เป็นฝันใดที่กำลังหลอกหลอนเจ้า
หลังการประชุมมีแต่ที่นั่งอันว่างเปล่า จะเหลือก็แต่มาร์เวทผู้ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ใบหน้าไม่สู้ดี ยิ่งเมื่อต้องแสงอาทิตย์ “ฝ่าบาท กระผมรู้ว่ามันทรมาน แต่ว่ายังไงพระองค์ก็ต้องนอนนะขอรับฝ่าบาท” เอเฟเฟียกล่าวอย่างเป็นห่วง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยแผลบนใบหน้าที่ลากออกเป็นทางยาว แม้จะเพียงเฉือนผิวไปบางๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกแสบขึ้นมา เขาก้มหน้าลง สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือร่างของมาร์เวทผู้ยืนอยู่ในท่าที่มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า “ถึงเจ้าจะหลบ ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เอเฟเฟีย” มาร์เวทเดินลงจากบัลลังก์อย่างช้าๆ ผ่านหน้าของเอเฟเฟียไปเก็บดาบเล่มนั้นและเสียบมันกลับเข้าฝัก “ข้าชอบเจ้า แต่มิได้หมายความว่าคนโปรดจะมิมีวันตาย...เจ้าเข้าใจใช่รึไม่?” ปีกสีดำงอกออกจากแผ่นหลัง พาร่างนั้นบินหายไปบนท้องฟ้า ไม่แม้แต่รอฟังการตอบคำถามของอีกฝ่าย เอเฟเฟียได้แต่มองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายผ่านเงาที่ลับหายไปจากพื้น “กระผมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ...ฝ่าบาท” เขากล่าว
ภายในป่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหุบเขาสูง หญิงสองคน หนึ่งในนั้นยืนอย่างเงียบสงบ “จากนี้ไปข้าไม่มีสิ่งใดจะสอนเจ้าอีกแล้ว” เซเลียกล่าวพลางจ้องมาราอานที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างริมแม่น้ำ มองเงาสะท้อนของตัวเองเงียบๆ “หากสิ่งที่เจ้าต้องการเป็นความจริง เจ้าจะสามารถใช้วิชาของข้าได้ เพียงแต่ว่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปจนถึงมาร์เวท” เธอกล่าว “แต่ถึงอย่างไร สัญญาก็คือสัญญานะ ตอนนี้บอกข้ามาได้แล้วล่ะว่าเจ้าคือตัวอะไรกัน แล้วไปร่วมมือกับนังทรยศนั่นได้ยังไง?” ดวงตาเรียบนิ่งของเซเลียอยู่ๆก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาสักพักดวงตาคู่นั้นจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “อย่างงี้นี่เอง เจ้าเองก็เป็นเหมือนเขา ชีวิตที่สองยังงั้นหรือ? พลังสีดำที่เจ้ามี….ไม่ใช่พลังของโลกใบนี้ โลกสีดำยังงั้นหรือ? คงหมายถึงเฮลล่ะสิ” เธอกล่าวลอยๆ ‘แต่จะใช่แน่รึ เพราะพลังของเฮล แม้จะมีสีดำเป็นสีหลักแต่ไม่ใช่สีเดียวเท่านั้น’ เธอกล่าวในใจ
เป็นอีกค่ำคืนที่ความหวาดกลัวเข้าทำลายจิตใจอันบอบช้ำของมาร์เวท เสียงกรีดร้อง ตะโกนขอความช่วยเหลือ และอีกสารพัดมากมายดังลอดจากบานประตูที่ปิดสนิท เอเฟเฟียรับฟังทุกเสียงจากอีกฟากของบานประตูด้วยจิตใจที่แสนทุกข์ทรมานจนเช้าของอีกวันมาถึง เสียงเหล่านั้นถึงหยุดไปในที่สุด “ขออนุญาตขอรับฝ่าบาท” เขาเปิดประตูเข้าไป เห็นมาร์เวทยังนอนอยู่บนเตียงนั้นแต่เป็นในสภาพตาเบิกกว้างโพลน โทนสีดำคล้ำปรากฏที่ใต้เปลือกตา “น่าสมเพชนัก ตัวข้าแม้จะเป็นอมตะ แต่ร่างกายที่ไม่ตายกลับชั่งไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป หากไม่ได้พักผ่อนรังแต่ทำให้ข้าไร้เรี่ยวแรง แม้ตอนนี้จะอยากลุกมากเพียงใดก็ตาม” เอเฟเฟียอุ้มตัวมาร์เวทขึ้นอย่างช้าๆและทนุถนอม พาไปส่งยังห้องอาบน้ำที่อยู่ค่อนข้างไกลจากห้องบรรทมของเขา น่าแปลกที่โถงทางเดินในวันนี้กลับเงียบเป็นพิเศษ ไม่มีองครักษ์ยืนเฝ้าเหมือนทุกครั้ง อาจเพราะเอเฟเฟียรู้อยู่แล้วว่ามันควรต้องเป็นแบบนี้ ไม่ควรต้องมีใครได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
“ฝ่าบาท โปรดอย่าเป็นห่วงไปเลยขอรับฝ่าบาท วันนี้กระผมได้รับรายงานมาว่ามีแม่มดปริศนาสองคนที่ถูกเล่าลือว่าสามารถรักษาโรคที่ไม่หายได้ขอรับฝ่าบาท กระผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพวกเธอจะรักษาอาการของพระองค์ได้อย่างแน่นอนขอรับฝ่าบาท” แม้จะกล่าววย่างมีหวังแต่เขาก็ยังเห็นใบหน้าอ่อนล้าของมาร์เวทไม่ได้ปรากฏรอยยิ้ม หรือแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในคำกล่าวเมื่อครู่ “วันนี้ฝ่าบาทมีแผนจะเดินทางไปที่ใดรึไม่ขอรับฝ่าบาท?” มาร์เวทไม่ตอบอะไรจนคิดว่าคงไม่ได้ยินอะไรจากปากของเขาอีกกระทั่ง “ภูเขาไฟดีมัลฟนี” คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั่น “ตามความประสงค์ขอรับฝ่าบาท” แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร “กระผมจะทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดหรือใครจะได้เห็นพระองค์ที่นั่นขอรับฝ่าบาท”
ณ ประเทศโอนาโคลฟ หนึ่งในประเทศภายใต้อำนาจของจักรวรรดิแห่งไฟ ผืนดินมีสีดำเลื่อม ดูแข็งเกินจะเรียกว่าดิน เพราะมันคือถนนลาวาที่เย็นตัว เคลื่อนลงมาจากปากปล่องภูเขาไฟดีมัลฟนี สัญลักษณ์ของประเทศแห่งนี้ ผืนป่าปรากฏกระจายทั่วไปเป็นหย่อมใหญ่ๆ ส่วนมากต้นไม้ที่เห็นจะเป็นต้นสีส้มประกายแดง เหมือนเส้นเลือดที่มีลาวาใหลเวียนอยู่ภายใน แม้แต่สีของดอกและผลก็ไม่ได้ต่างกับลำต้นมากนัก บรรยากาศที่บิดพริ้วก่อนปรากฏประตูมิติที่นำพาร่างปริศนาทะลุออกมา หนึ่งยืนขามั่นและอีกหนึ่งถูกมือแข็งแกร่งช้อนไว้ที่ระดับอก “จากตรงไปนี้ กระผมจำเป็นต้องเดินเท้าขอรับฝ่าบาท เพื่อไม่ให้เป็นการเปิดเผยตัวตนขอรับฝ่าบาท” ร่างที่สวมผ้าคลุมจนมิดชิดพยักหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้น เอเฟเฟียเริ่มออกเดินบนขั้นบันไดที่ยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาของหุบเขาสีดำ พยายามทำตัวเองให้ดูเหมือนชาวบ้านที่เดินผ่าน แม้จะถูกสายตาของคนเหล่านั้นมองด้วยความสงสัยในร่างที่เขากำลังอุ้มด้วยมืออันแข็งแกร่ง
ที่สุดแล้วพวกเขาก็ขึ้นมาถึงยังจุดจุดหนึ่ง ไม่ใช่จุดสูงสุดแต่ก็อีกไม่ไกล ฝั่งซ้ายมือพวกเขาเห็นเหมือนลานสุสานที่มีดอกไม้โทนสีเดียว องครักษ์ของจักรวรรดิแห่งไฟที่เฝ้าประตูสุสานเมื่อเห็นเอเฟเฟียก็รีบหลีกทางให้แต่โดยดี เมื่อเหยียบเข้าไปในสุสานแล้ว กำแพงไฟสีฟ้าสว่างอยู่ๆก็ลุกโชติขึ้นตรงขอบของพื้นหิน ปิดบังการมองเห็นทั้งหมดจากภายนอก สร้างความแตกตื่นและสงสัยให้ชาวบ้านที่สัญจรไปมา
“วางข้าลง” เอเฟเฟียรีบทำตามคำสั่งโดยพลัน เพราะขาที่ไร้เรี่ยวแรงจึงใช้มือสองข้างคลานออกไปข้างหน้า ไปที่รูปปั้นมังกรขดตัวทั้งสาม พวกมันแต่ละตัวทำท่าเหมือนกำลังกกบางสิ่งที่มีลักษณะไม่ต่างจากเขี้ยวยักษ์ “หลุมศพของพ่อแม่ และตัวข้า” มาร์เวทกล่าวเสียงเรียบ เป็นน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งพลังและอำนาจ “ข้ามักจะฝันถึงมันตลอดเวลา” เอเฟเฟียจ้องมองรูปปั้นฝั่งขวาสุด ไม่มีอักขระใดจารึกบนรูปปั้นหินสีแดงพวกนี้ “ความฝันที่ทำให้ข้ามิอาจปิดตาลง เจ้ามิอยากรู้รึ?” เอเฟเฟียขมวดคิ้วก่อนจะก้มหน้าลง “กระผมเข้าใจว่าพระองค์มิต้องการที่จะเล่า กระผมจึงมิอาจถามขอรับฝ่าบาท” มาร์เวทไม่ได้ตอบอะไร เขายังคงจ้องรูปปั้นเหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ “ดีแล้ว การรู้เรื่องของข้ามากเกินไปรังแต่จะทำให้เจ้าเสียขวัญเสียเปล่า” “ขอรับฝ่าบาท” เอเฟเฟียกล่าว พวกเขาใช้เวลาเพียงลำพังในเขตสุสาน
ความมืดที่ครอบงำท้องฟ้าในยามแสงจันทราเลือนหาย เอเฟเฟียเดินนำหน้าร่างปริศนาในชุดคลุมสีขาวทั้งสอง ไปหยุดยืนที่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง “พวกเขามาถึงแล้วขอรับฝ่าบาท” ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน กระนั้นประตูที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออกโดยองครักษ์จากด้านใน พวกเขาเดินออกมาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล มองจ้องร่างที่เดินตามหลังเอเฟเฟีย ด้วยความฉงนใจ
เอเฟเฟียหยุดยืนที่กลางห้อง ปล่อยให้ทั้งสองเดินตรงไปที่เตียงนอนของมาร์เวท หนึ่งในร่างปริศนาหยุดยืนที่ขอบเตียงฝั่งขวา จ้องหน้าเจ้าของเตียงที่มีหลังเหยียดตรงกับหัวเตียง คอเอียงลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ส่วนอีกคนยืนที่ฝั่งตรงข้าม “ฝ่าบาท จากที่ข้าได้ยินจากองครักษ์ของพระองค์ ดูเหมือนจะไม่ใช่โรคอย่างที่ข้าเข้าใจไปเอง อย่างไรก็ตาม ดิฉันอยากขอลองอะไรกับพระองค์สักสองสามอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าทรงเป็นอาการอะไรกันแน่เพคะฝ่าบาท” หญิงปริศนาที่มุมขวาพยักหน้าเป็นสัญญาณ ร่างปริศนาฝั่งซ้ายยื่นมือไปสัมผัสที่มือของมาร์เวท เสมือนลมเย็นที่พัดผ่านร่างไปเพียงชั่วขณะ “พอจะรักษาอาการของฝ่าบาทได้รึไม่?” เอเฟเฟียเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “จะได้รึไม่ แต่ที่แน่แท้แล้วคือการรักษาได้เริ่มขึ้นในวินาทีที่ลูกศิษย์ข้าสัมผัสมือของฝ่าบาทแล้ว” หญิงฝั่งขวากล่าว ดูจากสีหน้าของลูกศิษย์ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของเสื้อคลุมพอให้ชื่นใจได้บ้าง ตัวของผู้ถูกรักษาเองก็เริ่มมีสีหน้าดูดีขึ้นตามลำดับ “จากไปไปคือของจริงเพคะฝ่าบาท โปรดนอนลงด้วยเพคะฝ่าบาท” หญิงคนเดิมกล่าว เป็นเธอเพียงคนเดียวที่ใช้เสียงในขณะที่อีกคนกลับเป็นผู้ปฏิบัติที่เงียบงัน มาร์เวททำตามแต่โดยดี แต่พอถึงเวลาที่จะต้องปิดเปลือกตา เขากลับปฏิเสธด้วยเสียงอันเงียบงัน “หากพวกเจ้ามีพลังที่จะรักษาข้าได้จริง เช่นนั้นข้าจะลืมตาอยู่เช่นนี้เพื่อทดสอบพวกเจ้า” หญิงฝั่งขวาอึ้งเล็กน้อยกับการตัดสินใจของอีกฝ่าย ก่อนจะกลับมามีใบหน้าปกติอีกครั้ง “ตามความประสงค์ของพระองค์เพคะฝ่าบาท” เธอส่งยิ้มให้มาร์เวทและดูเหมือนเขาคนนั้นจะไม่ทันมองเห็นแววตาที่คุ้นเคยคู่นั้น ก่อนที่มันจะถูกซ่อนไว้จากสายตาที่กำลังพิเคราะห์เธออยู่ไม่ไกล
มาร์เวทแหงนหน้าขึ้นมองเพดานสีดำเบื้องบน มันก็ยังคงดำอยู่ตามปกติ ไม่ได้มีสิ่งใดเปลี่ยนไป กระทั่งครู่หนึ่ง เพียงครู่หนึ่งเท่านั้นที่มองเห็นสีขาวสว่างวาบจากด้านบน สว่างจนต้องหลับตาลง กลิ่นอายของผืนหญ้าและดอกไม้ มันคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ รู้ตัวอีกทีก็เหมือนว่าจะเห็นสีดำนั้นกลายเป็นสีฟ้าคราม มีก้อนเมฆสีขาวลอยผ่านไปอย่างช้าๆ หัวเอนลงอย่างไม่อาจบังคับให้ เริ่มสัมผัสถึงความนุ่มและมากมาย บัดนี้ไม่ใช่เตียงหินแข็งทื่อแต่เป็นเตียงหญ้าเขียวขจี เมื่อลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ด้านหน้าที่ใบหน้าหันออกไปคือสวนดอกไม้มากมายหลายชนิด ส่วนใหญ่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จะรู้จักก็เพียงดอกลิลีขาว
สายลมที่พัดผ่านใบหน้าช่วยให้รู้สึกเย็นสบาย นี่คงจะเป็นฝัน เป็นฝันอีกแบบที่ไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสมาก่อน เงียบสงบ หอมหวนและเย็นสบาย ชั่งแตกต่างจากกลิ่นภายในพระราชวังนัก ขณะกำลังหลงใหลในบรรยากาศดั่งอยู่บนสรวงสรรค์ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำอยู่ภายในสวน แต่ไม่อาจมองเห็นเจ้าของเสียงจึงลองลุกขึ้นและเดินตามเสียงนั้นไป คงจะเป็นครั้งแรกที่สมองสั่งให้เขาตามไป ตามเสียงนั้นไป ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกสนใจ แต่ก็ต้องตามไปจนเท้าเหยียบเข้ามาในอาณาเขตดอกไม้จึงได้มองเห็นเจ้าของเสียงฝีเท้า หญิงสาวผู้ใบหน้าดำสนิทเหมือนถูกแต้มด้วยน้ำหมึกดำ กระนั้นเขากลับไม่รู้สึกหวั่นวิตก อีกทั้งยังคุ้นเคยจนเหมือนกับเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน คงเพราะทรงผมนั่นรึเปล่าที่ทำให้เขานึกถึงวันนั้น วันที่เขาเกือบตาย วันที่ฝนพรำ……
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 284
แสดงความคิดเห็น