บทที่ 177: ข้ากลับมาแล้ว!
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็หยิบตั๋วแลกเงินอีกใบออกมาจากกระเป๋า แล้วยัดมันเข้าไปในมือของมู่จวินเซิ่ง“ นี่ถือเป็นรางวัลที่ท่านช่วยชีวิตเราเอาไว้เมื่อกี้นี้”
เด็กหนุ่มที่ถูกยัดเยียดเงินให้อีกครั้งถอนหายใจด้วยความเอือมระอา “แม่หนูน้อย เจ้าเข้าใจวิธีการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยหรือไม่?”
“หืม?” เด็กหญิงไม่เข้าใจที่ฝ่ายพูด
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าฉลาดหรือโง่เขลากันแน่” เด็กหนุ่มคืนตั๋วแลกเงินให้กับคนตัวเล็กก่อนจะอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้เจ้ากลัวว่าข้าจะเป็นคนไม่ดีและระวังตัวกับข้ามาก แต่ตอนนี้เจ้ากลับหยิบตั๋วแลกเงินมากมายออกมาต่อหน้าข้าเนี่ยนะ”
“เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไรว่าข้าจะปล้นเจ้า?”
มู่ไป๋ไป่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปชั่วครู่
ดูเหมือนว่าเธอจะลืมเรื่องนี้ไปจริง ๆ
ก่อนหน้านี้เธอคอยติดตามท่านพี่รัชทายาทไปไหนมาไหนอยู่ตลอด จึงทำให้เธอระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองน้อยลง และค่อย ๆ ลืมไปว่าเงิน 100 ตำลึงสำหรับคนธรรมดานั้นมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด
จากนั้นเธอก็ตัวสั่นสะท้านพลางเหลือบมองคนตัวสูงกว่าด้วยความหวาดกลัว แล้วถามเขาออกไปอย่างระมัดระวังว่า “แล้วท่านจะทำเช่นนั้นหรือไม่?”
มู่จวินเซิ่งรู้สึกขบขันกับท่าทางของน้องสาว และอดไม่ได้ที่จะวางมือบนหัวนาง “ไม่! ข้าไม่สนใจเงินเล็กน้อยพวกนี้หรอก”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่เมืองชิงหยาง” เด็กหนุ่มปัดเสื้อคลุมของตัวเองแล้วยืนขึ้น “ไม่เช่นนั้น ดูจากนิสัยของเจ้า เจ้าอาจจะเลินเล่อวิ่งไปตกหลุมกับดักอื่นอีกแน่”
มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่พวกเธอจะตัดสินใจติดตามมู่จวินเซิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านจะไปส่งพวกเราจริง ๆ หรือ?” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ข้าจะไม่ทำให้ธุระของท่านล่าช้าหรอกหรือ?”
เด็กหนุ่มจับม้าไว้ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “คงไม่ล่าช้าแล้วล่ะ… ข้าจะถูกดุแทน”
เขาหวังว่าพี่ใหญ่จะไม่ดุเขารุนแรงเกินไป เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีแล้ว
และเนื่องจากเขาพาเด็ก 2 คนนี้ไปด้วย การเดินทางกลับจึงช้าลงมาก เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองชิงหยาง ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว
ทันทีที่ทั้ง 3 คนเข้าไปในประตูเมืองชิงหยาง มู่ไป๋ไป่ก็เริ่มผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ เธอจึงมีอารมณ์ที่จะพูดคุยกับมู่จวินเซิ่งมากขึ้น “ผู้มีพระคุณ ท่านมีนามว่าอะไร ในเมื่อพวกเรามีวาสนาได้พบกันแล้ว ในอนาคตพวกเราก็นับว่าเป็นสหายกัน”
เด็กหนุ่มมองคนถามแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
คนตัวเล็กรู้สึกสับสนเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปกระซิบกับสหายว่า “ผู้ชายคนนี้แปลกมากจริง ๆ”
หลัวเซียวเซียวพยักหน้าเห็นด้วย
“เจ้ากับพี่ชายของเจ้าพักอยู่โรงเตี๊ยมไหน?” เดิมทีมู่จวินเซิ่งอยากจะส่งน้องสาวกลับไปที่จวนตระกูลจินโดยตรง แต่แล้วเขาก็คิดว่าจะคุยกับมู่จวินฝานว่าอย่างไรดี
เนื่องจากพวกเขา 2 พี่น้องมีสถานะพิเศษ คำพูดบางคำจึงไม่เหมาะสมที่จะพูดในบ้านของคนอื่น
จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนใจและคิดที่จะไปส่งเด็กน้อยกลับโรงเตี๊ยมโดยตรง
“โรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของตลาดเจ้าค่ะ” มู่ไป๋ไป่ไม่ได้ปิดบังที่พักของตัวเอง ตอนนี้เธอไม่กลัวว่าคนผู้นี้จะมีเจตนาไม่ดีอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดพวกเธอก็ได้เข้ามาในเมืองชิงหยางเรียบร้อยแล้ว พวกเธออาจจะพบกับองครักษ์เงาของท่านพี่รัชทายาทได้ทุกเมื่อ
ทางด้านมู่จวินเซิ่งไม่ได้คุ้นเคยกับเมืองชิงหยางมากนัก ดังนั้นเขาจึงบังคับม้าให้เดินไปรอบ ๆ ตลาดอยู่หลายรอบก่อนที่จะพบโรงเตี๊ยมที่เด็กหญิงพูดถึง
จากระยะไกล จะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งย่อตัวอยู่ที่หน้าประตูด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่างจึงหันมามองขณะทำหน้าประหลาดใจ
“คุณหนู!” จื่อเฟิงมองคนบนหลังม้าแล้วกระโดดลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น
ในห้องโถงของโรงเตี๊ยม มู่จวินฝานซึ่งค้นหาน้องสาวมาทั้งคืนได้แต่นั่งเงียบ ๆ พอได้ยินเสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความกระตือรือร้นจนไม่สังเกตเห็นว่ามีน้ำชาหกลงบนแขนเสื้อของเขาด้วยซ้ำ
“ท่านพี่! ข้ากลับมาแล้ว!” มู่ไป๋ไป่รีบลงจากหลังม้าโดยมีจื่อเฟิงเข้ามาพยุง แล้วก็วิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมกับที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ก่อนจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของพี่ชาย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันน่ากลัวมาก และเธอก็ยังอยู่ในภาวะตื่นกลัวมากเช่นกัน
ตลอดทางที่ผ่านมาเธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ตอนนี้พอเธอเห็นมู่จวินฝานและยืนยันว่าตนนั้นรอดพ้นจากอันตรายมาได้แล้วจริง ๆ เธอจึงไม่สามารถกลั้นมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
“ฮือ ๆๆ ท่านพี่ เมื่อคืนข้าถูกคนร้ายลักพาตัวไป!”
“คนเลวพวกนั้นคือฆาตกรที่วางยาพิษคนรับใช้ในจวนตระกูลจิน”
“พวกเขามาจากแคว้นหนานซวน!”
มู่ไป๋ไป่ร้องไห้สะอึกสะอื้นในขณะที่เธอเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้มู่จวินฝานฟังไปพร้อมกัน ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มได้สั่งให้องครักษ์ไปเอายามาให้เพื่อที่เขาจะได้ทายาบริเวณแก้มที่แดงช้ำของเด็กน้อย
แล้วท่าทางคับข้องใจจนต้องระบายออกมาจนหมดของน้องสาวก็ทำให้มู่จวินเซิ่งตกตะลึงกับภาพที่เห็น
ดูเหมือนว่าตระกูลมู่ของพวกเขาจะมีน้องสาวตัวน้อยที่น่าสงสารอยู่คนหนึ่ง
“เอาล่ะ ๆ พี่เข้าใจแล้ว” มู่จวินฝานไม่ได้นอนทั้งคืน ส่งผลให้ใต้ตาของเขาเริ่มมีร่องรอยสีคล้ำปรากฏ ยามนี้เขากำลังนั่งย่อตัวอยู่บนพื้นขณะอุ้มน้องสาวเอาไว้ในอ้อมแขนเบา ๆ พร้อมกับตบหลังปลอบใจนาง “พี่รู้ว่าไป๋ไป่เป็นเด็กที่กล้าหาญมาก”
“ใช่แล้ว เซียวเซียวก็กล้าหาญมากเช่นกัน!” มู่ไป๋ไป่ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากชมคนของตัวเอง “ถ้านางไม่ได้อยู่กับข้าตลอด ข้าคงไม่สามารถกลับมาได้”
หลัวเซียวเซียวในตอนแรกไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่ทันทีที่นางได้ยินสิ่งที่องค์หญิงหกพูด นางก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึม
จื่อเฟิงที่เห็นดังนั้นก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วยื่นให้หลัวเซียวเซียว “นี่...”
เด็กหญิงรับมันมาและกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบา แต่ในไม่ช้านางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติก่อนที่จะใช้มันเช็ดน้ำตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ทำไมผ้าเช็ดหน้าของท่านถึงมีกลิ่นเหมือนซาลาเปาไส้เนื้อ?”
“เพราะว่านี่คือผ้าที่ข้าเอาไว้ห่อซาลาเปาไส้เนื้อ” เด็กหนุ่มตอบพลางเกาหัว “จู่ ๆ เจ้ากับคุณหนูก็หายไปเมื่อคืน ข้ากังวลมากจนไม่รู้สึกหิวเลย วันนี้ข้าเลยกินซาลาเปาไส้เนื้อได้ไม่ถึง 10 ชิ้น…”
คำบอกเล่านั้นทำให้มุมปากของหลัวเซียวเซียวกระตุก อารมณ์ซาบซึ้งก่อนหน้านี้ของนางหายไปทันที จากนั้นก็คืนผ้าเช็ดหน้ากลิ่นซาลาเปาให้กับเจ้าของด้วยสีหน้าเอือมระอา
“อย่างไรก็เถอะ...” มู่ไป๋ไป่ร้องไห้อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้ จากนั้นเธอก็ดึงแขนเสื้อของมู่จวินฝานแล้วแนะนำผู้มีพระคุณให้เขารู้จัก “ผู้มีพระคุณคนนี้ช่วยชีวิตข้ากับเซียวเซียวเอาไว้ แล้วยังใจดีมาส่งพวกเรากลับเมืองด้วย”
“ท่านพี่ ท่านจะต้องตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างงาม”
ในตอนนั้นเอง มู่จวินฝานสังเกตเห็นว่ามีเด็กหนุ่มตัวสูงยืนอยู่ด้านข้าง รูปลักษณ์ของคนผู้นี้ดูแข็งแรงมากและมีใบหน้าเที่ยงตรง เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีภูมิหลังไม่ธรรมดา
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าดูคุ้นตายิ่งนัก
ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนน้องรองของเขามาก!
“อะแฮ่ม…” ทางด้านมู่จวินเซิ่งยืนตัวเกร็งอยู่นานแต่ไม่เห็นพี่ใหญ่ของตนจะจำเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไอแห้ง ๆ ก่อนจะเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงลังเล “พี่ใหญ่”
“หา?” มู่ไป๋ไป่ปาดน้ำตาครู่หนึ่งแล้วมองคนที่ช่วยชีวิตตนอีกครั้ง “ผู้มีพระคุณ ท่านสับสนไปแล้วหรือ นี่คือพี่ใหญ่ของข้า ไม่ใช่ของท่าน”
“ทำไมท่านถึงเรียกเขาเช่นนั้น?”
“ท่านอย่าได้เข้าใจผิดว่านี่เป็นพี่ของท่านสิ”
“...” มู่จวินเซิ่งที่ได้ยินคำพูดของเด็กหญิงถึงกับพูดไม่ออก
“เจ้าคือ…” มู่จวินฝานยังคงไม่มั่นใจขณะเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าตนอีกครั้ง ก่อนที่ความประหลาดใจจะแล่นผ่านดวงตาของเขา “จวินเซิ่ง!”
ฝ่ายที่ถูกเรียกพยักหน้า “ในที่สุดพี่ใหญ่ก็จำข้าได้แล้ว”
“เจ้าคือจวินเซิ่งจริง ๆ!” มู่จวินฝานรีบก้าวเข้าไปกอดน้องชายที่ไม่ได้พบเจอกันมานานหลายปี “เจ้าโตขึ้นมาก แถมยังแข็งแรงขึ้นอีก…”
มู่จวินเซิ่งซึ่งถูกพี่ชายคนโตกอดก็เกาหัวด้วยความเคอะเขิน
แคว้นเป่ยหลงแตกต่างไปจากแคว้นอื่น ๆ รอบ ๆ ความสัมพันธ์ของเหล่าองค์ชายนั้นแน่นแฟ้นมาก
มู่จวินเซิ่งรู้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นองค์ชายที่ดี และสาเหตุส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นเพราะมู่เทียนฉงส่งเขาให้มาอยู่ที่ชายแดน ในตอนนั้นเขาเองก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเลย
แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เขากลับรู้สึกว่าการตัดสินใจของเสด็จพ่อนั้นถูกต้อง
“เจ้าคือคนที่ช่วยชีวิตไป๋ไป่เอาไว้สินะ” มู่จวินฝานกล่าวพลางถอนหายใจ “มันคงเป็นโชคชะตา”
ขณะที่พูดเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามู่ไป๋ไป่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาจึงรีบกวักมือเรียกให้นางมาทำความรู้จักกับน้องชายคนรองของตน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 64
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น