บทที่ 3 หุบเขาวิญญาณร่วง
บทที่ 3 หุบเขาวิญญาณร่วง
ดรุณีเสื้อกระโปรงเขียวก้มกายเก็บกระบี่สอดคืนฝัก ขณะคิดย่อกายประสานมือขอบคุณต่อบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า มิคาดจูสือพลันถลันเลี่ยงหลบ สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ตั้งใจขึ้นเล็กน้อย พลังลับขุมหนึ่งแผ่ทะลักมา ยอร่างนางจนเท้าขวาเซถลาครึ่งก้าว จูสือเพ่งพิศอีกฝ่ายชั่วขณะ รู้สึกเป็นเค้าหน้าที่อ่อนเยาว์บริสุทธิ์ ใบหน้ารูปไข่เอียงอายจนแดงระเรื่อ จมูกน้อยๆโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเผยอยิ้มอย่างอ่อนหวาน รู้สึกประกายในดวงตาดำขลับประดุจนิลโชติช่วงเด็ดเดี่ยวกระไรปานนั้น
ตั้งแต่วิกาลจวบจนยามสี่ใกล้ผ่านพ้น ช่วยเหลือผู้คนสองพวกโดยบังเอิญ น่าแปลกคือหนึ่งดรุณีและสองอาจารย์กับศิษย์ที่ศาลเจ้า ล้วนถูกป้อมมังกรพยัคฆ์ไล่ล่าต้องการปลิดชีวิต เรื่องราวในโลกไหนเลยประจวบเหมาะดั่งนี้ สร้างความคลางแคลงแก่ตนจนส่งเสียงถาม
"ขอถามแม่นางมีข้อบาดหมางใดกับป้อมมังกรพยัคฆ์"
ดรุณีชุดเขียวยกมือตกแต่งผมเผ้า สลับกับปรายตาสำรวจบุรุษหนุ่มเที่ยวหนึ่งกล่าวอย่างระมัดระวัง
"เรื่องนี้ยืดยาวยิ่ง ยังมิได้เรียนถามนามสูงส่งกงจื่อคงไม่นึกตำหนิ"
"ข้าพเจ้าจูสือ สำหรับคำขอบคุณคงไม่ต้องแล้ว เนื่องเพราะเราท่านต่างพบปะโดยบังเอิญเท่านั้น"
ดรุณีชุดเขียวยิ้มอย่างอ่อนหวานหัวร่อคิกกล่าวว่า
"กงจื่อถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าความจริงสมควรบอกเล่าให้กระจ่างชัด แต่เราท่านเพิ่งรู้จักหวังว่าภายหน้ามีโอกาสสนทนา"
วาจากล่าวจนจูสือรู้สึกผิดท่า ใบหน้าแดงฉานรีบข่มใจเยือกเย็นเปลี่ยนเรื่องถามว่า
"อย่างนั้นแม่นางมีคำเรียกหาอย่างไร"
"อ้อ!ข้าพเจ้ามู่อิงอิง"
"ยินดีที่รู้จัก ไม่รบกวนเวลาของแม่นางมู่ข้าพเจ้าขอตัว"
ประสานมือแล้วกระโดดขวับพุ่งออกนอกดงไม้ทันที มู่อิงอิงมองเงาหลังบุรุษหนุ่มจนลับตา ลอบทอดถอนใจส่ายศีรษะช้าๆ มิทราบเกิดความรู้สึกพิสดารอันใดหันกายโลดแล่นจากไปบ้าง
......
ยามห้าเพิ่งพ้นผ่านท้องฟ้าก็สว่างเรืองรอง อาทิตย์อุทัยยังอ่อนจาง แต่ทุกที่ทางฟื้นตื่นสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครา จูสือบรรลุถึงเมืองน้อย คนส่วนใหญ่เพียงผ่านทางแวะเปลี่ยนม้าพักดื่มกิน โรงเตี๊ยมแผงน้ำชาสองฟากข้างจึงคึกคักจอแจแต่เช้าตรู่ เดินถึงหน้าร้านอาหารสุดปลายถนน ลอบกวาดตาไปในร้านเห็นมีที่ว่างอยู่สองสามโต๊ะ ตกลงแวะดื่มกินเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง
ผู้รับใช้เห็นลักษณะแต่งกายอาภรณ์แม้เรียบร้อยรูปกายงามสง่า แต่ใบหน้าอีกฝ่ายทั้งซีดขาวทั้งกระด้างเย็นชา ลนลานน้อมกายเชื้อเชิญแย้มยิ้มประจบ จูสือกริ่งเกรงมันกล่าวมากความเงยหน้าดวงตาสาดประกายดุจสายฟ้า สั่งผัดผักสองจานน้ำชาป้านหนึ่ง ผู้รับใช้สยิวกายอย่างหนาวเหน็บรีบรับคำผละจากไป รอชั่วขณะอาหารถูกยกมา จูสือรับประทานอย่างเร่งรีบ หลังชำระเงินเรียบร้อยจึงมุ่งหน้าสืบต่อ
ยามเที่ยงวันนั้นบรรลุถึงจินหลิง บุรุษหนุ่มเป่าลมจากปากยาวๆ เหลียวซ้ายแลขวาหยุดยืนริมแม่น้ำ แสงอาทิตย์แผดจ้าร้อนแรง ก่อกวนผู้คนจนหลั่งเหงื่อชุ่มโชกกลางหลัง คนสัญจรข้ามฟากมีไม่ขาดสาย เรือสินค้าหลายสิบลำทะยอยทิ้งสมอเทียบฝั่ง ชายฉกรรจ์บึกบึนขนย้ายข้าวของ ร่ำร้องพูดจาเซ็งแซ่
หลังจากเข้าไปสอบถามค่าใช้จ่าย บ่งบอกเจตนาต้องการข้ามฟาก เจ้าของเรือลำกึ่งกลางเป็นชาวประมงไว้หนวดเครารกครึ้มทั้งสองแก้ม สวมหมวกปีกกว้างปิดบังครึ่งซีกหน้า ยืดกายผอมซูบยืนตรงแล้ว ประสานมือต่อบุรุษหนุ่มกล่าวเชื้อเชิญ
"มิต้องเกรงใจอากาศร้อนอย่างยิ่ง กงจื่อขอเชิญด้านใน"
มันเนื่องจากแลเห็นบุรุษหนุ่มแม้เค้าหน้างามสง่า แต่ออกจะซีดขาวไร้สีเลือด มีทีท่าคล้ายนักศึกษาอ่อนแอ จึงบังเกิดความปรารถนาดีไม่น้อย ในห้องท้องเรือจัดตั้งโต๊ะเก้าอี้วางของว่างน้ำชาอยู่ก่อน พนักงานสองคนล่าถอยออกไป ชั่วขณะเรือถอนสมอเคลื่อนจากฝั่งช้าๆ จูสือเหลือบมองน้ำชาบนโต๊ะแวบยกขึ้นจิบคำหนึ่ง สายตาจับนิ่งยังผืนน้ำพลิ้วไหวระลอกแล้วระลอกเล่า รู้สึกจิตใจหนักอึ้งสมองเริ่มขบคิดวางแผน
ภาระของตนนับว่าเกี่ยวพันใหญ่หลวงซับซ้อนหลายฝ่าย ครอบคลุมทั้งอธรรมและธรรมะ กว่าสิบปีที่มุ่งมานะรับการฝึกฝนจากอาจารย์ผู้เฒ่า มีความสำเร็จถึงระดับใดนั้นยังไม่กล้าแน่แก่ใจ นอกจากสติปัญญาและวิชาฝีมือ รู้สึกตนออกจะขาดประสบการณ์บู๊ลิ้ม จำเป็นต้องค่อยๆสืบสาวพลางเคลื่อนไหวพลาง
เรือพอเทียบฝั่งทัศนียภาพรอบข้างพลันเปลี่ยนแปลง เสียงผู้คนสนทนา...เสียงร่ำร้องถามไถ่ เหล่านี้ปลุกบุรุษหนุ่มสะท้านจากภวังค์เคลิบเคลิ้ม ผุดลุกสาวเท้าถึงหัวเรือล้วงทองแท่งจากอกเสื้อยื่นส่งต่อชาวประมง ชายชรากล่าวบ่ายเบี่ยงหลายคำแต่มือได้ยื่นรับทองคำหนักร่วมสองตำลึงซุกเก็บในกระเป๋าเสื้ออย่างว่องไว จูสือแค่นเสียงทางจมูกเบาๆ ก้าวยาวๆขึ้นฝั่ง
ต้นหลิวริมแม่น้ำอ่อนไหวชดช้อยอาทิตย์หลังเที่ยงแดงฉานร้อนแรงไร้ปราณี กลุ่มคนเบียดเสียดแออัดตามถนนตรอกเล็กตรอกน้อยคลาคล่ำด้วยรถม้าลาพาหนะ กลิ่นหอมของอาหารรสชาติของสุรา ก่อกวนจูสือท้องร้องโครกครากหิวโหยสุดทนทาน
เหลาหอมเมามายสถานที่เลื่องชื่อ ขอเพียงบรรลุถึงจินหลิงผู้ใดไม่คิดแวะเวียนมาสักครา สุราเลิศรสนางคณิกาเพรียบพร้อมทั้งรูปโฉมการละเล่น ท่านหากมีเงินทองสามารถซื้อตัวพวกนางปรนเปรอความสุขเต็มที่ แม้เวลาชั่วครู่ชั่วยามสำหรับคุณค่าทางจิตใจ นับเป็นสิ่งพึงปรารถนาแก่เศรษฐีมีทรัพย์คุณชายตระกูลใหญ่กระทั่งบุรุษสำราญ
ตัวตึกปลูกสร้างโอ่อ่าโอฬาร สามช่วงตึกห้าคูหากินอาณาเขตกว้างขวาง สามารถอวดโอ่กิจการอย่างภาคภูมิลำพอง
จูสือเพิ่งเหยียบย่างเข้าไปผู้รับใช้สองคนถลันปราดต้อนรับ มันสองกราดตาสำรวจผู้มาขึ้นๆลงๆ การแต่งกายที่รัดกุมบุคลิกสูงส่งเรียบร้อย ลนลานน้อมกายกล่าววาจาประจบหลายคำ
จูสือใบหน้ากระด้างเยียบเย็นโบกมือยืดอกเดินเฉียดผ่านข้างกายอีกฝ่ายขึ้นบันไดจับจองโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองทรุดนั่งลงเหลาหอมเมามายแม้มีเพียงสองชั้น แต่โอ่โถงใหญ่โต โต๊ะเก้าอี้ทั้งบนและล่างสามารถจัดหาเพิ่มเติมหากจำเป็น ดังนั้นประดาแขกเหรื่อจึงหลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย
บุรุษหนุ่มเรียกผู้รับใช้เข้ามาสั่งสุราอาหาร รอจนมันผละออกไปจึงลอบกวาดตาสำรวจทั่วบริเวณตลบหนึ่งที่ว่างชั้นสองเกือบยี่สิบโต๊ะกล่าวได้ว่าถูกนั่งประจำตำแหน่งแทบหมดสิ้น ครั้นอาหารถูกยกมาลงมือรับประทานอย่างเยือกเย็น เยี่ยงนั้นยังเงี่ยหูสดับฟังปรายตาลอบสังเกตุตามนิสัยเคยชินอยู่บ่อยครั้ง
ในจำนวนผู้มาดื่มกินตอนหลังปรากฏเป็นชายกลางคนเสื้อเขียวเก้าคนหว่างเอวเสียบกระบี่พร้อมฝัก ประกายตายามกวาดมองแวววาวราวอาวุธ อกเสื้อด้านซ้ายสัญลักษณ์มังกรเคียงคู่พยัคฆ์แลเห็นเด่นชัดเปลือกตาบุรุษหนุ่มพริ้มลงช้าๆ ขมวดคิ้วเรียวงามในความกระด้างเย็นชาแฝงความกราดเกรี้ยวน่าหวาดหวั่น พวกทั้งเก้าแยกย้ายเป็นสองโต๊ะลงมือดื่มกินลวกๆโบกมือส่งสัญญาณชักชวนกันลงจากเหลา
จูสือไหนเลยปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทิ้งเศษเงินไว้บนโต๊ะติดตามหลังพวกมันแต่ไกล แหวกฝูงชนข้างถนนชั่วขณะเงาร่างทั้งเก้าคล้ายรุดหน้าด้วยระดับความเร็วเพิ่มขึ้น ดูท่าตระเตรียมทุ่มเทตัวเบาออกนอกเมือง
จริงดั่งคาดบุรุษสามคนเหลียวหน้ากลับกะทันหัน จูสือเมื่อจงใจสะกดรอยก็ระมัดระวังตัวแต่แรก ถลันวูบเดียวเข้าเงามืดใต้ชายคาซ้ายมือ ทั้งสามรอคอยจนแน่ใจปราศจากสิ่งผิดปรกติ จึงพุ่งกายกระโดดขวับเร่งฝีเท้าดุจพายุ
จูสือลอบแค่นหัวร่อร่างดุจกับเป็นหมอกควันเบาบางทอดระยะยี่สิบวา รุดหน้าประมาณเจ็ดแปดลี้เงาร่างเก้าสายละทิ้งทางหลวงสู่ทางน้อยขวามือ จูสือสนใจสังเกตุรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยอยู่แล้ว พอแลเห็นทางน้อยโรยกรวดเขียวสองฟากข้างปลูกพุ่มไม้ออกดอกเขียวขจีขนาบด้วยป่าหลิวแน่นขนัด จิตใจคลางแคลงสงสัยจนเคร่งเครียด ตาสอดส่ายสี่ทิศเงี่ยหูสดับแปดทาง
ฝ่ายหนึ่งนำหน้าฝ่ายหนึ่งลอบสะกดรอย ดำเนินไปอีกสองชั่วยามเต็มๆ หนทางยิ่งนานยิ่งเป็นป่าเขารกร้าง กิ่งไม้ใบหญ้าท่วมสูงร่วมเข่า ทำเลแห้งแล้งกันดาร กระทั่งร่องรอยทวิบาทจตุบาทนกกาอยู่อาศัย ยังแทบมิมีให้พบเห็น แสดงแน่ชัดป่าเขาเบื้องหน้าจะต้องเปี่ยมอันตรายน่าหวาดเสียว
วกซ้ายเลี้ยวขวาผ่านทางคดเคี้ยวหลายครั้งครา บรรลุถึงปากหุบเขาคับแคบแห่งหนึ่ง จูสือกวาดตาระแวดระวังรอบข้าง บุปผาโรยราใบหญ้าเหี่ยวเฉา พฤกษาหลายต้นพอเติบโตก็ถูกสภาพอากาศอันทารุณบีบคั้นจนกิ่งใบโน้มเอียงลำต้นแห้งตาย หินลักษณะประหลาดระเกะระกะ ทุกที่ทางดำสนิท...ดำอย่างน่ากลัว หลักศิลามหึมาหน้าหุบเขาซ้ายมือตั้งตระหง่านสูงร่วมสองวา อักษรทุกๆตัวสลักจมลึกในเนื้อหินหนึ่งนิ้วราบเรียบสม่ำเสมอ "หุบเขาวิญญาณร่วง!"
บุรุษหนุ่มลอบทอดถอนใจสังเกตุจากต้นไม้สิ่งมีชีวิตต่างพากันร่วงโรย ชื่อหุบเขาแห่งนี้นับว่าสอดคล้องจริงๆ ยามนั้นคนทั้งเก้าได้หยุดอยู่ที่หน้าหลักหินปากหุบเขา พลอยต้องรีบถลันหลบวูบเข้าซ่อนหลังโขดหินใกล้เคียง
ชายผู้นำหน้าเพิ่งโบกมือส่งสัญญาณ ในหุบเขาบังเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นแล้ว เงาร่างสายหนึ่งพุ่งวาบเข้าขวางกันไว้ อากัปกิริยาแคล่วคล่องว่องไวน่าตระหนกนัก มือกระบี่หัวหน้าขบวนรู้สึกตาละลานใจสั่นสะท้าน ดรุณีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปล่อยผมยาวสยายปกคลุมใบหน้า ยืนหยัดด้วยท่าทีเคร่งเครียดเย็นชา เสื้อกระโปรงสีดำแม้ตัดเย็บฝีมือประณีตสวยงาม ประกอบกับผิวกายซึ่งละเอียดผุดผ่อง มาตรว่ามีรูปโฉมน่าลุ่มหลง ยังอดสร้างความลี้ลับแก่ผู้คนหลายส่วน ยกมือชี้ยังหว่างอกอีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ
"พวกท่านหรือคือตัวแทนจากป้อมมังกรพยัคฆ์"
"ใช่แล้วกูเหนียงประมุขพวกท่านได้รับเทียบแดงเมื่อสามวันก่อนนี่ย่อมไม่ผิดพลาดเด็ดขาด"
ชายหัวหน้าขบวนประสานมือกล่าวต่อดรุณีชุดดำ น้ำเสียงท่าทีเคารพยำเกรงยิ่งนัก สร้างความผิดคาดหมายแก่ผู้คน เกียรติภูมิของป้อมมังกรพยัคฆ์ในยุคนี้ สมควรยกเป็นอันดับหนึ่ง มือกระบี่เสื้อเขียวแม้มีศักดิ์ศรีไม่สูงส่ง เมื่อเป็นตัวแทนที่ในป้อมส่งมา สมควรยืดหน้าเชิดอกว่ากล่าวโดยไร้ข้อกริ่งเกรง
ดรุณีชุดดำกวาดตาหยาดเยิ้มสำรวจทั่วทุกตัวคน โบกมือเบี่ยงกายกล่าวเชื้อเชิญ...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 36
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น