ราชันหมูป่ากับมงกุฏที่แตกหัก
“คุณโท....” คอของนิโคลัสแห้งจนเปล่งเสียงได้ไม่เต็มกำลัง “คุณโทมัส?” นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลที่กำลังจ้องใบหน้าที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้กำบังเส้นผมสีดำ ปรากฏภาพสะท้อนของไฟสีม่วงที่พุ่งออกมาจากมือของร่างนั้น นิโคลัสถอยร่นจากแรงปะทะ มือที่ยกขึ้นปัดป้องปรากฏไฟสีเหลืองลุกท่วม ส่วนมืออีกข้างหันกระบอกปืนไปที่โทมัส “รบกวนถอนพลังด้วยขอรับฝ่าบาท” ไฟไม่ดับลงตามคำขอพลันโทมัสแหงนหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ปิดสนิทและกำลังลืมขึ้นอย่างช้าๆ มันเป็นแววตาที่เยือกเย็นและคุกคามในเวลาเดียวกัน
“ฝ่าบาท?” ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากอีกฝ่าย “คุณโทมัส?” ไฟสีม่วงระเบิดออกจากเบื้องล่างพื้น เผาไหม้นิโคลัสในทันที ไม่พอเท่านั้น โทมัสกางมือออก ไฟบางส่วนจากกำแพงเคลื่อนมาอยู่ที่มือทั้ง 2 ก่อนที่เขาจะนำมันมาประกบกันจนกลายเป็นก้อนไฟขนาดมหึมาและส่งมันไปที่เสาไฟที่กำลังเผาร่างของอาจารย์ทั้งเป็น “Scarlet Shield!” อยู่ๆ เสาไฟก็ดับหายไปก่อนจะปรากฏรูปลักษณ์ของโล่ไฟที่กึ่งกลางมีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกและมีรูปของเทพ ยืนกางแขนอยู่ภายในเครื่องหมายพร้อมกับลวดลายที่ดูแปลกตาแต่ให้ความสวยงามของศิลปะชั้นสูง “คุณไม่ชอบคุณโทมัสจริงๆ เลยนะครับ” ไฟจากกำแพงก่อรูปเป็นเสาแหลมพุ่งเข้าหานิโคลัสรอบทิศ
นักเรียนด้านนอกลานประลองต่างจดจ้องไปที่กำแพงไฟ กว่า 10 นาทีแล้วที่มันยังคงก่อตัวเป็นรูปร่างได้โดยไม่ลดทอนอำนาจความร้อนที่แผ่กระจายออกจนทำให้ไม่มีใครกล้าอยู่ใกล้ “ไฟสีม่วง ไฟที่ร้อนที่สุด นี่มันเกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่?” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล เขามองซาคาเรียสผู้ยืนอยู่ในระยะกึ่งกลางของกำแพงไฟและจุดที่ผู้ชมคนอื่นอยู่ รูบี้เบนสายตาออกจากกำแพงหลังจากที่รู้สึกแสบเคืองที่ดวงตา เธอหันไปมองไปที่กลุ่มแคปิตอล คอปแต่พวกเขาไม่ใช่ภาพที่เธอสนใจแต่เป็นหุ่นฟาง 2 ตัว หุ่นฟางของซีสจ์มีสภาพไหม้ดำเป็นหย่อมในขณะที่หุ่นฟางอีกตัวปราศจากรอยใดๆ ในขณะที่รูบี้กำลังเทความสนใจให้กับพวกมัน กำแพงไฟคลายตัวและดับหายไปจนหมดสิ้น เป็นวินาทีที่นัยน์ตาของสมาชิกกลุ่มรีโวลูชันนารี เคานซิล ทุกคนต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง โทมัสและนิโคลัสยืนจ้องหน้ากันในขณะที่ซีสจ์นอนฟุบหน้าลงกับพื้น
“ผู้ชนะในการดวลครั้งนี้คือเจ้าชายฟรานซิสโก้ ไวเวิร์น อเล็กซิน โทมัสครับ!!!” เสียงโห่ร้องของนักเรียนส่วนใหญ่ดังขึ้น ซาคาเรียสวิ่งไปหาโทมัสด้วยความร้อนใจ ตรวจสอบร่างกายที่ไร้บาดแผลทุกซอกทุกมุมก่อนจะปล่อยโฮออกมาด้วยความเป็นห่วง สมาชิกกลุ่มที่เหลือช่วยนิโคลัสพยุงตัวโทมัสออกไปจากสนาม ซีสจ์เองก็มีกลุ่มองครักษ์พยุงตัวออกไปเช่นกัน
เมื่อสิ้นสุดการประลองก็ถึงช่วงเวลาการพาชมโรงตีเหล็กโดยโฮเวิร์ด บาร์เกนซี โทมัสปฏิเสธการทัศนศึกษาและปล่อยให้เพื่อน 3 คนไปแทนจึงมีโอกาสเดินเตร็ดเตร่ทั่วคฤหาสน์ ใจระส่ำระสายอยู่ในความสงสัยว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะสิ่งสุดท้ายก่อนจะได้สติกลับและพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนสนามก็คือภาพของไฟสีเหลืองที่เติมเต็มวิสัยทัศน์ทั้งหมด “มีธุระอะไรหรือครับ?!” โทมัสได้สติกลับมา “ครับ!” เขาอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นบานประตูที่อยู่ด้านหลังขององครักษ์ 2 คนจึงรู้ว่าตนเองอยู่ผิดที่และคิดจะเดินกลับ “นายคนนั้นน่ะ?” เสียงนุ่มละมุนของอิสตรีเพศจากอีกฟากของบานประตูทำให้ขาหยุดก้าวไปข้างหน้า บานประตูเปิดออกเล็กน้อย ดวงตาสีอำพันที่มองลอดผ่านช่องประตูสบตากับเจ้าของดวงตาสีเงิน
เมื่อบานประตูเปิดออกกว้างจึงเห็นว่าเป็นหญิงผมดำผู้แต่งกายในชุดที่ดูมีฐานะและมีกลิ่นอายของชนชั้นสูง “เข้ามาก่อนสิ” เหมือนต้องมนต์สะกดของหล่อน โทมัสทำตามคำขอของซาร่าและเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก ภายในประดับด้วยสิ่งของหรูหราแต่ไม่ได้น่าดึงดูดเท่าที่เตียง ที่ๆ ข้ารับใช้ชายหญิงรุมล้อมอย่างโดดเด่น ซาร่าผายมือให้โทมัสนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหัวโต๊ะก่อนที่เธอจะนั่งลงไปที่เก้าอี้ฝั่งซ้าย
“เธอคือองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายฟรานซิสโก้ ดิฉันเข้าใจถูกรึไม่?” ซาร่ากล่าวอย่างนุ่มนวล “ครับ” โทมัสตอบเสียงแข็ง “ชอบดื่มน้ำอะไรเป็นพิเศษรึไม่?” “ผมขอน้ำมะพร้าวครับ” ซาร่าพยักหน้าให้หญิงรับใช้ที่ด้านหลังเก้าอี้ของโทมัส
“ว่าแต่” ซาร่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นและโน้มหน้าผากลงจนจรดที่ปลายรองเท้าหนังของโทมัสผู้ตะลึงเล็กน้อยแต่ก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดี “คุณทำอะไรครับ?” ใบหน้าของโทมัสมองตรงออกไปราวกับพยายามไม่สนใจการกระทำของเธอ “ช่วยจำภาพที่คุณเห็นในวันนี้แล้วไปบอกกับเจ้าชายฟรานซิสโก้ด้วยว่าดิฉันขออภัยแทนพฤติกรรมอันไม่ดีงามของบุตรชายของดิฉัน” แม้จะไม่แสดงออกถึงอารมณ์แต่ในจิตใจของเขาในตอนนี้มันกำลังสับสนกับการกระทำของเธอคนนี้และมันทำให้นึกถึงบาร์เกนซี แค่คิดแบบนั้นมือทั้ง 2 ข้างก็เผลอกำหมัดไปโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากำลังเปลี่ยนไปและมันบ่งบอกถึงความไม่ชอบใจในบางอย่างที่กำลังมองเห็น “ผมไม่ต้องการฟังคำขอโทษจากคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดครับ” โทมัสกล่าวเสียงแข็ง “ความผิดของดิฉันและสามีคือการทำให้เขาเป็นดั่งสัตว์ร้ายในสายตาของพวกเธอแต่แท้จริงแล้วเด็กคนนั้นศรัทธาในตัวของเจ้าชายมาก” โทมัสขมวดคิ้ว “คุณหมายความว่ายังไง?” ไม่แปลกที่เขาจะหลุดถามมันออกมา
ซาร่าค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเมื่อนั่งลงที่เดิมแล้วก็ยกแก้วชาขึ้นมาจิบเพียงเล็กน้อย “มันคือการทดสอบของเด็กคนนั้น” ซาร่าถอนหายใจ “เด็กคนนั้นเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีบิดาเป็นผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฟรานซิสโก้ ท่านบาร์เกนซีเลี้ยงดูบุตรชายของตนด้วยความรักและหวังที่จะให้เขาเติบโตมาเป็นโล่อันแข็งแกร่งให้แก่พระราชาองค์ถัดไปซึ่งก็คือเจ้าชายฟรานซิสโก้ ด้วยเหตุนี้ซีสจ์ บุตรชายของดิฉันผู้เป็นทายาทแห่งตระกูลโฮเวิร์ดจึงต้องฝึกฝนตนเองตั้งแต่ยังเยาว์วัย” เป็นน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังจะร้องไห้ออกมา มันดูเศร้าและเท็จจริงกว่าจะหลอกลวง “ไม่มีวันใดที่เขาคิดที่จะหยุดฝึกฝนตัวเองเพราะความคิดปลูกฝังที่ว่าตัวเขาจะได้เป็นแขนและขาที่มีประโยชน์ต่อเจ้าชาย ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เขาไม่อาจพ่ายแพ้ให้แก่ใครและก็เป็นไปตามแรงปรารถนาที่ทำให้เขายืนอยู่เหนือนักต่อสู้คนอื่นและนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบททดสอบ”
“ในวันแรกที่เขาได้พบกับเจ้าชาย เขามองว่าเจ้าชายไม่สมควรแก่การเป็นนายผู้ที่เขาจะมอบพละกำลังให้ในฐานะขององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ ไม่ต่างจากอาชาพยศผู้หลงคิดว่าตนแข็งแกร่งกว่าผู้เป็นนายแต่เมื่อวานนี้ แม้จะไม่ใช่ตัวของเจ้าชาย แต่หากเธอเองก็มิต่างจากเงาของพระองค์ ได้พิสูจน์แล้วว่าเหมาะสมกับการเป็นผู้ประทับอยู่บนอานม้าของอาชาตัวนี้มากกว่าใครอื่น” ซาร่าเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
นิโคลัสนำนักเรียนเดินทางไปยังเมืองถัดไปตามหมายกำหนดการ การเดินทางในครั้งนี้รวดเร็วกว่าครั้งไหนเนื่องจากเมืองถัดไปนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเดทเลมจึงทำให้ใช้เวลาในการเดินทางไม่ถึงครึ่งหนึ่งของระยะทางจากเมืองก่อนหน้า รถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาภายในเขตเมืองลอว์เนอร์ สถานที่ที่มีความแปลกประหลาดในจำนวนของผู้คนที่เดินสัญจรไปมาอย่างบางตา อาจเพราะบรรยากาศในตอนนี้มันใกล้เข้าสู่ช่วงพลบค่ำ รถม้าหยุดจอดที่ลานกว้างอันเป็นศูนย์กลางของเมืองก่อนที่เจ้าของบังเหียนรถม้าจะกระโดดลงจากคานนั่งแต่แปลกที่วันนี้เขายังไม่ประกาศอนุญาตให้นักเรียนลงจากรถม้าเหมือนทุกครั้ง
ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าเหลือเพียงบรรยากาศมืดหม่นไร้ซึ่งแสงไฟนอกจากแสงจันทร์ที่ฉายลงมาอย่างไม่เต็มที่ ไอเย็นในยามดึกจากฤดูหนาวแทรกซึมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโดยรอบจนแม้แต่การสวมเสื้อหนาก็ไม่อาจช่วยให้อบอุ่นได้ ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับความเงียบภายนอกยิ่งแทบจะเหมือนกับเมืองร้างที่กำลังถูกทับถมภายใต้กองหิมะ บ้านแต่ละหลังที่ปรากฏรายล้อมลานกว้างไร้ซึ่งประกายแสงไฟจากตะเกียงเสมือนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างแท้จริง “อย่าออกมานอกรถม้านะครับ ผมจะคอยเฝ้ายามด้านนอกให้” เสียงประกาศของนิโคลัสผ่านช่องสนทนา
ในความเงียบของบรรยากาศภายนอก กลับมีเสียงที่ไม่ควรเกิดขึ้น เสียงเดินเหยียบกองหิมะที่กำลังใกล้เข้ามาที่ตัวรถม้า นิโคลัสผู้พิงหลังอยู่บนคานรถม้า หมวกสีดำตัวเก่งถูกวางปิดบังส่วนหน้าผากลงมาจนเกือบมิดจมูก เขาไม่แสดงอาการรับรู้ถึงการมาเยือนแต่แล้วเสียงเดินกลับหยุดลงก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้งแต่ไม่ใช่เข้าหารถม้าแต่กำลังเดินถอยออกไปก่อนที่เสียงทั้งหมดจะถูกกลบด้วยเสียงของลมอ่อนๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 220
แสดงความคิดเห็น