ตอนที่ 32 สมคบคิด
ตอนที่ 32 สมคบคิด
“นายน้อย ทั่วทั้งตระกูลเย่ต่างรู้ว่าท่านสุขุมนุ่มนวล ใจกว้างและอ่อนโยน ไม่เพียงแต่กับตระกูลเย่เท่านั้น ท่านยังปฏิบัติต่อบ่าวไพร่คนรับใช้ประหนึ่งพี่น้อง ในช่วงที่ผ่านมา นายหัวชราไม่สนใจกิจการใดๆของตระกูล แล้วที่ผ่านมาสองสามปีนี้ใครเป็นผู้จัดการเรื่องต่างๆในตระกูลให้? ก็คือตัวท่าน! ส่วนนายน้อยเล็กเขาได้ทำอะไรไว้บ้าง? ก่อนหน้านี้ สิ่งเดียวที่เขาทำคือนอนอยู่กับเตียงแล้วก็กิน กระทั่งข้ายังดูแคลนเขา สภาพของเขาตายไปเสียยังดีกว่าอยู่ต่อ ในเวลานั้น นายน้อยทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อดูแลเขากับตระกูลเย่ แล้วดูสิ่งที่เขาตอบแทน เขาตบหน้าท่านเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ช่างเนรคุณยิ่งนัก....”
“หุบปาก!” เย่หวูหยุนขัดจังหวะอย่างโกรธเคือง เขาจ้องไปรอบๆและกล่าวกระซิบ “เสี่ยวหวู่ ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธที่ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่น้องหวูเฉินอย่างไรเสียก็เป็นหน่อเนื้อเพียงคนเดียวของตระกูลเย่ เขาจะกลายเป็นผู้นำตระกูลเย่เพียงคนเดียวในอนาคต และข้า.... ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของท่านพ่อ ไม่ว่าข้าจะทำเช่นไรหรือทำงานหนักขนาดไหน ข้าก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้ ไม่อย่างนั้น ท่านปู่คงไม่บอกให้ข้าอดทนกับเขาเมื่อถูกน้องหวูเฉินตบหน้า แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็คือครอบครัวเดียวกัน ส่วนข้า.... เป็นแค่คนแปลกหน้า เฮ้อ! เป็นเรื่องปกติแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”
เย่หวูหยุนส่ายศีรษะเอ่ยอย่างสิ้นท่า เขายิ้มอย่างขื่นขม ก่อนที่จะสลัดมันออกทันทีแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม มีปู่บุญธรรมและพ่อบุญธรรมเช่นนี้ ข้านับว่าพอใจแล้ว พวกเขาช่วยชีวิตข้า มอบที่อยู่ให้กับข้า และตอนนี้ข้ามีพวกเจ้าทุกคนเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดของข้า แม้ว่าข้าจะสละชีวิตตอบแทน ก็ยังไม่เพียงพอชดใช้หนี้บุญคุณพวกเขา ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ก็เป็นเพียงข้อขัดข้องใจกันเล็กน้อยเท่านั้น”
เย่หวู่รู้สึกขุ่นข้องกับความไม่เป็นธรรมแทนนายน้อย ส่วนคำที่บอกว่า ‘พวกเจ้าเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดของข้า’ นั้นทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน ยามครั้งที่เขาหวาดกลัวเมื่อถูกจ้างให้มาเป็นคนใช้ตระกูลเย่ เขาไม่เคยเป็นแบบที่คนใช้อื่นๆลือกัน เขาไม่เคยโดนดูถูก กดขี่ หรือถูกทำร้ายดุด่า เพราะว่าเขาติดตามนายน้อย เย่หวูหยุนไม่เหมือนคุณชายสูงศักดิ์ทั่วไปที่เอาแต่ใจ, ขี้เกียจ, เจ้ายศเจ้าอย่าง กลับกันเขานั้นมีความสามารถ สุขุมเยือกเย็น และจิตใจดี หาได้ยากมากที่เขาจะดุด่าบ่าวไพร่ กระทั่งยามที่คนใช้ทำผิดพลาด เขาก็ยังยิ้มให้กำลังใจพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องจากไปเยี่ยมเยียนญาติ เขาจะแอบมอบเงินให้พวกเขาอยู่บ่อยๆเพื่อกลับไปใช้สอยที่บ้านกับครอบครัว ในสายตาของเขา คนใช้ไม่ได้เป็นคนใช้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เย่หวู่สามารถจำได้ชัดเจนในฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น เมื่อครอบครัวออกไปชมพระจันทร์เต็มดวง เย่หวูหยุนเรียกคนใช้ทุกคนมารวมกัน เขาวางขนมพระจันทร์ไว้บนโต๊ะให้กินกัน เขาจำไม่ได้ว่าตอนนั้นมีคนใช้กี่คนที่ร้องไห้ออกมาขณะที่กินไป
เย่หวู่มั่นใจว่าเขาคือเจ้านายที่ดีที่สุดในโลก และการได้ติดตามรับใช้เขาเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตเขา ดังนั้นเขาจึงมอบความจงรักภักดีให้อย่างเต็มที่และพร้อมยอมตายเพื่อเขาได้ ก่อนหน้านั้นเมื่อตอนที่เขาอยู่นอกห้องโถงและได้ยินเสียงเย่หวูหยุนถูกตบ เขาเกือบจะพุ่งเข้าใส่นายน้อยเล็กหากแต่เขาทำได้แค่กลับมาอย่างโกรธเคือง
เขากล่าวยืนยัน “นายน้อย ท่านวางใจได้ พวกเราทราบดีว่าใครดีกว่าสำหรับพวกเรา และใครดีกว่าสำหรับตระกูลเย่ และใครคือคนที่คู่ควรเป็นผู้นำตระกูลเย่อย่างแท้จริง หากเขารังแกนายน้อยอีก แม้ว่าพวกเราจะถูกไล่ออก พวกเราก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ!”
“ไร้สาระ!” เย่หวูหยุนสีหน้าทะมึน เขาโบกมืออย่างอ่อนแรงและกล่าว “เลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว แค่ทำงานของพวกเจ้าให้ดีที่สุด และไม่ต้องกังวลกับเรื่องอื่นๆ หากเจ้าเผชิญหน้ากับน้องหวูเฉิน ข้าจะไม่อาจช่วยเหลือพวกเจ้าได้ เสี่ยวหวู่ เจ้ายังมีแม่ที่ตาบอดกับน้องชายที่ป่วยหนักอยู่ที่บ้าน พวกเขายังคงต้องพึ่งพาเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้านั้นดีกับข้า แต่อย่าได้เกิดอารมณ์ชั่ววูบและทำร้ายครอบครัวของเจ้าโดยไม่ทันตั้งใจ”
เย่หวู่รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เขาไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา แม้ว่ายามที่นายน้อยของเขาต้องทนรับความอยุติธรรม เขาก็ยังคงห่วงใยบ่าวบริวารของตนเอง เขากระทั่งรู้สถานการณ์ในครอบครัวของตนเป็นอย่างดี
“เฮ้! ข้าได้ยินว่าเจ้าของร้านที่ 37 ทางทิศใต้ของเมืองป่วยหนักเมื่อวาน เป็นไปได้ว่าสินค้าเมื่อวานจะยังไม่ได้รับ มีใครไปจัดการเรื่องนี้แล้วรึยัง?” เย่หวูหยุนถามเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน เขาต้องการพูดคุยเรื่องก่อนหน้าอีก
“นี่ ทำไมตรงนั้นถึงเหลือแค่สามคนอยู่ตรงนั้น”
“ออกไปรับ... ช่างมันเถอะ เดี๋ยวข้าออกไปรับเอง ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการที่ทางใต้ของเมือง เสี่ยวหวู่ พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยมาตรวจนับบัญชีหลังจากที่ข้ากลับมา” พอเย่หวูหยุนอธิบายจบ เขาก็หันร่างเดินตรงไปที่ประตู
“นายน้อย หน้าของท่าน....”
“ฮี่ ฮี่ ไม่เป็นไรหรอก”
เย่หวู่ยังอยู่ต่อพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็กลับไปยังสวนของนายน้อยด้วยความรู้สึกที่ยังขุ่นเคือง
…………………
ในห้องมืดสลัวแห่งหนึ่ง
“เป็นแบบนี้ได้ยังไง? เฮอะ! เจ้าไม่ทันได้ตอบคำถามข้า หน้าของเจ้าก็ตอบข้ามาหมดแล้ว บัดซบเอ้ย? อธิบายข้ามา!”
“สงบใจลงก่อนนายท่าน.... แต่ว่า วันนั้นเขาตายแล้วอย่างแน่นอน นี่คือเรื่องจริง ไม่เคยมีใครรอดมาได้เมื่อถูกโยนลงไปในบึงนั่น ข้ายังมองมันจมลงไปก่อนจะจากมา บ่าว.... บ่าวผู้นี้ไร้ความสามารถ นายท่านโปรดลงโทษ”
“...... ข้าได้ยินว่า มันสวมแหวนเทพกระบี่ที่มือซ้าย?”
“นายน้อยทราบเรื่องแหวนวงนั้นได้อย่างไร?”
“เฮอะ! อย่าสนใจว่าข้ารู้ได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกหากเป็นพลังของเทพกระบี่ เขาย่อมสามารถทำให้มันกลับมาชีวิตได้แม้จะตายไปแล้วจริงๆ และยิ่งสามารถดึงมันขึ้นจากบึงได้อย่างง่ายดาย พวกเรากล่าวได้เพียงว่ามันผู้นี้กำลังเล่นอยู่กับโชคชะตา”
“ขอบ... ขอบคุณท่านที่เมตตา นายท่าน โปรดให้เวลาข้าอีกหนึ่งเดือน แล้วบ่าวผุ้นี้จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
“อย่าได้ทำสิ่งใด เมื่อมันกลายเป็นศิษย์ของเทพกระบี่แล้ว ถ้าพวกเราแตะต้องมันอีกครั้ง เป็นไปได้ว่าอาจทำให้เทพกระบี่สงสัย และหากเขาออกมาสืบหาเบาะแส เราจะเอาอะไรไปต่อต้านเขา?”
“เฮอะ! เจ้าเป็นเพียงเด็กรุ่นหลัง เจ้าจะรู้จักพลังของเทพกระบี่ได้อย่างไร เขาไม่ปรากฎตัวออกมาได้เกือบ 20 ปีแล้ว เขายิ่งจะกลายเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกล่าวถึงข้า ต่อให้สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือยังไม่กล้าผลีผลามกระตุ้นโทสะเขา”
“เรื่องนี้.... นายท่านอย่าบอกข้านะว่า พวกเราทำได้แค่มองดูอยู่เฉยๆ....”
“ไม่! แม้ว่าพวกเราแตะต้องมันไม่ได้ เรายังสามารถให้คนอื่นทำแทนได้ ถ้าใช้วิธีนี้ เขาก็ไม่อาจสืบสาวหาตัวพวกเราได้ ฮึ่ม! น่าโมโหนักที่สาวใช้ตระกูลเย่คนนั้นกลับใช้ยาพิษไม่มากพอ ถ้าเจ้าหนูนั่นมันตายไปซะตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์มารดา พวกเราคงไม่ต้องมีปัญหาซับซ้อนวุ่นวายถึงเพียงนี้”
“นายท่านหลักแหลมยิ่งนัก!”
“ในเมื่อมันเป็นศิษย์ของเทพกระบี่... เจ้าได้เห็นพลังของมันบ้างรึยัง?”
“เรียนนายท่าน ไม่ปรากฎร่องรอยของพลังไหลเวียนในร่างของมัน ข้าได้ยั่วโทสะมันให้ตบหน้าข้า และแม้ภายใต้ความโกรธ มันกระทั่งไม่เผยพลังใดๆออกมา เห็นได้ชัดเจนว่ามันไม่ได้มีพลังใดๆ ยิ่งกว่านั้นยังถูกกระตุ้นยั่วโทสะได้โดยง่ายและขาดความอดทน มันยังแสดงสีโกรธเคืองออกมาอย่างพึงใจ และมันยังไร้วี่แววของความฉลาด เป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวมัน รวมทั้งเป็นคนที่รับมือได้ง่าย”
“......... ดูเหมือนว่า เจ้านั่นจะเป็นแค่นักเวทย์ธาตุลมจริงๆ”
“นักเวทย์ธาตุลม?”
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้มันใช้เวทย์ธาตุลมระดับต่ำ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าขยะขี้โรคอย่างมันจะมีพลังเวทย์หายากเช่นนี้ได้ มันทำให้ข้าแปลกใจ”
“แต่ศิษย์ของเทพกระบี่จะกลายเป็นนักเวทย์ได้อย่างไร? นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย”
“เรายังไม่มีเบาะแสในตอนนี้ เจ้าต้องคอยสังเกตเขาเอาไว้แล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที รีบกลับไปซะ ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกลายเป็นที่สงสัยได้โดยง่าย”
“ขอรับ บ่าวขออภัย”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 297
แสดงความคิดเห็น