๑๑ ความเชื่อ - ๙
ความเชื่อ - ๙
ตอนแรกอาจองคิดว่าการที่อาภพผู้เป็นอาโทรมาในค่ำคืนนี้จะเป็นเรื่องปกติอย่างเช่นไถ่ถามทุกข์สุข แต่มันกลับเป็นข่าวร้าย พี่ชูหรือชายคนที่นอนอยู่ในโลงศพคือคนที่เด็กหนุ่มเคยเล่นด้วยมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะฐานะและหน้าที่การงานที่ดีขึ้นทำให้ครอบครัวเหมหาญ์ของราชนาวีหนุ่มย้ายออกไปจากหมู่บ้านตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว พวกเขายังคงพูดคุยติดต่อกันประปราย แต่หากคืนนี้ไม่ได้คุยกับอาภพ อาจองก็คงไม่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิต
อาจองร่ำลาลุงเชิดและอาภพที่นั่งจมอยู่ในวงเหล้า เขาเหลือบมองรูปถ่ายขนาดใหญ่ที่ศาลาอีกครั้ง ใบหน้าของชูเกียรติดูอ่อนโยนเสมอ แต่ใบหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็นห้าวหาญทันทียามที่เขาสวมหมวกกะลาสีทหาร
เหมือนอย่างในรูป...
อาจองมองนาฬิกาและเดินออกจากงานที่เงียบเหงานั้น เขาเดินตัดลานกว้างที่มืดสลัวของวัดและตรงไปยังปลายทางที่มีแสงของป้ายวินมอเตอร์ไซค์อย่างเร่งรีบ เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านไม้หลังเดี่ยวชั้นเดียวที่ราชนาวีหนุ่มเคยพักอาศัย
เด็กหนุ่มมองหน้าบ้านที่มีไฟดวงเล็กเปิดอยู่เพียงอึดใจเดียวก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าสู่ตัวบ้านที่เงียบสงัด กุญแจที่ได้รับมาจากลุงเชิดถูกใช้อย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่นานอาจองก็พาตัวเองมายืนอยู่ที่ห้องรับแขกที่ค่อนข้างโล่ง ทั้งห้องมีเพียงโซฟาชุดเล็กกับโต๊ะกาแฟที่เข้าคู่กันวางชิดผนังห้อง โทรทัศน์จอใหญ่วางห่างออกไปในระยะที่พอเหมาะ ชั้นวางของและชั้นหนังสือสูงถึงเพดานถูกใช้ต่างกำแพงกั้นส่วนรับแขกกับส่วนหลังบ้าน ช่องทางเดินเข้าสู่ครัวมืดสนิทอยู่ทางซ้ายมือ ตรงหน้าคือส่วนหลังของบ้านที่มืดไม่แพ้กัน...ห้องของพี่ชูอยู่ลึกเข้าไปในนั้น
อาจองกำลังคิดอยู่ว่าตัวเองควรจะเดินเข้าไปหรือไม่ ตอนนั้นเองที่หูของเด็กหนุ่มได้ยินเสียงสั้นๆ ดังขึ้นมาจากความมืดมิดตรงหน้า
เสียงที่ดังเกินปกตินี้คือเลื่อนครืด เสียงเหมือนกล่องขนาดใหญ่ถูกเลื่อนดังขึ้นครั้งเดียว แต่มันก็มากพอที่จะให้เด็กหนุ่มจับทิศทางได้อย่างไม่ยาก
ในความสลัวของบ้าน อาจองมองเห็นบานประตูสีอ่อนที่มีป้ายไม้ห้อยอยู่ มันคือห้องที่ลุงเชิดบอกไว้ว่าเป็นห้องของลูกชายที่ลาลับไป ลุงบอกว่ามันไม่ได้ถูกเปิดมาหลายวันแล้ว
แต่...ตอนนี้เปิดแง้มอยู่
เหมือนจะช่วยย้ำความมั่นใจว่านี่คือห้องที่อาจองจะต้องเข้าไป เด็กหนุ่มเห็นความเคลื่อนไหวเล็กหน้อยอยู่ข้างในห้องนั้น แม้จะระบุไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่มันมีความความเคลื่อนไหวแน่นอน
อาจองเดินตรงเข้าสู่ความมืดส่วนหลังของบ้านที่เงียบกริบและตรงไปที่ห้องที่เปิดรอ เขาผลักบานประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า บานพับประตูลั่นแอ๊ดยาวนานก่อนจะหยุดลง เขากวาดสายตาไปทั่วห้องเล็กและคลำหาสวิตช์ไฟทันที
แต่ดูเหมือนสวิตช์ไฟจะไม่ได้ถูกติดตั้งไว้ในที่ที่ควรติด เพราะผนังห้องว่างเปล่า ทั้งห้องจึงมีเพียงแสงที่ลอดเข้ามาเท่านั้น
บานหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ทำให้แสงลอดเข้ามาเป็นมุมที่เหมาะเจาะ แสงสว่างพาดผ่านกลางห้องและทอดตัวลงบนชั้นวางของที่วางเต็มความยาวผนังห้อง มันทำให้เด็กหนุ่มเห็นถึงความสามารถที่มากล้นของนาวิกหนุ่มในการเสาะหาของมาสะสมไว้ แถมยังได้เห็นถึงความขยันที่มีอย่างจำกัดที่จะจัดข้าวของเหล่านั้นให้เป็นระเบียบ
โคตรรกเลยว่ะพี่ชู!
ชั้นของเล่นและของสะสมวางเรียงติดกันที่ผนังด้านซ้ายมือเต็มความยาว มันมีของสารพัดสิ่งที่อาจองสามารถระบุชื่อได้ทันที แต่ก็มีอีกมากโขที่ยากจะนึกชื่อออก แต่เด็กหนุ่มเดาเอาว่ามันคงเป็นของสะสมที่มีค่าที่นาวิกหนุ่มคลั่งไคล้และเสาะหามาเก็บไว้
กลางห้องคือเตียงโครงโลหะ มันคือเครื่องเรือนชิ้นเดียวที่อยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นหมอนหนุน หมอนข้างหรือผ้าห่มต่างทุกอย่างถูกจัดวางอย่างปราณีต แต่ไม่มีกล่องเลโก้ที่อาจองเคยได้ยินพี่ชูมักจะพูดว่าวางอยู่หัวเตียงเสมอ
ด้านขวามือถัดจากประตูคือชั้นหนังสือเล็กวางชิดกับโต๊ะและเก้าอี้ ตู้เสื้อผ้าที่ปิดแน่นวางห่างออกไปเล็กน้อย สุดมุมห้องด้านในมีโต๊ะเล็กวางชิดใต้หน้าต่างบานใหญ่ที่เป็นจุดพาแสงจากด้านนอกเข้ามา
ที่นั่น…มีเงาคนยืนหลบอยู่ข้างบานหน้าต่างที่ปิดสนิท
ร่างนั้นสูงชะลูด ไหล่กว้างดูแข็งแรง ลำตัวช่วงบนกว้างกว่าลำตัวช่างกลางและคอดเล็กลงอีกบริเวณเอวจนดูคล้ายร่างกายทรงสามเหลี่ยมของนักกีฬา แสงสว่างจางๆ ที่ฉาบไล้ลงบนร่างกายนั้นช่วยส่งให้เห็นส่วนนูนส่วนเว้าของกล้ามเนื้อบนร่างกายนั้นได้ชัดขึ้นอีกเล็กน้อย
เขาจงใจยืนหลบแสง อาจองจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร แต่เด็กหนุ่มรู้ได้ไม่ยากว่าร่างนั้นเปลือยเปล่า เพราะสะโพกแกร่งไร้ขอบของกางเกงรัดรั้ง หนำซ้ำที่ซอกต้นขาใหญ่ที่แยกกว้างนั้นมีเงาสีดำของท่อนอวบทิ้งตัวห้อยยาวอย่างอิสระ
เงาคนที่ยืนอยู่นั้นนิ่งไม่ไหวติงแม้จะรับรู้ว่าเด็กหนุ่มได้บุกรุกเข้ามา เขายังคงยืนนิ่งถือกล่องขนาดใหญ่ไว้ตรงช่วงท้อง แสงสว่างน้อยนิดที่พาดผ่านลงบนกล่องทำให้อาจองเห็นว่ามันคือกล่องที่มีรูปตัวต่อหลากสีที่เขาตามมาเอาคืน
หากจะมีอะไรที่ทำให้อาจองเชื่อว่าร่างนั้นคือคนรู้จัก หมวกกะลาสีที่ร่างดำมืดสวมอยู่นั่นก็คงเป็นเครื่องยืนยันได้
แม้ว่าเงาร่างตรงหน้าจะเป็นของคนรู้จัก แต่ร่างกายจริงๆ ของเขาก็นอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่ในโลง
มันจึงไม่ใช่เวลาที่เด็กหนุ่มจะมาทวงของเล่นคืนอีกต่อไป เด็กหนุ่มดึงเท้าที่หนักอึ้งของตนขึ้นและขยับก้าวถอยหลังออกจากห้องนั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เมื่อพ้นห้องออกมาเขาก็จ้ำอ้าวออกไปนอกบ้านทันที
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พี่ชูผู้ล่วงลับได้ยินเรื่องที่เด็กหนุ่มทวงของเล่นคืนและรอต้อนรับอยู่อย่างเงียบเชียบ...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 351
แสดงความคิดเห็น