บทที่ 243: ราชครูเป็นร่างทรง

-A A +A

บทที่ 243: ราชครูเป็นร่างทรง

“ใช่ สหายของข้า” พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเซียวถังถังน่ารักมากเพียงใด เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะเล็ก ๆ ของนาง “จริง ๆ แล้วข้าไม่ได้เก่งกาจเท่าที่เจ้าพูดหรอก”

“แต่ถ้าเจ้าอยากฟังเรื่องราวน่าสนใจที่ข้าพบตอนอยู่ที่ชายแดน เจ้าก็สามารถมาพบข้าที่ตำหนักอิ๋งชุนได้ตลอดเวลา”

คนตัวเล็กชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ… แต่ในช่วง 2-3 วันนี้เจ้ายังไม่ควรมา พอดีข้าประสบปัญหาบางอย่างอยู่”

“แม่เจ้า!” เซียวถังถังยกมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยความขัดเขินขณะส่งเสียงตื่นเต้น “นี่ข้าฝันไปหรือไม่! องค์หญิงหกบอกว่าเราสามารถเป็นสหายกันได้ โอ๊ย ใครก็ได้หยิกข้าที!”

“...” มู่ไป๋ไป่ยืนนิ่งมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก 

“สมองของเด็กคนนี้มีปัญหาหรือไม่?” เจ้าส้มอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

คนตัวเล็กรีบปิดปากเปราะ ๆ ของเจ้าแมวอ้วนทันทีโดยแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้ยินอะไรก่อนจะโบกมือลาเซียวถังถังไปด้วยรอยยิ้ม 

“องค์หญิงหกช่างน่ารักอะไรอย่างนี้…” เซียวถังถังได้แต่ยืนโบกมือลาด้วยความไม่เต็มใจแล้วพึมพำกับตัวเอง

ทางด้านเซียวถังอี้เองก็ออกมาทันที่จะได้ยินบทสนทนาของเด็กน้อยทั้ง 2 “...”

“ท่านพี่! ทำไมท่านถึงไม่บอกข้าว่าท่านสนิทกับองค์หญิงหก!”  เซียวถังถังสังเกตเห็นการมาถึงของพี่ชายจึงหันหลังกลับไปแหวเสียงสูง “ที่ท่านบอกว่าไม่รู้จักองค์หญิงหกท่านโกหกข้าสินะ!”

เด็กหนุ่มเสมองไปทางอื่นอย่างเมินเฉย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

“ฮึ! ถ้าข้ารู้ว่านอกจากท่านจะรู้จักองค์หญิงหกแล้ว ท่านยังสนิทกับนางอีกด้วย ข้าคงจะมาที่ตำหนักนี้ตั้งนานแล้ว!” เด็กหญิงบ่นพี่ชายของตนก่อนจะยิ้มสดใส “แต่องค์หญิงหกเพิ่งเอ่ยปากเองว่าข้าสามารถไปพบพระองค์ได้ตลอดเวลา”

“หลังจากนี้เจ้าจะไปหานางกี่วันก็ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้” เซียวถังอี้คว้าคอเสื้อของน้องสาวขึ้นมาแล้วหันหลังเดินกลับเข้าตำหนักไป “ช่วงนี้ให้เจ้าอยู่ในตำหนักให้ดี อย่าได้เดินเพ่นพ่านไปไหน”

เรื่องระหว่างลี่เฟยกับราชครูยังไม่ได้รับคำชี้แจงที่กระจ่าง ด้วยนิสัยชอบก่อปัญหาของเซียวถังถัง มีความเป็นไปได้สูงมากที่นางจะถูกลูกหลงโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงต้องกำชับนางให้ดี มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาน่าปวดหัวตามมาทีหลัง 

“ทำไมล่ะ!” เซียวถังถังประท้วงพี่ชายอย่างไม่พอใจ

“ไม่มีเหตุผล” เด็กหนุ่มระงับความโมโหในใจลง “ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ออกไปจากวังหลวงซะ”

คำพูดนั้นทำให้เด็กหญิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็คิดในใจว่า 

ช่างเถอะ ๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะได้พบองค์หญิงหก ข้าควรจะอดทนเอาไว้ดีกว่า

 แม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะกลับไปยังตำหนักอิ๋งชุน แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ไม่น้อย

การปรากฏตัวของเซียวถังถังทำให้เธอตกใจมากจนไม่สามารถมองเซียวถังอี้ที่สวมหน้ากากเงินซึ่งดูเย็นชาตลอดทั้งวันแบบเดิมได้อีก

“เจ้าส้ม เจ้ารู้เรื่องเซียวถังอี้มากแค่ไหน?” คนตัวเล็กอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ ข้าได้ยินมาว่าเสด็จปู่ของข้ารับเลี้ยงเขามาจากสนามรบ”

“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเขามีน้องสาว…”

ในเวลานั้นเธอคิดว่าเซียวถังอี้เป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติพี่น้อง

“ใครจะไปรู้ล่ะ” เจ้าส้มอ้าปากหาวกว้างในขณะที่มันกำลังเดินวนหาที่นอน

พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเจ้าแมวอ้วนก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน เธอจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

เวลาต่อมา เธอจัดการกินข้าว งีบหลับให้เต็มอิ่ม เสร็จแล้วเธอก็ไปหาซูหว่านด้วยจิตใจที่เบิกบาน

ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว เธอจึงคิดที่จะไปพูดคุยกับผู้เป็นแม่อีกครั้ง เผื่อว่าเธอจะสามารถโน้มน้าวนางได้ 

“ท่านแม่!” มู่ไป๋ไป่รีบวิ่งเข้าไปในเรือนของซูหว่านโดยถือขนมที่เธอทำเองมาให้อีกฝ่ายด้วย

ปัจจุบันข่าวการสูญเสียบุตรของลี่เฟยได้ไปถึงหูของมู่เทียนฉงแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตัดสินลงโทษหว่านผิน แต่ยามนี้มีขันทีแปลกหน้าหลายคนปรากฏตัวขึ้นที่ตำหนักอิ๋งชุน

จากที่เด็กหญิงสอบถามได้ความว่าขันทีพวกนี้เป็นคนของกรมวังที่คอยดูแลภายในวังหลัง

ทันทีที่เธอเดินพ้นประตูเข้ามา เธอก็เห็นขันทีหลายคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่ลานบ้าน

“องค์หญิงหกเสด็จมาแต่เช้าเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนหนึ่งยิ้มมุมปากเมื่อเห็นมู่ไป๋ไป่มาเยือน จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่เร่งรีบ

ซึ่งท่าทางนั้นก็เป็นการทำความเคารพแบบลวก ๆ

“ข้าน้อยถวายบังคมองค์หญิงหก”

มู่ไป๋ไป่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าคนพวกนี้ทำตัวไม่ให้เกียรติเธอเพียงใดแล้วโบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ลำบากพวกท่านแล้ว ข้าจะส่งคนไปเตรียมของว่างมาให้พวกท่าน”

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเธอจะต้องออกจากตำหนักไปตรวจสอบความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ช่วงเวลานั้นจะไม่มีใครในตำหนักอิ๋งชุนที่สามารถตัดสินใจอะไรได้หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

ถ้าขันทีจากกรมวังคิดจะสร้างปัญหาให้กับพวกเธอ นั่นคงจะเป็นเรื่องง่ายดาย 

ดังนั้นตอนนี้เธอจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาให้เรียบร้อยเสียก่อน

เธอไม่ได้คิดที่จะขอให้ขันทีเหล่านี้ยืนเคียงข้างตน เธอแค่อยากให้พวกเขาอย่าก่อปัญหาให้เธอเพิ่มในระหว่างที่เธอกำลังสอบสวนก็พอ

“ขอบพระทัยองค์หญิงหกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มปลอม ๆ “พวกข้าน้อยทำตามรับสั่งของฝ่าบาท มันไม่นับว่าลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“นอกจากนี้ในตำหนักอิ๋งชุนก็เงียบสงบมาก หว่านผินไม่ได้ขัดขืนให้ลำบากใจ ดังนั้นทุกคนจึงผ่อนคลายมากพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ฟังคำพูดของขันทีหลายคน เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้กลายเป็นวิญญาณไปแล้ว พอเธอได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มีแผนที่จะก่อเรื่องในขณะนี้ เธอจึงรู้สึกโล่งใจมาก

จากนั้นเธอก็พูดคุยกับขันที 2-3 ประโยค ก่อนจะไปเคาะประตูห้องของซูหว่านพร้อมกับขนมที่เธอทำเองในมือ

“ท่านแม่ ไป๋ไป่มาหาท่านแล้ว!”

เวลาผ่านไปเพียงคืนเดียว ร่างกายของซูหว่านดูจะซูบผอมลงไปมาก เพียงแค่ลมพัดนางก็ทำท่าเหมือนจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ซึ่งภาพนั้นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกปวดใจมาก

“ท่านแม่ อาหารช่วงนี้ไม่อร่อยหรือเพคะ?” เด็กหญิงมองผู้เป็นแม่ด้วยดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ดูสิ ก่อนที่ข้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ท่านได้ ท่านคงจะล้มป่วยไปเสียก่อน!”

“ไป๋ไป่…” หว่านผินถอนหายใจเมื่อได้ยินลูกสาวหยิบยกเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาพูดอีกครั้ง “แม่ไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือว่าให้ปล่อยเรื่องนี้ไป? ลี่เฟยไม่ได้โกหก นางแค่…”

“ใช่!” มู่ไป๋ไป่ตอบทันควัน “ข้ารู้แล้ว ดูเหมือนว่าลี่เฟยจะตกใจกลัวงูจึงล้มลง แล้วนางก็ใส่ร้ายป้ายสีท่าน!” 

คำพูดของคนตัวเล็กทำให้ซูหว่านรู้สึกประหลาดใจมาก นางจึงหันไปถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร? ในตอนนั้นแม่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีใครอยู่เลย…”

“ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องที่ว่าข้ารู้ได้อย่างไร” เด็กหญิงขยี้ปลายจมูกที่แสบร้อน ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “อย่างไรก็เถอะ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็รู้ด้วยว่าทำไมท่านถึงยอมรับความผิดนี้”

หว่านผินเบิกตามองมู่ไป๋ไป่ด้วยความตกใจ นางไม่สนใจที่จะรักษาท่าทีของตัวเองอีกต่อไปแล้วรีบคุกเข่าลงกระซิบพูดกับลูกสาว ขณะที่นางมองเด็กน้อยด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่หาได้ยาก “ไป๋ไป่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเจ้าอย่าได้เข้าไปยุ่ง คราวนี้มันไม่เหมือนกับเรื่องที่เจ้าเคยประสบมาก่อน” 

“คราวนี้… ฝ่าบาทคงไม่เข้าข้างเจ้าแล้ว…”

ซูหว่านไม่รู้จะอธิบายให้เด็กหญิงฟังว่าอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่ราชครูบอก นางจึงเม้มปากด้วยความรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง นางไม่อยากทำให้ลูกสาวต้องปวดใจ 

อย่างไรก็ตาม มู่ไป๋ไป่กลับดูสงบมากหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ข้ารู้”

“เจ้ารู้หรือ?” หว่านผินมองลูกสาวด้วยสายตาว่างเปล่า นางไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร

“เพคะ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าและพูดต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านแม่ถึงยอมรับความผิด เพราะราชครูบอกว่าข้าเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ และท่านแม่ต้องการปกป้องข้า”

ซูหว่านยกมือขึ้นปิดปากตัวเองในขณะที่นางมองมู่ไป๋ไป่ซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่นางจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก

นางรู้ว่ามู่ไป๋ไป่นั้นแตกต่างไปจากเด็กทั่วไป แต่ในฐานะแม่ แน่นอนว่านางต้องอยากปกป้องลูกสาวของนาง

ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังทำอะไรผิดไป

“ท่านแม่ ราชครูคนนั้นคือร่างทรง” คนตัวเล็กจับมือซูหว่านเพื่อปลอบใจนาง “เซียวถังอี้… เอ่อ เสด็จอารับปากแล้วว่าจะช่วยข้า”

“เราจะช่วยกันเปิดโปงร่างทรงจอมหลอกลวงคนนั้น! ดังนั้นท่านแม่ ท่านอย่าได้คิดที่จะรับผิด”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.