บทที่ 187: ดอกรักผลิบาน

-A A +A

บทที่ 187: ดอกรักผลิบาน

เจียงเหยายกยิ้มจาง ๆ พลางตอบว่า “มันก็แค่ยาพิษ ตราบใดที่พิษยังไม่จมลึกก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่ถ้าผิดแทรกซึมเข้าไปในไขกระดูก ถึงแม้ว่าฮัวถวอ*จะยังมีชีวิตอยู่ก็อาจไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้” 

*ฮัวถวอ (华佗) เป็นแพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศัลยแพทย์ผู้บุกเบิก มีชีวิตอยู่ในยุคสามก๊ก

พอเซียวถังอี้ได้ยินดังนี้ เขาก็พยักหน้ารับ “เอาเถอะ ข้าจะสั่งให้คนส่งท่านไปที่เมืองชิงหยาง ตอนนี้หมอที่นั่นไม่มีใครสามารถรับมือกับพิษนั้นได้เลย” 

 “หลังจากที่ท่านรักษาคนทั้งหมดในเมืองเสร็จแล้ว ให้ท่านรีบมุ่งหน้าไปที่ชายแดน” 

 “คุณชายเซียว ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำตามคำสั่งของท่าน” เจียงเหยามองเด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก “รางวัลที่ท่านสัญญาจะมอบให้ข้านั้นไม่เพียงพอสำหรับการที่ข้าต้องเดินทางเทียวไปเทียวมา 2 รอบเช่นนี้” 

 “อีกอย่าง ท่านยังไม่ได้บอกว่าทำไมท่านถึงอยากให้ข้ามุ่งหน้าไปที่ชายแดน” 

รางวัล… รางวัลอะไร?

คำพูดนั้นทำให้มู่ไป๋ไป่หูผึ่งทันที และเธอก็มองเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างสงสัย

 “ข้ายังไม่รู้” เซียวถังอี้ตอบอย่างใจเย็น “ข้าเพียงคิดว่าเรียกท่านมาจะปลอดภัยกว่า” 

 “บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับแมลงกู่” 

 “นั่นคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมาก” เจียงเหยาแตะปลายจมูกตัวเอง แม้ว่านางจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘หมอเทวดา’ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะรักษาได้ทุกโรค

นอกจากนี้ แมลงกู่ยังเป็นวิชาพิสดาร มันไม่ใช่โรคที่รักษาได้ยากหรือซับซ้อนแต่อย่างใด

 “ข้ารู้” เซียวถังอี้ทราบถึงความกังวลของหญิงสาว “ข้าได้ส่งคนไปยังหนานเจียงแล้ว ก่อนที่ท่านจะได้พบคนที่สามารถใช้กู่ได้ ท่านน่าจะอยู่ในพื้นที่ชายแดนสักพักหนึ่งแล้ว” 

 “อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่มีทางให้ท่านได้ลำบากหรอก” 

เจียงเหยารู้จักเซียวถังอี้มานานหลายปี ดังนั้นนางจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา หลังจากได้ยินคำสัญญาจากปากของเขา นางก็ตอบตกลงทันที

 “เจ้าเด็กน้อย พี่สาวจะต้องไปแล้ว ไว้คราวหน้าข้าจะกลับมาเล่นกับเจ้าใหม่” หมอสาวหยิบถุงใบเล็กออกมาจากอกเสื้อของตนแล้วยื่นให้เด็กหญิง “ข้ามอบมันให้เจ้าเป็นของขวัญพบหน้า สมุนไพรที่อยู่ในนี้ช่วยป้องกันแมลงไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเจ้า” 

 “จริงหรือเจ้าคะ?” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกายทันที เพราะเธอเพิ่งถูกยุงกัดไปไม่นาน ดังนั้นถุงสมุนไพรของสตรีผู้นี้จึงเป็นเหมือนพรจากสวรรค์ที่มาทันเวลาพอดี

 “เด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงได้น่ารักขนาดนี้?” เจียงเหยาอดไม่ไหวที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กมากขึ้น “เด็กน้อย เจ้าสนใจจะเรียนวิชาแพทย์หรือไม่? แล้วพี่สาวจะพาเจ้ากลับหุบเขาหมอเทวดาในฐานะลูกศิษย์” 

 “ที่หุบเขาหมอเทวดาสนุกมากเลยนะ” 

 “หลังจากที่เจ้าร่ำเรียนวิชาสำเร็จแล้ว เจ้าจะสามารถจัดการกับเซียวถังอี้ได้สบาย ๆ …” 

เด็กหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้แต่เหลือบตามองเงียบ ๆ “...” 

 “แต่ตอนนี้ไป๋ไป่อยากไปชายแดนกับพี่ชาย” มู่ไป๋ไป่กะพริบตามองอีกฝ่ายปริบ ๆ “เรารอจนกว่าเรื่องที่ชายแดนเสร็จสิ้นค่อยว่ากันอีกทีดีหรือไม่เจ้าคะ?” 

เด็กหญิงไม่อาจปฏิเสธแล้วว่าเธอสนใจสิ่งที่เจียงเหยาพูดเกี่ยวกับเรื่องหุบเขาหมอเทวดามาก

ตอนที่เธอเรียนวิชาการต่อสู้กับมู่จวินฝาน เธอค้นพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับการต่อสู้มากนัก

ในเมื่อเธอไม่เก่งด้านการต่อสู้ เธอก็ควรจะต้องเรียนรู้อะไรบางอย่างที่เอาไว้ป้องกันตัวเองได้

ซึ่งวิชาการแพทย์นั้นก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก!

หลังจากที่เธอกลายเป็นหมอเทวดา เธอจะทั้งสามารถปกป้องตัวเองรวมถึงช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย เช่นนี้มันจะไม่ยอดเยี่ยมเป็น 2 เท่าเลยหรือ!

 “ได้สิ” เจียงเหยายิ้มและหยิกแก้มมู่ไป๋ไป่เบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยวอีกครั้ง “ไม่เป็นไร เราไม่จำเป็นต้องรีบ ไป๋ไป่น้อยค่อย ๆ เก็บไปคิดก็พอ” 

 “ข้าจะสั่งให้คนติดตามท่านไปที่เมืองชิงหยาง” เซียวถังอี้เสมองไปทางอื่น เพราะเขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจผู้หญิง 2 คนนี้แล้ว “ให้เจี่ยอี—” 

 “ข้าไปเอง!” อวี้เซิ่งขยับเข้ามาบังสายตาของเด็กหนุ่มจากองครักษ์เงาที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ให้ข้าไปกับแม่นางเจียงเถอะ” 

 “ใต้เท้าซุนจำข้าได้ มันคงจะเป็นเรื่องที่สะดวกกว่าหากข้าติดตามแม่นางเจียงไป” 

เซียวถังอี้ขบคิดเรื่องที่อีกฝ่ายพูดแล้วรู้สึกว่ามันมีเหตุผล เขาจึงพยักหน้ารับเบา ๆ

 “เช่นนั้นข้าก็ขอฝากตัวกับคุณชายอวี้ด้วย” เจียงเหยาหยิบขลุ่ยของตัวเองแล้วลุกขึ้นคำนับให้กับทุกคน จากนั้นก็หันหลังกระโดดหายตัวไปท่ามกลางป่าไม้

อวี้เซิ่งเองก็ทิ้งม้าเอาไว้แล้วใช้วิชาตัวเบาตามไปทันที

ในไม่ช้าทั้งคู่ก็หายไปจากสายตา

 “ทำไมวันนี้ข้ารู้สึกว่าอวี้เซิ่งทำตัวแปลก ๆ” มู่ไป๋ไป่ยังคงถือขนมที่เจียงเหยามอบให้ยัดเข้าปาก และพูดทั้ง ๆ ที่มีขนมเต็มปากว่า “อวี้ฉี ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของท่าน?” 

 “เขาจะเป็นอะไรได้อีก?” อวี้ฉีคาบหญ้าจากที่ใดก็ไม่ทราบพลางเอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อรับลมเย็นสบาย “เพียงแค่ดอกรักกำลังผลิบานเท่านั้น” 

อะไรนะ?

เด็กหญิงรู้สึกสับสน เธอต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะรู้ว่าชายหนุ่มต้องการจะบอกอะไร และเธอก็โน้มตัวเข้าไปหาเขาอย่างตื่นเต้นในขณะที่ถามว่า “ท่านหมายความว่าอวี้เซิ่งตกหลุมรักว่าที่อาจารย์ของข้าตั้งแต่แรกเห็นเช่นนั้นหรือ?” 

อวี้ฉีเหลือบมองมู่ไป๋ไป่ และกำลังจะตอบเมื่อเขาเห็นเงาสูงมาบดบังแสงสว่างเอาไว้

จากนั้นคนตัวเล็กก็ถูกเจ้าของเงานั้นพาตัวไป

 “อ๊าาา! เซียวถังอี้! เป็นท่านอีกแล้ว!” มู่ไป๋ไป่ที่ได้กลิ่นกายที่คุ้นเคยก็รู้ว่าใครกำลังอุ้มเธอโดยไม่ต้องหันไปมอง

ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสัตว์ประหลาด!

เขาเสพติดการอุ้มเธอหรืออย่างไร?!

 “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” เด็กหนุ่มยกร่างเล็ก ๆ ในมือขึ้นมาสบตา ก่อนจะหรี่ตาเรียวยาว ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกถึงอันตราย

 “...” มู่ไป๋ไป่กลอกตาไปมาด้วยความรู้สึกผิด “ข้า… ข้าเรียกว่าเสี่ยว*--- เสด็จอาเล็ก! เสด็จอาเล็ก ท่านอย่าได้หิ้วข้าไปมาเช่นนี้สิ มันน่าอายจะตาย!” 

*เสี่ยวในที่นี้แปลว่า น้อย/เล็ก ซึ่งออกเสียงคล้ายกับเซียว

เซียวถังอี้แค่นเสียงเย็นชาในลำคอ “เฮอะ การที่เจ้าคิดคดโกงมันไม่น่าอายมากกว่าหรือ?” 

 “...” 

 “ข้าหิวแล้ว” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมององครักษ์เงาที่กำลังนำอาหารแห้งออกมาแล้วพูดว่า “ไปหาอะไรให้ข้ากินหน่อยสิ” 

มู่ไป๋ไป่อยากจะตอกกลับไปทันทีว่า ‘ท่านไม่มีมือหรืออย่างไร?’ แต่คำพูดนั้นก็ติดอยู่ที่ริมฝีปากก่อนที่เธอจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข

เวลาผ่านไปสักพัก เธอก็กลับมาพร้อมกับของว่างอุ่น ๆ 2 ชิ้นและเนื้อตุ๋นหอม ๆ

 “เสด็จอาเล็ก…” เด็กหญิงนำอาหารแห้งมาให้อีกฝ่ายอย่างแข็งขัน “นี่ถือว่าเป็นอาหาร 1 มื้อใช่หรือไม่ ดูสิ ข้าอุ่นขนมนี้ด้วยมือของข้าเอง” 

 “แล้วข้าก็หั่นเนื้อพวกนี้ด้วยมือของข้าเองเช่นกัน” 

เซียวถังอี้เหลือบมองมู่ไป๋ไป่เบา ๆ และไม่พูดอะไรซึ่งนั่นถือว่าเป็นการตกลง

เจ้าตัวเล็กคนนี้ค่อนข้างจะแสบสันพอตัว ถ้าเขาไม่ยอมถอยหลังให้บ้างเป็นบางครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่าในอนาคตนางจะสร้างปัญหาอะไรได้อีก

พอเด็กหญิงเห็นว่าคนตรงหน้ายอมถอยแต่โดยดี เธอก็รู้สึกมีความสุขแล้วเริ่มคิดว่าจะจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างไรต่อไปดี

 “ซือหยาง ทำไมเจ้าถึงกินน้อยขนาดนี้?” มู่จวินเซิ่งเดินเข้าไปหาจินซือหยางและมองดูของว่างครึ่งชิ้นในมือของอีกคนก่อนจะขมวดคิ้ว

 “องค์ชายรอง” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างประหม่าและกำลังตั้งท่าจะทำความเคารพคนตรงหน้า

 เพื่อล้างแค้นให้กับผู้เป็นพ่อ จินซือหยางจึงได้เข้าร่วมเดินทางกับพวกมู่ไป๋ไป่ในครั้งนี้ แล้วสุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของพี่น้องทั้ง 3 นั้นเป็นใคร และนั่นทำให้เขาตกใจมากจนเขารู้สึกสับสนถึงขั้นรับประทานอาหารผิดปกติเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 “ท่านต้องกินมากกว่านี้” มู่จวินเซิ่งคิดว่าสหายกังวลเรื่องล้างแค้นให้กับพ่อของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไปนั่งลงข้างอีกฝ่ายแล้วพูดปลอบโยนว่า “มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้ท่านมีกำลังแก้แค้นด้วยตัวเอง” 

 “แล้วอีกอย่าง ท่านอย่าเรียกข้าว่าองค์ชายรองเลย มันน่าอึดอัด” 

 “ตอนที่ข้าอยู่ในกองทัพไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นใคร” 

 “ท่านพูดเหมือนเดิมเถอะ เรายังคงเป็นสหายกันไม่ว่าตัวตนของข้าจะเป็นเช่นไรก็ตาม” 

จินซือหยางรู้สึกซาบซึ้งในใจก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ตกลง พี่ฉิน” 

 3 วันต่อมา พวกมู่ไป๋ไป่ก็เดินทางมาถึงเมืองเย่เฉิงที่เป็นเมืองชายแดน อย่างไรก็ตาม แม่ทัพจ้าวซึ่งเคยบอกในจดหมายว่าจะออกมาต้อนรับพวกมู่จวินเซิ่งด้วยกองทัพกลับไม่ปรากฏตัว

 “แปลกมาก แม่ทัพจ้าวอยู่ที่ไหน?” มู่จวินเซิ่งมองออกไปนอกประตูเมืองที่ว่างเปล่าพร้อมกับขมวดคิ้ว “แม่ทัพจ้าวไม่ใช่คนผิดคำพูด…” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ว้าย มีคนโดนสาวสวยตกหนึ่งอัตรา ว่าแต่ที่เมืองชายแดนแปลกมาก เกิดอะไรขึ้นกันนะ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.