บทที่ 194: อดทนไว้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ต่อมา มู่จวินเซิ่งพยุงมู่หรงถิงขึ้นจากพื้น แล้วพาอีกฝ่ายไปนั่งที่โต๊ะก่อนจะรินน้ำชาให้คนตรงหน้า จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “กุนซือมู่หรง ก่อนอื่นข้ามีเรื่องจะบอกท่านเช่นกัน”
เด็กหนุ่มค่อย ๆ เล่าข่าวเกี่ยวกับจวนตระกูลจินแห่งเมืองชิงหยาง รวมถึงการมาเยือนขององค์รัชทายาท
ถึงกระนั้น เขาก็ยังเก็บความลับที่ว่าตนเป็นองค์ชายรองไว้เช่นเดิม
ตอนนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่อยู่ที่ค่ายทหาร ถ้าเขาเปิดเผยตัวตนในเวลานี้ เขาอาจจะสร้างความขัดแย้งให้แก่รองแม่ทัพคนอื่น ๆ ได้
“หากเป็นไปตามที่ท่านบอก แม่ทัพจ้าวอาจจะถูกคนของแคว้นหนานซวนวางยาใช่หรือไม่?” มู่หรงถิงถอนหายใจยาว “ดีแล้ว… ดีแล้ว…”
ขอเพียงแค่แม่ทัพจ้าวไม่ได้ร่วมมือกับฝ่ายศัตรู เพียงเท่านี้เขาก็วางใจ
ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าไปสู้หน้าทหารหลายหมื่นนายในค่ายนี้ได้อย่างไร?
“รองแม่ทัพฉิน! ในเมื่อท่านบอกว่ามันเป็นการวางยาพิษ เช่นนั้นท่านมีวิธีถอนพิษหรือไม่?” กุนซือมู่หรงคิดถึงประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ “แล้วมันจะทำให้คนผู้นั้นตายหรือไม่?”
“เรายังมีทางแก้ไขมันอยู่ แต่ข้ายังหาคนที่ถอนพิษไม่ได้” มู่จวินเซิ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ส่วนที่ว่าคนที่ถูกพิษจะตายหรือไม่นั้น ข้าเกรงว่ามันคงจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลแล้ว”
เมื่อมู่หรงถิงได้ยินดังนี้ ใบหน้าของเขาก็กลับมาซีดขาวอีกครั้ง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม่ทัพจ้าวคอยเฝ้ารักษาเมืองเย่เฉิง ทำให้คนของแคว้นหนานซวนไม่อาจทำตามใจนึก
หากจะบอกว่าคนที่ชาวหนานซวนเกลียดมากที่สุดเป็นแม่ทัพจ้าวก็คงไม่เกินจริง
ซึ่งคนพวกนั้นคงไม่มีวันปล่อยให้แม่ทัพจ้าวมีชีวิตรอดไปได้
“กุนซือมู่หรง ข้าอยากจะขอให้ท่านไปเรียกรองแม่ทัพคนอื่น ๆ ให้เข้ามาที่นี่ ข้าอยากจะคุยกับพวกเขาเรื่องการต้อนรับองค์รัชทายาท”
“ครั้งนี้องค์รัชทายาทมาที่เมืองเย่เฉิงเพื่อสอบสวนเรื่องของหนานซวน”
“เขาจะพักอยู่ในค่ายทหารของเรา และมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะให้องค์รัชทายาทพักอยู่ในค่ายทหารด้วยเช่นกัน”
ในตอนนี้เขาพิจารณาแล้วว่าแม่ทัพจ้าวไม่สามารถออกมาต้อนรับได้ และพฤติกรรมแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากแมลงกู่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะขวางมู่จวินฝานเอาไว้อีกต่อไป
“เอ่อ…” มู่หรงถิงเกิดความรู้สึกลังเล “รองแม่ทัพฉิน ท่านไม่รู้อะไร ตอนที่แม่ทัพจ้าวยังอยู่ เขามีอคติกับพวกขุนนางบุ๋นมาก”
“ถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ คงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่เราจะอนุญาตให้องค์รัชทายาทเข้ามาในค่ายทหาร”
“ถ้าหลังจากนั้นมีเรื่องเกิดขึ้น—”
“ข้าจะจัดการเอง” มู่จวินเซิ่งเอ่ยขัดจังหวะอีกฝ่าย “กุนซือมู่หรง ท่านไม่สามารถปิดบังเรื่องของแม่ทัพจ้าวไปได้ตลอดหรอกนะ”
“ถ้าหนานซวนกับเป่ยหลงทำสงครามกัน และหนานซวนใช้แมลงกู่เพื่อส่งแม่ทัพจ้าวเข้ามาในสนามรบ ท่านจะอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าทหารว่าอย่างไร?”
“เช่นนี้มันจะไม่ทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดชีวิตของแม่ทัพจ้าวป่นปี้ไปเฉย ๆ หรือ?”
“ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
มู่หรงถิงตัวสั่นยามที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะยกมือคำนับให้กับมู่จวินเซิ่ง “เป็นข้าที่เลอะเลือนไปเอง รองแม่ทัพฉินพูดถูก ในเวลานี้เราคงไม่อาจปิดบังเรื่องของแม่ทัพจ้าวได้อีกต่อไป”
“นอกจากนี้ ตามที่รองแม่ทัพฉินกล่าว องค์รัชทายาทมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องของหนานซวนโดยเฉพาะ หากเขารู้ว่าแม่ทัพจ้าวถูกแมลงกู่ควบคุม เขาคงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาคนที่สามารถกำจัดพิษนั้นได้ และนั่นก็จะเป็นหนทางช่วยเหลือแม่ทัพจ้าวได้เช่นกัน”
หลังจากกุนซือมู่หรงกล่าวเช่นนั้น เขาก็ไม่รอให้มู่จวินเซิ่งเอ่ยปากอะไร เขารีบวิ่งออกจากกระโจมแล้วไปพูดคุยกับรองแม่ทัพคนอื่น ๆ
เด็กหนุ่มอาศัยช่วงจังหวะที่มู่หรงถิงเดินออกไปคุยคนอื่น โดยออกจากค่ายทหารเพื่อสั่งให้องครักษ์เงาที่ติดตามเขามานำข่าวกลับไปแจ้งองค์รัชทายาท
เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าใช้นกพิราบสื่อสารส่งข้อความเพราะกลัวว่าจะถูกดักฟังข่าวระหว่างทางและทำให้ข่าวนี้รั่วไหล
องครักษ์เงาเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก เขาจึงใช้วรยุทธมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองเย่เฉิง
ในช่วงเวลาเย็น ข่าวที่มู่จวินเซิ่งส่งออกมาก็มาถึงหูมู่จวินฝาน เซียวถังอี้และคนอื่น ๆ
“แม่ทัพจ้าวถูกคนของหนานซวนวางยาพิษด้วยหรือ?” จินซือหยางที่นั่งอยู่ไม่ไกลหูผึ่งทันที แม้แต่อวี้ฉีที่นั่งอยู่ด้วยกันก็ยังตกใจ “ท่านอาจารย์ ที่คนของแคว้นหนานซวนทำอะไรมากมายเช่นนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกมันก็คือการควบคุมแม่ทัพจ้าวเช่นนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” ชายหนุ่มวางชามกับตะเกียบลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พอจินซือหยางเห็นอาจารย์ของตนทำเช่นนั้น เขาก็ไม่กล้ากินต่อเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรีบวางชามกับตะเกียบของตัวเองลง ก่อนจะยืดตัวนั่งตรง แล้วเหลือบมององค์รัชทายาทกับท่านอ๋องซึ่งนั่งอยู่โต๊ะถัดไปด้วยสายตาสำรวจ
“เสด็จอา เรื่องนี้ต้องรีบรายงานให้ฝ่าบาททราบ” มู่จวินฝานขมวดคิ้ว ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม “กระหม่อมกังวลว่าแคว้นหนานซวนจะฉวยโอกาสนี้ก่อสงคราม เมื่อถึงเวลานั้นแคว้นเป่ยหลงจะไม่มีผู้นำกองทัพ กระหม่อมเกรงว่า… มันจะเกิดความวุ่นวาย”
“กระหม่อมต้องทูลขอให้เสด็จพ่อส่งแม่ทัพมาควบคุมกองทัพให้ทันท่วงที”
ด้วยเหตุนี้ องค์รัชทายาทจึงสั่งให้คนนำกระดาษ พู่กันและหมึกมาเขียนจดหมาย
“เจ้าคิดว่าตอนนี้ใครเหมาะสมที่สุดที่จะมาควบคุมกองทัพ?” เซียวถังอี้ถามขึ้นมาอย่างเย็นชา “ตอนนี้แม่ทัพทั้ง 4 ในราชสำนักต่างก็เฝ้าชายแดนอยู่คนละฝั่ง”
“หากแม่ทัพชายแดนถูกย้ายออกมาจากพื้นที่ ที่นั่นก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน”
“ถึงแม้ว่าเสด็จพ่อของเจ้าจะเต็มใจ แต่ชายแดนอีก 3 แห่งอาจจะไม่เต็มใจ”
มู่จวินฝานชะงักไปทันที เขาเม้มปากแน่นก่อนจะกล่าวว่า “ขอบคุณที่เสด็จอาเอ่ยเตือนสติ จวินฝานหุนหันพลันแล่นเกินไป”
เซียวถังอี้พูดถูก ตอนนี้แม่ทัพใหญ่แต่ละคนต่างกำลังเฝ้าชายแดนทั้ง 4 ทิศ การส่งจดหมายนี้ออกไปไม่ได้มีประโยชน์อื่นใดนอกจากจะเพิ่มปัญหาให้กับมู่เทียนฉง
และเสด็จพ่อของเขาได้ส่งตนมาที่ชายแดนในครั้งนี้ก็เพื่อแก้ปัญหา
การที่เขามาเพิ่มปัญหาให้เสด็จพ่อเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าเขาไร้ความสามารถ!
มู่จวินฝานวางพู่กันในมือลง ก่อนที่ความวิตกกังวลที่อธิบายไม่ถูกจะถาโถมเข้ามาในใจ ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นตันใจมาก
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีมือเล็ก ๆ นุ่มนิ่มขยับเข้ามาใกล้ขมับของเขา แล้วกดนวดเบา ๆ
“ท่านพี่รัชทายาทไม่ต้องกังวลไป เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอน” มู่ไป๋ไป่กำลังยืนอยู่บนเก้าอี้และนวดขมับให้พี่ชายคนโตในท่าทางทุลักทุเล “ในกองทัพไม่มีแม่ทัพ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะพ่ายแพ้ใช่หรือไม่เพคะ?”
“ไป๋ไป่เคยได้ยินพี่รองพูดมาโดยตลอดว่าแม่ทัพจ้าวนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่เทพเซียนที่ไหน เขาไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต”
“ในเมื่อแม่ทัพจ้าวเก่งกาจเช่นนั้น เขาจะต้องวางแผนเอาไว้แล้วว่าหากวันใดวันหนึ่งที่เขาจากไป ใครจะเข้ามาดูแลทหารของเขา”
เซียวถังอี้ที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เด็กคนนี้คิดได้เร็วมาก
เดิมทีคำถามนี้มีไว้เพื่อทดสอบมู่จวินฝาน แต่เขาไม่คาดคิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขาจะทำให้เจ้าตัวเล็กรู้คำตอบ
โชคดีที่นางยังเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเสด็จพี่ของเขาอาจจะตั้งเด็กคนนี้ให้เป็นองค์รัชทายาทแทน
“ไป๋ไป่!” มู่จวินฝานก็ตกตะลึงเช่นกัน “เจ้าฉลาดมาก”
“หา?” มู่ไป๋ไป่ทำหน้าสับสน เธอทนไม่ไหวที่เห็นสีหน้าวิตกกังวลของพี่ใหญ่ ดังนั้นเธอจึงพูดปลอบใจเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทำไมพี่ชายของเธอถึงบอกว่าเธอฉลาดล่ะ?
“ไป๋ไป่พูดถูก แม่ทัพจ้าวไม่มีทายาท ดังนั้นเขาจึงต้องฝึกใครบางคนให้เข้ามารับช่วงต่อกองทัพ”
“ขอเพียงแค่บุคคลนี้รับผิดชอบสั่งการกองทัพในเมืองเย่เฉิง ที่นี่ก็จะไม่เกิดความวุ่นวายอีก”
มู่ไป๋ไป่เกาหัวเบา ๆ สิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปหมายความเช่นนี้เองหรือ? ทำไมเธอถึงไม่รู้ตัวเลย
“เสด็จอา เรารีบมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารกันตั้งแต่เช้าเถอะพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฝานยกยิ้มมุมปาก “กระหม่อมต้องการล่วงหน้าไปก่อนเพื่อพบกับคนที่แม่ทัพจ้าวฝึกมากับมือ”
เซียวถังอี้พยักหน้าเพื่อเป็นการตอบรับ
ในทางกลับกัน มู่ไป๋ไป่กลับรู้สึกสับสนและอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ท่านพี่รัชทายาท ท่านรู้หรือว่าคนผู้นั้นเป็นใคร?”
มู่จวินฝานยิ้มโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ก่อนจะคีบน่องไก่ที่น้องสาวชอบให้นางชิ้นหนึ่ง “นี่ของไป๋ไป่ เจ้ากินให้เยอะ ๆ ล่ะ พรุ่งนี้ถ้าเราเดินทางไปถึงค่ายทหาร เจ้าก็จะรู้เองว่าคนคนนั้นเป็นใคร”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 69
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น