๆ ว่าแต่พวกคิโนริทำอะไรอยู่ล่ะ?...เจี๊ยก" มังกี้เดินตามมาอย่างใจเย็นเอ่ยถามซึฮากิพวกเขาทั้งคู่ดูจะสุขุมสุภาพกว่าใครในที่แห่งนี้
"ฉันให้พวกเธอฝึกการควบคุมมานา อย่างน้อยตอนนี้ก็ขึ้นมาเลเวลสองกันได้แล้วถ้ายังฝึกต่อไปอีกไม่เกินสองเดือนก็คงจะเลเวลสามไม่ก็สี่"
"ถ้าพวกเขาทำได้ก็ดีเมื่อถึงตอนนั้น...พวกเด็ก ๆ ก็คงจะก้าวข้ามตัวข้าไปและจะเป็นข้าเองที่ต้องให้คนอื่นดูแล"
"ไม่หรอกมังกี้ เธอมีพลังเดอะอยู่จำไม่ได้เหรอ? ฝึกมันซะฉันเชื่อว่ามันไปได้ไกลกว่าเป็นแค่ลิงตัวใหญ่"
"เจ้าปลอบข้าสินะ...เจี๊ยก"
"ไม่ ฉันไม่ได้ปลอบเธอต้องฝึกมันให้มากกว่านี้ เพราะฉะนั้นในช่วงบ่ายหลังจากดูแลสวนเสร็จแล้วเธอต้องไปฝึกมันซะ"
เมื่อเด็ก ๆ กลับจากฝึกทุบหินเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยเหงื่อและฝุ่นนั่งลงบนโต๊ะอาหารกินมันทั้งอย่างงั้นท่าทางหิวโหยแทบจะกินวัวได้ทั้งตัว
"กินช้า ๆ หน่อยคิโนริ...เจี๊ยก"
"ขอโทษค่ะ..." เธอกล่าวขอโทษไม่ทันไรก็หยิบเนื้อกัดแทะอย่างเอร็ดอร่อย
"พี่กิ ๆ หนูทุบหินก้อนเล็กได้แล้ว" รอยยิ้มที่เต็มไปหยาดเหงื่อและเศษอาหารรอบปากเมื่อซึฮากิเห็นเขาใช้หลังมือเช็ดให้อย่างนุ่มนวล
"เก่งมาก คนอื่น ๆ ก็เหมือนกันวันนี้พยายามได้ดีหวังว่าช่วงบ่ายจะไม่หมดแรงไปก่อนนะ"
"บอกเลยว่าไม่มีทาง" หลานยิ้มเยาะเผยให้เห็นชัดเจนชายตามองเพื่อน ๆ ของเธอ
"ฮ่า ๆ ๆ อะไรกันเห็นตอนทุบหินบ่นเจ็บจะตาย" รอนพูดขัดจังหวะหัวเราะเสียงดัง
"อะไร ! ก็แค่ร้องนิดเดียวเดี๋ยวคนอื่นจะอิจฉาความเก่งของฉันหมด"
"แหม่ ๆ ทำเป็นพูด"
"เอ่อ..." ทั้งแมรี่และรูบี้พยายามช่วยกันห้ามพวกเขาไม่ให้ทะเลาะกัน
"พวกเธอหยุดเลยนะ" เอดึงหูของรอนบังคับให้นั่งที่เดิมและมันก็ได้ผลกว่าที่คิด
"รีบกินอาหารแล้วเก็บแรงไว้ได้เลย เพราะเราจะฝึกต่อสู้จริง" ซึฮากิส่งสายตาดุใส่หลานและรอนทำให้พวกเธอนิ่งเงียบไปทันที
หลังจากบรรยากาศการกินอาหารอันครึกครื้นผ่านไปพวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำงานของตนเองซึฮากิก็ได้พานักเรียนตัวน้อยไปยังลานกว้างที่จัดเตรียมไว้เพื่อการต่อสู้
"สเตล่า...ฉันจะให้เธอสู้กับเซน" ขณะที่สเตล่ากำลังจะกลับไปทำงานของตัวเองก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่ซึฮากิพูด
"เอาจริงเหรอ?" สเตล่าเหลือบตามองหน้าเซนครู่หนึ่ง
"จริงสิ การได้ลองสู้กันก็จะได้ฝึกฝีมือแล้วที่สำคัญดูเหมือนเธอใกล้จะเลเวลหกแล้ว"
"หนูจะได้เห็นพี่ ๆ แสดงฝีมือแล้ว" พวกเด็ก ๆ ต่างก็ตื่นเต้นไม่น้อยตั้งหน้าตั้งตารอชม
"จัดมาเลยไม่ว่าใครหน้าไหน" เซนตอบรับทันทีไม่มีความลังเลใจเลยสักนิด
พวกเขาใช้อาวุธเป็นมีดสั้นที่ซึฮากิเตรียมไว้ให้ท่าทางองอาจของเซนฉีกยิ้มอย่างกับคนบ้าแตกต่างกับสเตล่าที่ดูใจเย็นกว่า
"ไม่มีข้อจำกัดในการต่อสู้ ใครยอมแพ้หรือสู้ไม่ได้ก่อนถือว่าแพ้"
หลังสิ้นเสียงสัญญาณจากซึฮากิทั้งสเตล่าและเซนก็พุ่งใส่กันอย่างบ้าระห่ำ เสียงมีดตวัดปะทะกันไม่มีใครยอมใครจนสเตล่าถอยออกมาเว้นระยะห่างหลายเมตรและใช้เวทลมสร้างใบดาบวายุพุ่งตัดแนวเฉียงแต่ด้วยสัญชาตญาณของเซนเขารู้ได้ถึงรูปแบบการโจมตีจึงใช้โล่มานาป้องกันไว้ได้
"ฮ่า ๆ ๆ ไม่ง่ายหรอกน่า" เซนกระโดดข้ามใบดาบวายุที่พุ่งเข้ามาอีกหลายครั้งและยังสะบัดมีดสั้นสร้างดาบเพลิงสวนกลับ
"[ล่วงรู้]" ซึฮากิมองดูการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของสเตล่าหลบการฟาดฟันอันหนักอึ้งของเซนไปได้และยังเข้าถึงตัวในเวลาอันสั้น
สกิลล่วงรู้ดูจากชื่อมันคงจะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของคนอื่นได้ก่อนแน่ ๆ แถมมันยังพัฒนามาจากสกิลจุดอ่อนมีความเป็นไปได้ที่มันจะมองเห็นจุดอ่อนด้วย ซึฮากิจ้องมองดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา
แม้สเตล่าจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าแต่เรื่องพลังทำลายก็ด้อยกว่าเช่นกันเธอใช้เวทล่วงรู้มองดูการเคลื่อนไหวของเซนและมุ่งไปยังจุดบอดของสายตากำมีดสั้นไว้อย่างมั่นคงและร่ายเวทใบมีดวายุแทงจากด้านหลัง
"ฮ่า ๆ ๆ ฉันคิดแล้วว่าเธอต้องมาด้านหลัง" รอยยิ้มแสยะออกพร้อมกับโล่มานาที่หนายิ่งกว่าด้านหน้าแต่แทนที่สเตล่าจะถอยออกไปเธอกลับหัวเราะในลำคอทิศทางของใบมีดวายุนั้นไม่ได้แทงไปที่ด้านหลังแต่เป็นสีข้างช่องว่างเพียงเล็กน้อยที่ไร้ซึ่งการป้องกันจากมานา
"อาก ! มันเจ็บนะสเตล่า" เซนเตะกลับหลังสวนกลับทันทีทันใดอย่างกับร่างกายตอบสนองด้วยตัวเอง
"แทงตื้นขนาดนี้ยังจะบ่นเจ็บอีกเหรอ?" สเตล่าที่ถูกแตะถอยออกมาตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง
"เจ็บสิ ! ดู ๆ เลือดไหลออกมาแล้ว" ท่าทางโอเวอร์ทำเป็นเจ็บเจียนตายเขาใช้จังหวะนั้นพุ่งเข้าใส่สเตล่าฟาดคมดาบเพลิงลงตรงหน้าเกือบโดนใบหน้าของสเตล่า
"พลาดแล้วล่ะ" ขณะที่สเตล่ากำลังยิ้มได้ใจเซนก็เตะเต็มแข้งไปที่สีข้างของสเตล่าทะลุทะลวงการป้องกันไปอย่างง่ายดาย
ขณะที่เธอยังตั้งหลักไม่ได้เซนก็ขว้างมีดสั้นออกไปเป็นตัวล่อและใช้จังหวะนั้นเข้าถึงตัวของสเตล่าคว้าจับแขนและเหวี่ยงทุ่มลงกับพื้นแม้สเตล่าจะจุกไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังใช้ขาเตะเสยไปที่ระหว่างขาของเซนจนลงไปดิ้นกับพื้น
"ส-สเตล่า"
"ดูเหมือนจะหนักเอาเรื่องเลยนะ" ซึฮากิเดินเข้ามาดูใบหน้าซีดเชียวของเซน
"พอก่อนละกัน คานะพาเซนไปพักสักหน่อย"
"อืม..." คานะหัวเราะคิกคักขณะที่ลากตัวเซนออกไปดูท่าทางจะสะใจ
"สเตล่าเธอลองใช้ล่วงรู้กับฉันสิ"
"ก็ได้อยู่หรอกแต่จะทำไปทำไมล่ะ? [ล่วงรู้]" สเตล่าจ้องมองเรือนร่างของซึฮากิแต่ก็ต้องส่ายหน้า
"ฉันไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไรเลย"
"ก็ควรจะเป็นแบบนั้นเพราะฉันไม่คิดจะทำอะไรอยู่แล้ว ดูเหมือนสกิลล่วงรู้จะอ่านการเคลื่อนไหวผ่านความคิดแล้ว...มันยังสามารถมองหาจุดอ่อนของคนอื่นได้ไหม?"
"ได้สิ แล้วฉันก็เห็นจุดอ่อนของนายด้วย...กิ" สเตล่ามองดูยิ้มเล็กยิ้มน้อยทำเอาซึฮากิหน้าเสีย
"มันบอกว่าอะไร?"
"...ไม่เอาไม่พูดดีกว่า" สเตล่าเบือนหน้าหนีทันที
"ให้ตายเถอะไม่บอกก็ไม่เป็นไร" ซึฮากิดูจะหัวเสียเก็บสีหน้าไม่ถูก
หลังจากนั้นพวกเด็ก ๆ ก็ได้ลองต่อสู้กันไม่เพียงแค่ได้วัดศักยภาพของแต่ละคนแต่ยังได้มองดูข้อผิดพลาดซึ่งกันและกันโดยคนที่ทำผลงานได้ดีก็ยังคงเป็นคิโนริที่สเตตัสสูงกว่าเพื่อน ๆ และอีกไม่นานก็อาจจะก้าวข้ามเลเวลได้
"ในช่วงสุดท้ายเราจะมาผ่อนคลายกับการฝึกง่าย ๆ" ซึฮากินั่งลงกับพื้นและหลับตาลงหลังจากนั้นก็อยู่นิ่ง ๆ ไม่ทำอะไรอีกเลย
"แบบนี้จะช่วยอะไรคะ?" คิโนริเอ่ยถามขณะที่ทำตามไปโดยไม่คิด
"เป็นการทำสมาธิรูปแบบหนึ่งมันจะช่วยให้เราได้อยู่กับตัวเอง" พวกเขาต่างก็นั่งสมาธิตามซึฮากิเหลือเพียงเสียงลมพัดผ่านและเสียงใบไม้เท่านั้น
ท่ามกลางความเงียบสงบของป่าลึกก็ได้มีเสียงฝีเท้าเดินกันมาหลายสิบชีวิตพร้อมกับอาวุธครบมือ
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย - กระดูกที่แข็งที่สุดคือกะโหลกศีรษะ]
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 368
แสดงความคิดเห็น