( ตอนพิเศษ) นี่นายไม่คิดจะยิ้มให้ฉันบ้างเหรอ ?
“นางสาว ชญานิศ ภูรี” เสียงประกาศจากลำโพงรอบ ๆ ห้องโถงใหญ่ เหล่าเด็กนักเรียนและคณาจารย์ที่นั่งรายรอบอยู่ด้านหน้าเวทีที่ประดับไปด้วยดอกไม้สดสีสันสวยงามและส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
“ค่ะ” ท่ามกลางความเงียบสงบ ก็มีเสียงจากที่แถวหน้าสุดเด็กสาวสวมแว่นหนาเตอะเดินตรงขึ้นเวทีไปด้วยกิริยาท่าทางที่สุขุม
“ยินดีกับการเรียนของหนูด้วยนะจ๊ะ” อาจารย์หญิงสูงวัยยืนรออยู่บนเวทีพร้อมกับใบประกาศนียบัตรที่เคลือบกรอบไว้อย่างดี สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ชญานิศ
“ขอบคุณค่ะ” เธอหยุดอยู่ตรงหน้า ยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพก่อนที่อาจารย์ท่านนั้นจะยื่นใบประกาศนียบัตรให้ เธอยื่นมือขวารับเข้ามาแนบกับอกไว้และหันมาที่หน้าเวทีซึ่งมีตากล้องยืนรอถ่ายรูปอยู่
“ในฐานะตัวแทนของเหล่าอาจารย์และนักเรียน ผมบอกได้เลยว่าในประเทศคงจะหาเด็กมีความสามารถแบบเธอไม่ได้อีกแล้วในรอบหลายสิบปี” พิธีกรหนุ่มยืนพูดอยู่ด้านหลังเธอขณะที่ในมือถือโน้ตบทพูดไว้
“เป็นอีกปีที่นางสาว ชญานิศ ภูรี สามารถสอบวัดผลระดับชาติได้คะแนนมากถึงเก้าสิบเก้าจุดแปดเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นสถิติสูงที่สุดตั้งแต่มีการจัดสอบมา” ระหว่างที่พิธีกรพูดก็มีเสียงปรบมือดังกระหึ่มไปยันนอกอาคารพร้อมด้วยสีหน้าปลาบปลื้มดีใจ แต่ตัวเธอเองกลับนิ่งเฉยชากับเรื่องนี้ซะจนคิดว่าเธอไม่รู้ว่าตนเองเก่งแค่ไหน
“วันนี้ต้องขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาแสดงความยินดีให้กับเด็กคนนี้ซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติ” อาจารย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดพร้อมกับจับไหล่ของเธอเบา ๆ
เมื่อไหร่จะจบงานสักที อยากไปอ่านหนังสือแล้ว ภายใต้แว่นตาที่หนาเตอะมีแต่แววตาที่นิ่งเฉยราวกับปลาตาย และอาจารย์หญิงคนนั้นก็ยังพูดไปเรื่อยจนกินเวลาไปหลายสิบนาที
หลายวันหลังจากนั้น
“ชญานิศ ข้อนี้ตอบว่าอะไรคะ” คำถามง่าย ๆ แบบนี้ต้องมาถามเราด้วยเหรอ? เธอลุกขึ้นยืนตอบคำถามได้ถูกต้อง ทุกครั้งที่เธอลุกขึ้นก็จะมีแต่คนจ้องมองตาเป็นมัน ไม่ใช่ว่าสนใจเธอแต่แค่อยากเห็นเธอตอบผิดบ้างก็เท่านั้น
ฉันจะได้อะไรจากการเรียนในเรื่องที่รู้อยู่แล้ว แม้ตอนช่วงพักเธอก็มักจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านตลอดเวลา ในบางครั้งก็มีเพื่อนในห้องมาถามเธอเกี่ยวกับการบ้านที่ต้องทำ แต่เธอก็มักจะตอบกลับว่า
“การบ้านแค่นี้ยังทำเองไม่ได้เหรอ?” เธอตอบกลับด้วยสายตาที่ราวกับปลาตายไม่สนใจความรู้สึกใครทั้งนั้น ทำให้คนรอบ ๆ ตัวเธอตีตัวออกห่างเพราะเหตุนี้
ฉันล่ะเบื่อจริง ๆ เวลามีคนเข้ามาถามเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ หลังเลิกเรียนเธอก็มุ่งตรงกลับบ้านทันที
“กลับมาแล้วค่ะ” เธอพูดเสร็จก็รีบเดินเข้าไปในห้องตัวเองวางกระเป๋าทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและคว้าเอาหนังสือที่วางอยู่ปลายเตียงขึ้นมาอ่าน ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับการอ่านก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“พีชลูกช่วยมาดูร้านแทนแม่ที” พีชรีบลุกออกจากเตียง เปิดประตูและเดินตรงไปยังอีกฝั่งของบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายหนังสือพร้อมกับถือหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ไปด้วย ขณะเดียวกับที่แม่ของเธอสะพายกระเป๋าเดินออกประตูไป
เฮ้อ ต้องมาเฝ้าร้านอีกละ พีชนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เคาน์เตอร์
เสียงกระดิ่งจากประตูที่เปิดออก มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามามองไปรอบ ๆ และเดินไปตามซอกต่าง ๆ เขาหยิบหนังสือออกมาจากชั้นและอ่านมัน ณ ตรงนั้นทันที
เปิดร้านขายหนังสือไม่ใช่ห้องสมุดที่ให้อ่านฟรีนะ เธอเหลือบตามองชายหนุ่มเป็นระยะแต่ก็ไม่พูดอะไรออกไป
ผ่านไปประมาณสิบนาทีชายหนุ่มคนนั้นก็เดินออกจากร้านไปโดยไม่ซื้อหนังสือเลยสักเล่ม พีชสงสัยว่าจะขโมยหนังสือไปหรือเปล่าจึงเดินมาตรวจดูบริเวณที่เขายืนอ่านหนังสือ
เล่มที่เขาอ่านนี้มัน “แคลคูลัสระดับสูง” น่าแปลกปกติคนที่มาอ่านมักจะเป็นพวกหนังสือการ์ตูนไม่ค่อยมีใครสนใจหนังสือการเรียนพวกเนี้ยหรอก เธอเก็บหนังสือเข้าที่เดิมและเดินไปนั่งอ่านหนังสือที่เคาน์เตอร์ต่อ
หลายวันหลังจากนั้น ณ บอร์ดประกาศลำดับคะแนนประจำเทอม
“โฮ้ ยัยชญานิศได้ที่หนึ่งอีกแล้ว”
“เบา ๆ หน่อยสิวะ เธอเดินมานู้นแล้ว” เสียงกระซิบจากกลุ่มนักเรียนที่ยืนดูบอร์ดคะแนน
ที่หนึ่งระดับชั้นอีกแล้วสินะ ที่สองก็ยังคงเป็นพวกนั้นเหมือนเดิม เดินมองไล่ลำดับลงมาเรื่อย ๆ จนได้มาเอะใจกับคนคนหนึ่ง
คะแนนทุกวิชาได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แบบนี้มันแปลก ๆ แฮะ ซึฮากิ ฮลาฟกาด เธอเดินออกมาและมุ่งตรงกลับบ้านทันที
เจ้านั่นเป็นใครกันนะ? เธอเปิดคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ขึ้นมาพยายามค้นหาข้อมูลของนักเรียนคนนั้น
ซึฮากิ ฮลาฟกาด อาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เคยเข้าห้องปกครองมาแล้วหลายครั้ง ไหนดูหน้าตาหน่อยสิ อืม…หน้าตาก็หล่อใช่ได้เดี๋ยวสินี่เราคิดอะไรอยู่ คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ?
ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระดิ่งจากประตูเปิดเข้ามา ชายหนุ่มคนเดิมที่ชอบมาอ่านหนังสือแต่ไม่เคยซื้อ
อืม หน้าคล้าย ๆ กันเลยแฮะ…..เดี๋ยวนะ เธอมองสลับไปมาระหว่างรูปในคอมพิวเตอร์กับชายหนุ่มคนนั้น
“อะ!” เธอรีบเอามืออุดปากทันทีที่เผลอร้องออกมา
เป็นเขาสินะ ดีล่ะแบบนี้ค่อยคุยง่ายหน่อย เธอลุกจากเก้าอี้เดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะ ต้องการหนังสือแบบไหนคะ?” ต้องลองเชิงสักหน่อย
“ผมขอเดินดูไปเรื่อย ๆ นะครับ” พีชยิ้มให้และเดินถอยออกมา
ตลอดเวลาหลายสิบนาทีที่เขาเข้ามาในร้านเดินอ่านหนังสือเล่มโน้นทีเล่มนี้ทีจนออกจากร้านไปแต่ก็ไม่ได้ซื้ออีกเช่นเคย
อะไรของเขานะ พีชเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีหนึ่งก็สอบได้คะแนนเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์มาตลอด แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว
เธอได้แต่นั่งคิดทบทวนไปมา จนกระทั่งหมดวัน
วันต่อมา ชายหนุ่มก็กลับเข้ามาเวลาเดิมเพื่อมาเดินอ่านหนังสือในร้านแต่ไม่ซื้อสักเล่มและหลาย ๆ วันต่อมาก็ยังคงทำแบบนี้
ทำไมคุณแม่ถึงไม่ไล่พวกที่อ่านแล้วไม่ซื้อซะบ้าง พีชเดินมานั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะข้าง ๆ เคาน์เตอร์
“เดี๋ยวแม่ไม่ซื้อของก่อนนะ ฝากดูร้านด้วย” เธอสะพายกระเป๋าเดินออกนอกร้านไป ขณะเดียวกับที่ชายหนุ่มเดินสวนเข้ามาในร้าน
“นี่นาย มากับฉันหน่อย” พีชเดินตรงเข้าไปหาทันทีขณะที่พูดก็จ้องตาไม่กะพริบ ส่วนชายหนุ่มก็เดินตามมาด้วยความฝืนใจ
“ข้อนี้ตอบว่าอะไร!” คำพูดของพีชดูนิ่ม ๆ แต่แฝงไปด้วยความจริงจังชี้ไปที่หนังสือที่เปิดอยู่บนโต๊ะ ทำเอาชายหนุ่มยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง
เวลาผ่านไปหลายสิบนาที พีชที่ถามคำถามมากมายหลายทั้งเลข ภาษา กฎหมาย วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นคำถามแบบไหนก็สามารถตอบถูกได้หมด
แม้จะเป็นคำถามระดับมหาวิทยาลัยก็ตอบได้ เขาเป็นอัจฉริยะแน่นอนแต่ทำไมถึงสอบได้แค่เจ็ดสิบ พีชหัวเสียนั่งลงกับเก้าอี้คิดหมกมุ่นอยู่ในใจจนรู้สึกตัวอีกทีชายหนุ่มก็หนีหายไปแล้ว
ทุก ๆ วันเธอจะตั้งใจรอชายหนุ่มมาที่ร้านเพื่อถามคำถามต่างๆ นานา จนแล้วหลายวันก็ยังไม่สามารถทำให้เขาตอบผิดได้
คราวนี้แหละ เจอโจทย์ระดับปริญญาเอกที่ขนาดเรายังทำไม่ได้เข้าไปดูสินายจะยังตอบได้ไหม เธอยิ้มออกนอกหน้าพร้อมด้วยแววตาอันแสนชั่วร้ายต่อหน้าชายหนุ่ม
และวันเดียวกันก็เป็นวันที่เธอร้องไห้ฟูมฟายออกมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนใครลากไปตบกลางสี่แยกไฟแดง ทุบโต๊ะด้วยความโมโหทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งตกใจเดินหนีออกจากร้านไปและไม่กลับมาอีกเลย
ไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้แบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ? หลังจากร้องไห้ออกมายกใหญ่เธอก็หัวเราะออกมาเปิดหนังสืออ่านทำโจทย์อย่างบ้าคลั่งอยู่หลายวัน
อะ ขณะที่กำลังอ่านหนังสือเธอก็เหมือนจะนึกอะไรได้ และลุกเดินออกมากวาดสายตามองกองหนังสือและเศษกระดาษมากมายที่อยู่ในห้องจนเละเทะไม่มีทางจะเดินอยู่แล้ว
… เธอเก็บกวาดห้องของตนเองเงียบ ๆ ขณะที่คุณแม่อยู่ที่เคาน์เตอร์
“หนูไปห้องสมุดนะคะ” พีชสะพายกระเป๋าคว้าจักรยานปั่นไปที่โรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของเธอมากนัก
แค่หนังสือในร้านเรามันยังน้อยไป ถ้าจะชนะหมอนั่นต้องเก่งมากกว่านี้
เธอเดินหยิบหนังสือที่มีเนื้อหาระดับปริญญาเอกหลายเล่มมากองไว้ที่โต๊ะและนั่งอ่านทีละเล่ม จดบันทึกและทำโจทย์อย่างต่อเนื่อง
อะ! เมื่อเธอเหลือบสายตามองไปที่โต๊ะข้าง ๆ ก็มีชายหนุ่มคนนั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่เธอใช้กองหนังสือปิดบังหน้าไว้ ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังไม่เห็นเธอ ที่มือของเขาก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกับที่พีชอ่านอยู่
แล้วฉันจะหลบทำไมเนี่ย พีชรวบรวมความกล้ายกกองหนังสือไปวางไว้โต๊ะเดียวกับเขาและนั่งอ่านหนังสือต่อ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของชายหนุ่มได้ทันที
เธอพยายามแอบมองชายหนุ่มอยู่ตลอดจนแทบจะไม่ได้อ่านของตัวเองเลย ขณะผู้คนรอบ ๆ ตัวต่างก็สังเกตเห็นเอาไปซุบซิบนินทากันสนุกปากแตกต่างกับชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะสนใจเธอ
“อืม..นายชอบอ่านหนังสือเหรอ?” พีชพูดขึ้นมาขณะที่อ่านหนังสือเหมือนกับพูดลอย ๆ แต่ก็เหลือบตาขึ้นมองสบตาเข้ากับเขาพอดีทำเอาเธอตกใจไปไม่เป็นยกหนังสือที่อ่านอยู่ขึ้นตั้งบังหน้าเธอไว้
“ใช่…” เขาตอบกลับและอ่านหนังสือต่อทันทีส่วนพีชก็ค่อย ๆ ลดหนังสือลงเพื่อมองหน้าชายหนุ่มแต่เขาก็ก้มหน้าลงไปแล้ว เธอจึงเงียบอ่านหนังสือไปพักหนึ่ง
“นายชื่ออะไร” เธอเอ่ยปากถามเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มกำลังลุกออกไป
“ซึฮากิ…” เขาหยุดชะงักและหันมาตอบคำถามของเธอก่อนจะเดินออกไป
ไม่มีชื่อเรียกสั้น ๆ หรือไงนะ? พีชเหม่อมองหลังของเขาขณะที่เดินออกไปก่อนที่จะยกหนังสือทั้งหมดเพื่อเอาไปเก็บเข้าชั้น
“อะ” ขณะที่กำลังจะยกกองหนังสือขึ้น มือก็ไปสัมผัสกับมือของใครบางคน
“เดี๋ยวช่วย” เพียงคาดสายตาไปครู่เดียวซึฮากิก็กลับมาที่โต๊ะและพยายามจุยกกองหนังสือของพีชให้ เธอที่กำลังตกใจได้แต่พยักหน้าตอบตกลงไป
เมื่อกี้มันอะไรกัน จู่ ๆ หน้าก็แดงแล้วก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีก เหมือนกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังออกมา หยุดสิ! เดี๋ยวเขาจะได้ยินเอา พีชเอามือกุมอกไว้แน่นก่อนที่จะเดินตรงดิ่งออกจากห้องสมุดไป
อ๊าก!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เมื่อกลับถึงบ้านเธอมุ่งตรงเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู ทิ้งตัวลงบนเตียงกลิ้งตัวไปมาพร้อมกับกอดหมอนข้างไว้ด้วย
ซึฮากิ… ไม่นานเธอก็เผลอหลับไปจนรุ่งเช้า
“พีชตื่นได้แล้วลูก” เสียงเคาะประตูจากคุณแม่ทำให้เธอตื่นและเมื่อมองไปที่นาฬิกาตรงหัวมุมเตียงก็เห็นเข็มแสดงเวลาแปดนาฬิกาสิบนาที เธอลุกพรวดพลาดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกแปรงฟันล้างหน้าอาบน้ำและแต่งตัวอย่างเร่งรีบ
“แม่ไปส่งหนูหน่อยสิ” พีชเปิดประตูออกมาจากห้องและเดินไปหาคุณแม่ของเธอ
“ลูกจะแต่งตัวไปไหน? เปิดเทอมแล้วเหรอ?” เมื่อพีชได้ยินอย่างงั้นจึงรีบคว้าเอาปฏิทินขึ้นมาเปิดดูวันที่ ปรากฏว่าวันนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเทอมเลย ทำเอาพีชหน้าเสียเดินกลับเข้าห้องด้วยความเอื่อยเฉื่อยทิ้งตัวลงกับเตียง
เฮ้อ… เธอนอนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดธรรมดาออกไปช่วยคุณแม่ดูร้านตามปกติ
แม้วันคืนผ่านไปจนเมื่อถึงเวลาเปิดเทอมจริง ๆ เธอยังคงนึกถึงสัมผัสและความรู้สึกในตอนนั้นมาโดยตลอดทำให้เธอมัดจะเหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ ทำเอาคุณแม่ของเธอสงสัยในความผิดปกติ
“ชญานิศ…”
“ชญานิศ!!” เสียงเรียกซ้ำจากอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องขณะที่เธอเอาแต่จ้องมองไปที่หนังสือตัวเอง
“ชญานิศ!!” เสียงจากอาจารย์และเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ที่ตะโกนใส่จนทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ลุกลี้ลุกลนจนหนังสือดินสอปากกาถูกปัดตกจากโต๊ะ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานจากเพื่อน ๆ ภายในห้อง
เธอรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกเพราะไม่เคยมีใครมาหัวเราะเยาะใส่ ทำให้เธอเก็บของวิ่งหนีออกจากห้องไปด้วยสีหน้าที่หมองราวกับจะร้องไห้
นี่ฉันเป็นอะไรเนี่ย น้ำตามันเอ่อล้นออกมาจากตาทีละนิดทั้งที่พยายามกั้นไว้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมฉันถึงต้องร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ด้วยล่ะ ระหว่างที่วิ่งอยู่มือขวาก็ถือและหอบของไว้กับตัวส่วนมือซ้ายก็ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาทีละนิด
“อ้าววันนี้กลับไวจังลูก-” คุณแม่ได้แต่เห็นหลังเพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะรีบวิ่งเข้าห้องไป
“ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณแม่ของเธอได้แต่เคาะประตูเบา ๆ และเรียกหาแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับสุดท้ายคุณแม่ก็ปล่อยไปโดยไม่ไปกวนเธออีกจนเย็น
“แม่เอาข้าวไว้ตรงนี้นะลูก” คุณแม่ยกถาดที่มีข้าวและอาหารวางไว้ที่หน้าประตูห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีพร้อมที่จะเป็นลมได้ทุกเมื่อ
หลังจากนั้นเธอก็เก็บตัวอยู่ในห้องตัวเองตลอดแต่ก็ทานอาหารที่แม่เธอเอาไปให้ไม่มีอด ส่วนคุณแม่ก็ได้แต่รอเวลาที่ลูกพร้อมจะออกมาเองโดยไม่ไปบังคับหรือฝืนใจเธอ
เวลาผ่านพ้นไปหลายวันร่วมอาทิตย์ในที่สุดเธอก็ออกมาจากห้องและเดินทางไปโรงเรียนโดยไม่ได้พูดคุยกับใครทั้งนั้น
“ยัยพีชมาโรงเรียนแล้วล่ะ” เสียงกระซิบจากกลุ่มชายหญิงที่รวมตัวกันอยู่หลังห้อง ก่อนเวลาเรียนจะเริ่ม พีชนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนโดยไม่สนใจเสียงเหล่านั้น
“ชญานิศ อ่านย่อหน้านี้ให้เพื่อน ๆ ฟังที” วิชาภาษาอังกฤษประโยคที่ยาว คำศัพท์ที่ยากเกินกว่าจะให้เด็กมัธยมอ่านทั้งหมดได้ พอเธอลุกขึ้นยืนถือหนังสือขึ้นตรงหน้า
“Mecha-…” ทำไมจู่ ๆ ก็พูดไม่ออก คำแค่นี้ทำไมฉันพูดไม่ได้ล่ะ เมื่อเธอสบตาเข้ากับอาจารย์ที่สอนทำให้เธอหยุดชะงักทันที
“Mechanism…” เมื่อเธอก้มลงมองแต่หนังสือไม่มองหน้าใครอีกเธอก็สามารถพูดออกมาได้ ราวกับว่าเธอได้ตัดคนอื่น ๆ ออกจากสายตาไปแล้ว
เฮ้อ… เพียงชั่วครู่ที่สมองเธอได้ปล่อยโล่งก็มีภาพของซึฮากิโผล่ออกมาในหัว ทำให้เธออ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้นึกถึงเขาอีก
ในช่วงบ่ายเธอเลือกที่จะหมกตัวอยู่ในห้องสมุดจนเลิกเรียนเหมือนทุกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“อะ!” เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องสมุดก็ได้สบตาเข้ากับซึฮากิที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้าง ๆ ทางออกเธอรีบเดินถอยออกมาทันที ด้วยความเลิกลัก หายใจเข้าออกถี่ ๆ ไปนั่งแอบอยู่หลังกำแพง
เดี๋ยวสิทำไมฉันต้องแอบด้วยล่ะ เรื่องทั้งหมดมันก็เกิดจากเขา ถ้าจะให้จบก็ต้องจบที่เขา
“ซึฮากิ” พีชเดินตรงเข้าไปหาซึฮากิที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ และนั่งลงตรงข้ามกับเขาเสียงเรียกของเธอทำให้ซึฮากิเงยหน้าขึ้นมอง
“ฉันขออ่านหนังสือด้วยคน” อ๊าก! ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉยของพีชเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเขินอาย
“นายมาที่นี่ทุกวันเลยเหรอ?” ไม่รู้จะคุยอะไรดี ระหว่างที่พูดเธอก็เอาหนังสือขึ้นบังหน้าตัวเองไปครึ่งหนึ่ง
“ฉันเพิ่งย้ายกิจกรรมน่ะ” เขาพูดนะขณะที่ก้มอ่านหนังสืออยู่ พีชค่อย ๆ เอาหนังสือวางลงกับโต๊ะ
เขากำลังอ่านอะไรอยู่นะ? พีชเพ่งสายตาไปที่หน้าหนังสือของซึฮากิเป็นจังหวะเดียวกับที่ซึฮากิเงยหน้าขึ้นมองสบตาเข้ากับพีชพอดี
“อ-เอ่อ… นายชอบอ่านหนังสือแนวไหน?” เธอสะบัดหน้าหลบไปด้านข้างเห็นแก้มแดง ๆ ของเธอชัดเจน ในบางคำที่พูดก็กระตุกจนพูดไม่ชัด ก่อนที่เขาจะจ้องมองมาที่เธออย่างขะมักเขม้นด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์อย่างกับตาปลาตาย
“ไม่ได้อะไรชอบเป็นพิเศษหรอก” ก่อนที่ซึฮากิจะพูดจบเธอก็ชิงลุกออกไปจากโต๊ะเสียก่อนและกลับมาพร้อมกับกองหนังสือเกือบสิบเล่ม
“ในกองนี้นายชอบอันไหนมากกว่ากัน” เธอเกลี่ยกองหนังสือให้กระจายทั่วโต๊ะเห็นหน้าปกทุกเล่ม แม้น้ำเสียงของเธอจะประชดประชันแต่ก็มีความสงสัยอยู่ด้วย
“ไม่รู้สิ แล้วเธอชอบเล่มไหนในนี้ล่ะ” เพียงแค่เขาถามกลับทำเอาพีชหูแดงยิ้มเล็กยิ้มน้อยใหญ่แต่ก็พยายามฝืนตัวเองมองตาของซึฮากิไม่ให้หันหน้าหนีเหมือนกับครั้งก่อน ๆ
“เอ่อ..อืม..ฉันก็ไม่มีเล่มที่ชอบเป็นพิเศษเหมือนกัน” พีชรวบกองหนังสือเข้าไว้ตรงหน้าก่อนจะนั่งลงที่เดิม และต่างคนต่างก็อ่านหนังสือกันต่อไป
บรรยากาศอึดอัดเป็นบ้าเลย เหลือบตามองใบหน้าของซึฮากิที่กำลังมีสมาธิกับการอ่านหนังสือโดยไม่สนสิ่งรอบข้าง
“เอ่อ..” พีชไม่ทันได้พูดซึฮากิก็ลุกออกไปเสียก่อน
“ให้ช่วยเก็บหนังสือกองนั้นไหม?” ก่อนที่จะเดินจากไปเขาหันหลังมามองเธอ
อีกแล้ว ๆ !! พีชพยักหน้าและวางหนังสือซ้อนกันสองกองเท่า ๆ กันเพื่อแบ่งกันยกไป แต่เมื่อซึฮากิเดินมาเขาก็ยกกองหนังสือทั้งสองซ้อนกันเป็นกองเดียวเมื่อเดินไปถึงชั้นหนังสือและเก็บหนังสือเข้าชั้นไปทีละเล่มในหมวดหมู่ที่ต่างกัน
“ฉันขอช่วยด้วย” พีชเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ แต่ก็รักษาระยะห่างไว้นิดหน่อย ช่วยหยิบจัดหนังสือจากกองหนังสือที่ซึฮากิยกมา ไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อย
“ขอบใจ ฉันชอบเผลอหยิบหนังสือมาอ่านเยอะ ๆ น่ะ แบบว่าจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาบ่อย ๆ ” น้ำเสียงที่พยายามทำให้มันนุ่มนวลและรอยยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่พีชไม่ค่อยจะแสดงให้ใครได้เห็น
“อืม” ซึฮากิโบกมือสั้น ๆ ในระดับอกก่อนจะเดินจากไป แต่เพียงแค่นั้นก็ทำพีชหน้าแดงได้แล้ว
กรี๊ด!! เสียงกรีดร้องที่อัดอั้นไว้ในลำคอปกปิดด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้าอย่างกับเป็นคนบ้า
เมื่อเธอกลับถึงบ้านก็โดดเข้ากอดหมอนข้างสุดแรงกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ยิ้มไม่หุบภายในหัวก็มีแต่ใบหน้าของซึฮากิผุดขึ้นมาตลอดเวลาเวลา
“แม่วางข้าวไว้ตรงนี้นะ” ขณะที่กำลังวางถาดข้าวไว้ที่เดิมก็มีเสียงเปิดประตูออกมาต่อหน้า พีชก้มลงมาช่วยคุณแม่ถือถาดข้าวขึ้น
“กินข้าวกันแม่” เธอเดินไปที่โต๊ะทานอาหารพร้อมกับถาดข้าวในมือ เมื่อคุณแม่เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มร่าเริงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที เธอและคุณแม่ได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกันในรอบหลายวัน
และวันต่อ ๆ มาทุกช่วงกิจกรรมเธอก็จะไปที่ห้องสมุดเพื่อพบกับซึฮากิและนั่งอ่านหนังสือด้วยกัน ถึงแม้ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วก็ตาม ซึฮากิก็ยังดูไม่ค่อยสนใจเธอสักเท่าไหร่
“แม่!!” ขณะที่เธอกำลังเดินไปจ่ายตลาดกับคุณแม่จู่ ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์ขี่ด้วยความเร็วสูงพุ่งตรงชนเข้ากับคุณแม่ของเธอจนกระเด็นไถลไปตามพื้นคอนกรีตกระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้าที่อยู่ด้านหน้า เลือดไหลกระจายไปทั่วพื้น
“ช่วยด้วย!! ๆ ” พีชตะโกนสุดเสียงก่อนที่จะตั้งสติคว้าเอามือถือขึ้นมาถือเรียกรถพยาบาล ขณะที่รอเธอก็ทำได้แค่เอาเศษผ้าที่ฉีกจากชุดของเธอห้ามเลือดที่หัวไว้ ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึงและพาคุณแม่เข้าห้องฉุกเฉินโดยให้เธอรออยู่ข้างนอก
ไอ้รถเฮงซวยนั่น พีชนั่งกุมขมับน้ำตาคลอเบ้าพยายามกั้นไว้อยู่
ในตอนนี้เธอกำลังจะจบมัธยมปีที่ห้าแล้ว เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์แต่คุณแม่ของเธอก็ยังไม่ฟื้นสักที จากปกติที่ช่วงบ่ายเธอจะไปที่ห้องสมุดตอนนี้เธอจะกลับมาที่บ้านเพื่อเปิดร้านหนังสือขายแทนทำทุกอย่างเพื่อหาเงินไปรักษาคุณแม่และยังต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองด้วย
ขืนยังเป็นแบบนี้ เราหาเงินจ่ายค่ารักษาไม่ทันแน่ โธ่เว้ยตำรวจก็จับไอ้เวรนั่นไม่ได้สักที หลังจากสอบปลายภาคเสร็จช่วงปิดเทอมหยุดยาว เธอที่จะไปหางานทำแต่เพราะเธอยังมีแค่วุฒิมัธยมปีสามงานที่ทำได้ก็มีแค่ไม่กี่อย่าง
ช่วงกลางวันเธอทำงานที่ร้านขายของแห่งหนึ่ง พอเย็นเลิกงานเธอก็รีบตรงดิ่งไปที่ร้านอาหารที่เธอทำงานนับชั่วโมงอยู่ที่นั่นไม่ว่าจะล้างจาน ทำความสะอาด เสิร์ฟอาหารจนเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงจะเลิกงานกลับบ้านไปอ่อนเพลีย ร้านหนังสือที่เคยเปิดก็ทำการปิดไม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หนึ่ง..สอง…” ขณะที่นับเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองจู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นเบา ๆ ในลำคอ
“แม่..” น้ำตาที่ไหลลงบนแบงก์ที่กำอยู่ในมือคู่นั่น เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นได้ยินแต่เสียงสะอื้นเบา ๆ ภายในบ้านที่มืดมีเพียงแค่แสงจากเทียนไขที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวนั่น
เช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปทำงานต่อแม้จะรู้สึกอยากลงไปนอนที่เตียงแค่ไหนก็ตาม ฝืนตัวลากสังขารไปทำงานเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาต้องใช้กินอย่างประหยัด รวบรวมเงินเพื่อไว้ใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของคุณแม่ เธอยังคงฝืนทำอยู่หลายอาทิตย์จนร่างกายผอมซูบ เวียนหัวอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ถูกผู้จัดการดุเพราะเผลอหลับในเวลางานเกือบจะโดนไล่ออกอยู่หลาย ๆ ครั้ง
“ค่ะ” แม่… คำคำเดียวที่ยังทำให้เธอฝืนทนมาได้จนถึงตอนนี้แม้เธอจะพยายามอดกลั้นเรื่องแย่ ๆ ในใจไว้มากมายแต่สุดท้ายร่างกายก็ไปต่อไม่ไหว เธอล้มลงระหว่างทางเดินขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปทำงานรายชั่วโมงในตอนเย็น
“มีคนล้มตรงโน้นอะ” เสียงฝีปากฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาล้อมวงยืนดูพีชที่หน้าซีดนิ่งสนิทไร้การตอบกลับ จนมีใครบางคนเดินแหวกฝูงชนเข้ามาและอุ้มเธอพาไปไว้ในร่มไม้ใกล้ ๆ
“โรงพยาบาลใช่ไหมครับ?”
“ครับ มีคนเป็นลมหมดสติอยู่…..” เสียงสุดท้ายที่พีชยังได้ยินก่อนที่จะหมดสติไปจริง ๆ แม้เธอจะพยายามลืมตาขึ้นมองไปที่ใบหน้าของชายคนนั้นแต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึงและนำตัวพีชไปที่โรงพยาบาลโดยที่ชายคนนั้นได้หายไปแล้วเหลือเพียงแต่ฝูงชนที่มุมดูกันอยู่รอบ ๆ บริเวณ
แม่…หนูอยู่ที่ไหน เธอยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างกายเบาหวิวเหมือนกับขนนก รู้สึกโล่งและสดชื่นเหมือนมีต้นไม้ยักษ์ปกคลุมตัวอยู่
ไม่ว่าเธอจะมองไปที่ไหนก็มีแต่ควันสีขาวปกคลุมไปหมด มีเพียงเงาของใครบางคนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาอย่างช้าจนเห็นเป็นรูปร่างแต่ก่อนที่จะได้จดจำใบหน้านั้นได้เธอก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน
ที่ไหน โรงพยาบาล? เมื่อตื่นมาเธอก็นอนอยู่บนเตียงและพยายามตั้งสติมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครทั้งนั้น
“อะ” เธอลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็รู้สึกได้ว่ามีเข็มเจาะอยู่ที่แขนของเธอเชื่อมอยู่กับถุงน้ำเกลือ เธอคว้าเอาขาตั้งน้ำเกลือและเดินออกมาจากห้องเปิดประตูออกมาเจอกับนางพยาบาลพอดี
“หนูจะไปไหน ต้องพักฟื้นร่างกายก่อน” นางพยาบาลเข้ามาประคองแขนข้างที่ไม่ได้เจาะเข็มและพาเดินไปที่เตียง พีชเองก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“ตอนนี้กี่โมงแล้วค่ะ?” พีชพูดด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อยดูเหนื่อย ๆ
“มันดึกมากแล้วหนูนอนก่อนเถอะ” ประคองพีชลงนอนกับเตียงด้วยความทะนุถนอม
ไม่รู้ทำไมทั้งที่ต้องรีบไปทำงานแต่ร่างกายกลับทิ้งหัวลงหมอนเอง
เมื่อรุ่งเช้าเธอตื่นขึ้นมาเห็นนางพยาบาลคนเดิมเข็นรถเข็นที่มีอาหารอยู่บนนั้นมาพอดี
“หนูต้องรีบไปทำงานแล้วค่ะ” พีชเอามือค้ำตัวเองลุกขึ้นจากเตียงช้า ๆ
“ไม่ได้ค่ะ ฟังนะคะตอนนี้หนูมีอาการร่างกายอ่อนเพลีย ขาดสารอาหาร อาจจะพักผ่อนไม่เพียงพอหรือมีอาการเครียดด้วยใช่ไหมคะ?” คุณพยาบาลยืนอยู่ข้าง ๆ หยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน
… ฉันต้องหาเงินเดี๋ยวนี้ห้ามหยุดเด็ดขาด พีชมองข้ามนางพยาบาลลุกขึ้นเดินผ่านไปยังทางออก
พีชล้มลงชนกับโต๊ะเสียงดังขาไม่เหลือแรงที่จะเดินหรือยืนได้แล้ว แต่เธอก็ยังกระเสือกกระสนฝืนตัวเองยืนขึ้นมาใช้กำแพงช่วยประคองไป ก่อนที่นางพยาบาลจะเดินเข้ามารวบตัวและพากลับมาที่เตียงโดยที่เธอยื้อยุดไว้ไม่ยอมเดินกลับมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเธอที่วางไว้ข้าง ๆ เตียง
“สวัสดี-ค่ะ” นางพยาบาลหยิบโทรศัพท์มายื่นให้เธอ
“จากสถานีตำรวจนะครับตอนนี้ผู้ก่อเหตุได้เข้ามามอบตัวและพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดแล้ว”
"..."
“ค่ะขอบคุณค่ะ” พีชเข่าทรุดลงกับพื้นแม้สีหน้าจะนิ่งเฉยแต่น้ำตาก็ไหลออกมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด แม้นางพยาบาลจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็โผเข้าโอบกอดพีชไว้เบา ๆ
ช่วงวินาทีนั้นพีชกอดกลับด้วยความแน่นพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังออกมารอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อนกล้าที่จะแสดงอารมณ์ที่เก็บกดไว้ออกมาอีกครั้ง
หลังจากที่เธอนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันจนได้ออกมาอีกครั้งโดยที่ไม่เสียค่ารักษาอะไรแต่อย่างใด เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ของเธอได้รับการรักษา
แม่จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอวิ่งตรงไปยังห้องผู้ป่วยที่แม่ของเธอพักอยู่แม้ท่าวิ่งจะเก้ ๆ กัง ๆ บางครั้งต้องใช้กำแพงช่วยประคองไว้เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปเงียบสนิทได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจถี่ ๆ ของตัวเองเท่านั้น
“แม่คะ” ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เธอเดินไปที่เตียงอย่างช้า ๆ และเปิดม่านที่บังเตียงไว้ออก
“ว่าไงลูก” เธอยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาเมื่อได้เห็นคุณแม่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะโผเข้ากอดและปล่อยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเบา ๆ เหมือนกับกั้นมันไว้ไม่อยากให้คุณแม่เห็นด้านนี้ของเธอ
อ้อมแขนและไออุ่นจากตัวของคุณแม่ที่ส่งผ่านมายังพีชทำเอาเธออยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
“หนูมารับตัวคุณแม่ใช่ไหมคะ?” ไม่นานก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารต่าง ๆ ยื่นให้กับพีช
“แม่อยากกิน…อะไร?” ทั้งคู่ช่วยกันประคองแขนเดินออกมาจากโรงพยาบาลขณะที่กำลังมองหารถที่จะกลับบ้าน
“ตามใจลูกเลย” เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของคุณแม่ก็ทำเอาพีชยิ้มตามทันที
เมื่อกลับถึงบ้านก็ใช้เวลาหลายวันเพื่อให้คุณแม่ได้พักฟื้นสภาพร่างกายขณะที่พีชยังคงออกไปทำงานอยู่แม้จะได้เงินค่าเสียหายมาแล้วก็ตาม
ในที่สุดก็จะได้เห็นหน้าไอ้เวรนั่นสักที พีชเดินทางไปที่สถานีตำรวจเพื่อดูการสารภาพและคำขอโทษจากผู้ต้องหา
“ผมขอโทษจริง ๆ ครับ วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มหน้าตี๋ที่พูดด้วยเสียงลุกลี้ลุกลน
“ผมยอมชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่างแต่โดยดีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ” เอาแต่พูดวกวนไปมาจนน่าสงสัย แต่เมื่อได้สอบสวนไปสักพักจึงตัดสินโดนข้อหาไปหลายข้อหา
ฉันจะจำหน้าแกไว้ให้ขึ้นใจเลย อย่าให้ได้เจอกันอีก พีชเดินออกจากสถานีตำรวจและได้ค่าเสียหายมาประมาณหนึ่งล้านบาทและอาจจะมีชดเชยเพิ่มเติมอีกในภายหลัง
หลังจากวันนั้นพีชก็ได้หยุดทำงานไปและกลับไปเปิดร้านหนังสืออีกครั้ง ได้อ่านหนังสือที่ชอบใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบจริง ๆ คุณแม่ของเธอก็สามารถกลับมาทำงานได้อีกครั้งแล้ว
“เลิกทำงานแล้วเหรอ?” เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นลูกค้ารายแรกที่ย่างเท้าเข้ามาในร้านหนังสือนี้คือซึฮากิ
“เอ่อ…ใช่” พีชยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไปด้วยความที่ยังไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่จะเดินหลบเข้าหลังร้านไป
เขาคุยกับฉันก่อนด้วย พีชยืนกอดหนังสือแน่นโดยที่ปล่อยหลังพิงกำแพงไว้
“ลูกมายืนทำอะไรตรงนี้” เสียงจากคุณแม่ทำเอาพีชสะดุ้งทำหนังสือตกพื้น เธอรีบเก็บมันขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าห้องไป
หลายสัปดาห์ผ่านไปจนถึงเวลาเปิดเรียนอีกครั้งในระดับชั้นมัธยมปีที่ห้าซึ่งในทุก ๆ เทอมจะมีการสับเปลี่ยนห้องกันตลอด
จะอยู่ห้องไหนก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย มีแต่พวกเดิม ๆ ที่เข้ามาถามคำถามแบบเดิม ๆ พีชเดินจับสายกระเป๋าเดินเข้าห้องเรียนใหม่และหาที่นั่งทันที
“อะ!!” กรี๊ด!! นักเรียนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอคือซึฮากิ ทำเอาเธอเหม่อจ้องเขาไปพักหนึ่งจนคนรอบข้างสังเกตเห็นได้
เสียงกริ่งดังหมดเวลาในช่วงเช้า
“เอ่อ…นายอยากจะไป…ห้องสมุดไหม?” พีชรวบรวมความกล้าเดินดิ่งเข้าไปหาเขาขณะที่กำลังเก็บกระเป๋า
“อืม…” เพียงคำตอบสั้น ๆ และการพยักหน้าของเขาก็ทำให้พีชเขินจนตัวบิดไปแล้ว
ทั้งคู่เดินมาห้องสมุดด้วยกันท่ามกลางสายตาของพวกนักเรียนมากมาย
“ทำไมนายชอบอ่านหนังสือล่ะ?” เมื่อนั่งอ่านหนังสือไปได้ไม่นานพีชก็เริ่มชวนซึฮากิคุย
“ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นในการเอาชีวิตรอด…”
ทุก ๆ วันหลังจากนั้นพีชกับซึฮากิจะเดินไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแต่เธอก็พยายามเดินเว้นระยะห่างนิดหน่อย พีชพยายามชวนซึฮากิคุยตลอดเพราะอยากรู้เรื่องของเขาให้มากกว่านี้ถึงแม้จะใช้เวลาทั้งเทอมก็ตาม
“ขอ..เบอร์ติดต่อได้ไหม?” พีชยิ้มเล็กยิ้มน้อยพูดเสียงเบาจนซึฮากิโน้มตัวเข้ามาฟังใกล้ ๆ
“ได้สิ”
เมื่อสอบปลายภาคเสร็จปิดเทอมพีชและซึฮากิก็ยังคงนัดกันไปอ่านหนังสือเกือบทุกวันมีการสับเปลี่ยนห้องใหม่
ขอเถอะ ขอให้ได้อยู่กับกิเถอะ พีชเดินหยุดอยู่หน้าห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
ต้องแบบนี้สิ ซึฮากิเลือกที่นั่งข้างริมหน้าต่างเธอจึงเดินตรงเข้าไปเพื่อนั่งข้าง ๆ
อะ…มีผู้หญิงแปลกหน้าที่เข้าไปนั่งข้าง ๆ ซึฮากิพูดกับเขาด้วยความสนิทสนมบางครั้งก็ใกล้กันจนใครเห็นก็ว่าเป็นแฟนกัน
ใจเย็น หายใจเข้า…หายใจออก… พีชเลือกที่นั่งด้านหลังซึฮากิแทนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแพร่รังสีอันดำมืดออกมารอบ ๆ
“เดี๋ยวได้เจอดีกัน” แม้จะมีเสียงพึมพำจากพีชแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่หยุดคลอเคลียซึฮากิ
ฮึ…พีชนั่งนิ่งจ้องมองภาพอันแสนบาดตาบาดใจตรงหน้าแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้ให้ถึงที่สุด
***สามารถอ่านเนื้อเรื่องหลัก STARCIN ***
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 778
ความคิดเห็น
เดี๋ยวพีชจะน้อยใจ บทน้อย
แสดงความคิดเห็น