#1 จุดจบที่นำมาสู่ต่างโลก

-A A +A

#1 จุดจบที่นำมาสู่ต่างโลก

กินข้าวครั้งล่าสุดตอนไหนกันนะ....

ความคิดนั้นเกิดขึ้นในหัวผม ร่างกายที่ไม่ขยับตามคำสั่ง เรี่ยวแรงที่ไม่มีแม้แต่จะกระดิกนิ้ว

วันนี้เป็นวันที่สามหลังจากเงินก้อนสุดท้ายของผมหมดไป

สมัยตอนมหาลัย ผมก็เคยเป็นเหมือนคนทั่วไป ใช้ชีวิต มีสังคม มีเพื่อนพ้องที่ไว้ใจได้

แต่จู่ๆก็เหมือนโลกล่มสลาย เพื่อนในมหาลัยก็หักหลัง ครอบครัวก็ไม่พอใจที่ผมย้ายไปอยู่กับแฟน

จึงตัดความสัมพันธ์กับผมให้เอาตัวรอดเพียงคนเดียว ตอนหลังก็จับได้ว่าแฟนนอกใจ สุดท้ายก็จบด้วยการอยู่คนเดียว

ผมใช้เงินก้อนสุดท้ายไปกับอาหาร และพยายามหางานในแต่ละวัน แต่ในยุคแบบนี้ ใครๆก็ต้องการงานกันทั้งนั้น

พอมานอนคิดดูแล้ว มันเหมือนกับทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าผมจะตื่นอีกสักกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยตื่นจากฝันร้ายนี้สักที

ผมเพิ่งสังเกตว่าเสียงท้องร้องของตัวเองมันเป็นยังไง มันเหมือนกับเสียงของขวดที่ถูกบิดไปทีละนิดจนเกิดเสียงที่แสนน่าหนวกหู

เพดานที่ผมมองในตอนนี้ก็เหมือนเดิมในทุกทุกวันแต่ผมกลับสังเกตเห็นรายละเอียดของมันมากขึ้น ทั้งลวดลายและพื้นผิว

และแม้แต่การหายใจของผมตอนนี้ ผมก็รู้สึกถึงมันได้

"ทรมานจัง..."

ผมพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา ผมรู้สึกได้ว่าเสียงที่พูดออกไป ไม่ได้มีแต่ลมหายใจที่ออกไปเท่านั้น แต่มันเหมือนกับชีวิตของผมได้ออกไปด้วยทีละนิด

ผมพยุงตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง และเดินไปยังระเบียงของห้องพัก แม้เท้าของผมจะเตะเข้ากับถ้วยอาหารสำเร็จรูปก็ตาม

วิวที่ผมได้เห็นนั้นมันสวยงามกว่าทุกครั้งที่ได้มองมาในชีวิต

อาคารที่ดูธรรมดา แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็น และผู้คนมากมายที่กำลังใช้ชีวิต

ในเสี้ยวความรู้สึกนั้น ผมก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา

"ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตนะ..."

 

ตึง!

เสียงบางสิ่งกระแทกจากชั้นสี่ลงมายังพื้นทางเดิน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนมากมาย

"อย่ามองนะลูก!"

"อ๊าาาา เลือด!"

"แจ้งกู้ภัยเร็ว!"

"อ๊อกกก แหวะะะ"

ช่างเป็นเสียงสุดท้ายที่น่ารำคาญจริงๆ เอาเถอะ ทุกอย่างคงจบลงแล้ว

ตอนนี้ผมคงได้พักผ่อนไปตลอดกาลแล้ว

 

 

 

ความรู้สึกนี้... แสงอะไรกัน... หรือว่าเรายังไม่ตายอีกเหรอ... ตอนนี้คงอยู่ในโรงพยาบาลสินะ...

ผมรู้สึกถึงร่างกายที่ขยับได้ และแสงที่ลอดผ่านเข้ามาในดวงตา กับเสียงผู้คนมากมายโดยรอบ

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นทีละนิด

"หิน?"

ในชีวิตของผมไม่เคยเห็นโรงพยาบาลไหนมีเพดานเป็นหินมาก่อน

"นั่นเหรอผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมา"

"ช่างวิเศษจริงๆ ประเทศของเรารอดตายแล้ว"

"ท่านราชาขอรับ!"

อัญเชิญเหรอ? พวกคุณหมอพูดเรื่องอะไร

ผมลุกขึ้นมานั่งมองรอบๆโดยคิดว่าจะเจอกับภาพของโรงพยาบาลที่ผมรู้จัก

แต่มันกลับเป็นภาพของชายชราจำนวนหนึ่งที่สวมชุดแปลกๆ

และตัวของผมก็อยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น

เมื่อผมมองไปยังพื้นที่ผมนั่งอยู่ มันกลับเต็มไปด้วยวงแหวนเวทที่เหมือนถูกเขียนด้วยสิ่งที่คล้ายชอล์ก

ในหัวของผมเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ผมอยู่ที่ไหน ผมตายหรือยัง ผมมาที่นี่ได้ยังไง นี่คือความฝันรึเปล่า

แต่คำถามในหัวของผมก็ต้องหยุดลง เมื่อมีชายผู้หนึ่งลุกขึ้นมาจากที่นั่งที่เหมือนกับบัลลังก์และเดินเข้ามาหาผมพลางพูดว่า...

"ข้าขอยินดีต้อนรับจากใจจริง สู่โลกอีกใบที่ท่านมาถึง"

โลกอีกใบ? มาถึง? หรือคนพวกนี้หมายถึงว่าผมเดินทางมาต่างโลกอย่างงั้นเหรอ

ตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่ามันคงเป็นความฝัน ผมอาจจะโคม่าหรือเป็นอะไรสักอย่างอยู่

"ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังสงสัยและมีคำถามมากมาย"

เสียงของชายคนนั้นยังพูดต่อ ผมจึงหันไปมองยังต้นทางของเสียง

สิ่งที่ผมได้เห็นคือชายผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าดูหรูหรา ดูจากใบหน้าของเขาน่าจะอายุราวห้าสิบปีหรือไม่ก็แก่กว่านั้น

ดวงตาสีฟ้าเหมือนกับผู้คนแถบตะวันตก เคราที่หนาและยาวจนเหนือหู แต่ศีรษะกลับไม่มีผม

ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นี้เท่าไหร่ แต่ก็คงพอเดาได้ว่านั่นคงเป็นราชาของที่นี่แน่ๆ

"อย่างแรกที่ท่านต้องเข้าใจ นี่คือความจริง ท่านไม่ได้ฝันแต่อย่างใด"

ผมที่ได้ยินประโยคนั้นแอบหัวเราะในใจเบาๆ

ไม่มีคนจากต่างโลกที่ไหนเขาพูดเรื่องความฝันหรือความจริงกันหรอก

ถ้านี่เป็นฝันก็คงเป็นเนื้อเรื่องต่างโลกที่ห่วยแตกมากแน่ๆที่สร้างบทพูดแบบนี้มา

"อย่างที่สอง ท่านถูกอัญเชิญมาเพื่อช่วยโลกใบนี้จากจอมมาร"

นั่นไง ภารกิจพื้นฐานของผู้กล้าทุกคน การกำจัดจอมมาร จำเจเป็นบ้า

"อย่างที่สาม ประเทศของเราอยู่ในวิกฤต จึงไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้มากนัก"

นั่นมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ปกติแล้วไม่ใช่ว่าผู้กล้าจะถูกสนับสนุนอย่างเต็มที่หรือไง

ทั้งเงินทอง ที่พัก อาหาร ไม่ใช่ว่าตามบทปกติแล้วผู้กล้าต้องได้รับการสนับสนุนของพวกนี้อย่างดีหรอกเหรอ

"หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอทราบชื่อของท่านผู้กล้าได้หรือไม่"

ชื่อเหรอ? ผมกำลังนั่งคิดกับตัวเองว่าสรุปแล้วมันคือความฝันจริงๆหรือเปล่า

เพราะความรู้สึกมันเหมือนจริงเกินไป หรือผมกำลังอยู่ในภาวะโคม่าจริงๆ

แต่เรื่องนั้นยังไงก็ช่าง ผมไม่เห็นต้องคิดมากเลยสักนิด หากเป็นความฝันล่ะก็ ผมก็ขอสนุกกับมันสักหน่อย

"เวล อาเชรอน (Vel Acheron) "

ชื่อนี้เป็นชื่อของตัวละครที่ผมเคยคิดไว้ ผมจึงนำมาใช้เป็นชื่อของตนเองในโลกใหม่แห่งนี้

"ท่านเวล ข้าราชารอย ไลอ้อนฟอล (Roy Lionfall) "

"ข้าขอถามท่านอีกสักข้อได้หรือไหม" ชายผู้นั้นได้เอ่ยถามออกมา

"ได้สิ" ผมตอบกลับออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

"ท่านสามารถติดต่อกับอัครทูตสวรรค์ได้จริงๆใช่หรือไม่"

อัครทูตสวรรค์เหรอ มันคืออะไร? ผมได้แต่คิดในใจ หรือผมต้องติดต่อกับอะไรแบบนั้นได้งั้นเหรอ

"มันคืออะไรงั้นเหรอ?" ผมตอบออกไปโดยหวังว่าผมจะได้รับคำอธิบายสักอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดถึง

แต่ราชาผู้นั้นกลับทำหน้าตกใจอย่างมาก ไม่สิ แม้แต่คนรอบๆเองก็เช่นกัน

มันทำให้ผมกลับมาคิดว่าผมอาจจะพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ผมไม่รู้สักหน่อยว่า อัครทูตสวรรค์คืออะไร

"ท่านไม่ได้ยินเสียงในหัวเลยหรือ หากท่านเป็นผู้กล้า ท่านก็ต้องมีอัครทูตสวรรค์ข้างกายสิ"

เสียงของราชาผู้นั้นดูรุนแรงขึ้นเหมือนกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง

"ก็... คิดว่าน่าจะไม่มีนะ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรในหัวเลย..." ผมตอบออกไปตามความเป็นจริง

"เป็นไปไม่ได้! ท่านคือผู้กล้าไม่ใช่หรือไง ท่านต้องเป็นผู้กล้าที่ถูกเลือกโดยอัครทูตสวรรค์สิ"

ราชาผู้นั้นหยิบสิ่งที่คล้ายกับลูกแก้วที่อยู่หน้าผมขึ้นมาและโยนทิ้งเหมือนลงความโกรธต่อตัวผมใส่สิ่งนั้น

"ท่านราชาขอรับ นั่นมัน บริดจ์ออร์บ (Bridge Orb) นะขอรับ!" เสียงจากชายชราที่สวมผ้าคลุมแปลกๆพูดออกมาอย่างร้อนรน

"ล้มเหลวแล้ว... ประเทศนี้ล่มสลายแน่ๆ..." ราชาผู้นั้นทรุดลงไปกับพื้นต่อหน้าผม

"เจ้ามันไร้ประโยชน์... เจ้ามันคือความผิดพลาด!" ราชาชี้มาที่หน้าของผม และพูดออกมาด้วยความโกรธ

ผมเริ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือผมที่ผิดอย่างงั้นเหรอ อะไรคืออัครทูตสวรรค์ ผมไม่เข้าใจอะไรเลย ทำไมผมต้องโดนว่าด้วย

มันทำให้ผมนึกถึงความทรงจำเก่าๆที่ผมเจอ ผมไม่เคยเข้าใจเลย ว่าตัวตนของผมมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ

ผมเป็นลูกชายที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้รักกัน เมื่อผมเกิดมาไม่นาน แม่ก็หย่ากับพ่อแล้วหนีออกจากบ้านไป

ส่วนตัวของผมก็ถูกโยนให้ปู่กับย่าเลี้ยงดู และพ่อของผมก็ย้ายไปอยู่กับภรรยาคนใหม่

มันทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินในชีวิตของเขาทั้งสองมาโดยตลอด

"ฉันผิดอะไรด้วยเล่า! อัครทูตสวรรค์อะไรกัน! ไม่เห็นเข้าใจเลย! การที่ฉันไม่มีเสียงในหัวมันผิดขนาดนั้นเลยเหรอ!"

ผมตะโกนออกไปอย่างขาดสติจนลืมไปว่าตรงหน้านั้นคือราชาของที่นี่

"แก! บังอาจมาตะโกนใส่ข้างั้นเหรอ!"

คำพูดนั้นของราชาทำให้ผมตระหนักได้ถึงตัวตนของตัวเอง

"ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันแล้ว! ทหาร! เอามันไปทิ้งนอกเมือง!"

ราชาพูดออกมาแม้จะนั่งทรุดกับพื้นแบบนั้น

"ข้าขอทำหน้าที่นั้นเองขอรับ!" อัศวินในชุดเกราะที่ดูใหญ่โตคนหนึ่งพูดออกมา และเดินมาดึงคอเสื้อของผมออกไปจากปราสาท

"ปล่อยฉัน! ฉันผิดอะไรงั้นเหรอ! ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย!"

ผมตะโกนออกมาพร้อมขัดขืนอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงคอเสื้อที่รัดขึ้นมาตรงคอได้

"เจ้าไม่ได้ผิดหรอก... แค่เจ้าไม่ได้เป็นไปอย่างที่ประเทศนี้หวังเท่านั้น"

เมื่อพูดจบเขาก็โยนผมออกมาจากบริเวณประตูและสั่งให้ลูกน้องพาผมออกไปหน้าประตูเมือง

ผมในตอนนั้นโดนความทรงจำเก่าๆโจมตีอีกครั้ง ทำให้ไม่มีอารมณ์ไปขัดขืนอะไร ทำได้เพียงเดินตามทหารพวกนั้นไปเท่านั้น

 

 

 

"ท่านนอริส (Noris) มอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า รับและไปซะ"

ทหารที่ออกมาส่งผมหน้าประตูเมืองโยนดาบและถุงเล็กๆให้ผม จากนั้นก็หันหลังกลับไปในเมือง ก่อนที่ประตูจะปิดลงต่อหน้าผม

ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไปแล้ว...

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.