บทที่ 165: จินซือหยางตาบอดหรืออย่างไร?

-A A +A

บทที่ 165: จินซือหยางตาบอดหรืออย่างไร?

“เจ้าจะจ้องนางทำไม?” จินซือหยางเองก็รู้สึกโกรธมากจึงกระซิบดุเสียงต่ำ “จินซือซือ ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะให้ท่านพ่อลงโทษเจ้า!” 

จินซือซือไม่เกรงกลัวสิ่งใดในโลกนี้นอกจากโทสะของบิดา

หลังจากเด็กสาวได้ยินสิ่งที่จินซือหยางพูด นางก็ไม่กล้าทำตัวอวดดีอีกต่อไป นางจึงทำได้เพียงทิ้งสายตามองมู่ไป๋ไป่อย่างดุดันก่อนจะเดินตามสาวใช้ออกไป

 “พี่เซียว ข้าทำให้พวกท่านต้องขบขันแล้ว” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นคำนับให้กับมู่จวินฝานด้วยท่าทีอับอาย “น้องสาวของข้าเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่นางไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร พวกเจ้าอย่าได้เก็บคำพูดของนางมาใส่ใจเลย” 

 “ท่านไม่ต้องคิดมาก” มู่จวินฝานกระตุกมุมปาก แต่รอยยิ้มของเขากลับเยือกเย็นกว่าปกติ

จินซือหยางไม่อาจรั้งอยู่ที่ลานบ้านได้นาน เขาจึงได้สั่งให้สาวใช้มาดูแลพี่น้องตระกูลเซียวให้ดี ก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่อช่วยท่านพ่อท่านแม่ของตนรับแขก

 “ชิ สายตาของจินซือหยางบอดไปแล้วหรืออย่างไร?” มู่ไป๋ไป่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วบ่นกับพี่ชายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “น้องสาวของเขาดื้อด้านมากขนาดนั้น เขายังมีหน้ามาบอกว่านางไม่ได้มีเจตนาร้ายอีก” 

 “เมื่อกี้นี้ถ้าข้าไหวตัวไม่ทัน ข้าคงล้มไปกองกับพื้นแล้ว” 

มู่จวินฝานยกมือวางไว้บนหัวของน้องสาวด้วยความรักแล้วพูดว่า “ทำได้ดีมาก นับจากนี้ไป เจ้าจะต้องมีปฏิกิริยาให้เร็วขึ้น อย่าปล่อยให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ” 

 “อื้ม!” เด็กหญิงพยักหน้ารับ “ข้าจะจดจำสิ่งที่ท่านพี่สั่งสอนให้ดี ถ้าเอาชนะได้ข้าก็จะสู้ ถ้าเอาชนะไม่ได้ข้าก็จะหนี แล้วข้าค่อยให้ท่านมาระบายความโกรธแทนข้าทีหลัง!” 

จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ชูกำปั้นขึ้นไปข้างหน้า

ถ้าเมื่อครู่นี้จินซือหยางไม่ได้อยู่ด้วย เธอคงจะหาโอกาสเอาคืนจินซือซือเล็ก ๆ น้อย ๆ

ในขณะที่คิดคนตัวเล็กก็เอื้อมมือไปสัมผัสแทรกเส้นเล็กที่เหน็บอยู่ที่เอวของตัวเองด้วยความเสียใจ

ช่างน่าเสียดายจริง ๆ มู่จวินฝานอุตส่าห์มอบแส้เส้นนี้ให้เธอ แต่เธอกลับไม่เคยได้ใช้ประโยชน์มันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เมื่อเด็กหนุ่มสังเกตเห็นท่าทีของน้องสาว เขาก็เข้าใจความคิดของนาง แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามอีกฝ่ายและพยักหน้ารับเบา ๆ

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านอวี้เซิ่งลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็หายตัวไปท่ามกลางคนรับใช้ของจวน

 “ท่านพี่ ข้าคิดว่าอวี้เซิ่งทำตัวแปลก ๆ” มู่ไป๋ไป่เหลือบมองไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มหายตัวไปและกระซิบพูดกับพี่ชาย “ท่านรู้หรือไม่ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร?” 

 “ไป๋ไป่เป็นคนฉลาด” มู่จวินฝานยิ้มให้เด็กน้อย “ข้ารู้แค่ว่าเขากำลังตามหาใครบางคน แต่นอกจากนั้นข้าก็ไม่รู้อะไรอีก” 

 “กำลังตามหาใครบางคน?” เด็กหญิงกะพริบตาปริบ ๆ “เขาไม่ได้ซ่อนตัวจากใครบางคนหรอกหรือ?” 

ก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอเห็นอวี้เซิ่งเดินเตร่ไปตามถนนเป็นเวลา 3 วัน เธอนึกว่าเขาซ่อนตัวจากคนอื่นเสียอีก!

มู่จวินฝานหัวเราะพลางส่ายหัวกับท่าทางตกใจของน้องสาว 

 “เขากำลังตามหาใคร…” มู่ไป๋ไป่แตะคางตัวเองเบา ๆ ขณะครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจเงียบ ๆ

ที่ด้านหลังจวน มู่จวินเซิ่งกับอวี้ฉีกำลังนั่งอยู่ริมลานฝึก 

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ชายหนุ่มซึ่งแต่เดิมมีท่าทีเกียจคร้านก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม

วรยุทธของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย เขาได้ยินฝีเท้าปริศนาแล้วมองไปยังทางเข้าสวนหลังจวนด้วยสายตาคมกริบ “ใครน่ะ!” 

ที่ตรงนั้นยังคงเงียบสงบราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้ยินเป็นเพียงการคิดมากไปเอง

และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำเดินออกมา

เมื่อมู่จวินเซิ่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย เขาก็อ้าปากค้างแล้วหันไปมองอวี้ฉีที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เขาดูเหมือนท่านมาก!” 

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่จ้องผู้มาเยือนอย่างเย็นชา

 “อวี้ฉี เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ” อวี้เซิ่งมองน้องชายฝาแฝดที่พลัดพรากจากกันเกือบ 5 ปีด้วยสายตาเจ็บปวด “ทำไมเจ้าถึงไม่อยากเปิดเผยตัวตนของตัวเองล่ะ? ทำไมเจ้าไม่ไปตามหาข้าที่เมืองหลวง?” 

 “ไม่เจอกันนานเลยนะพี่ชาย” อวี้ฉียิ้มเย็น

 “พี่ชาย?” มู่จวินเซิ่งยังคงตกตะลึง แต่ในไม่ช้าเขาก็พยักหน้าเบา ๆ “ถึงอย่างไรพวกท่านก็หน้าตาเหมือนกันทุกประการ ดังนั้นพวกท่านจะต้องเป็นพี่น้องกันถูกต้องแล้ว” 

 “กลับไปกับข้า” อวี้เซิ่งพยายามระงับอารมณ์ในใจ ขณะที่ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่คนตรงหน้า

 “ท่านจะให้ข้ากลับไปทำไม?” อวี้ฉีไม่ขยับตัวไปไหน แต่เงยหน้าดื่มสุราจนหมดจอก “ท่านอยากให้ข้ากลายเป็นเหมือนท่านที่กลับไปเป็นสุนัขรับใช้ของคนผู้นั้นเช่นนั้นหรือ?” 

 “ข้าไม่ต้องการ!!” 

คนเป็นพี่ชายเม้มปากพร้อมกับแสดงสีหน้าเจ็บปวด “คนผู้นั้นสัญญากับข้าแล้วว่าจะปล่อยเราให้เป็นอิสระในอีก 1 ปี อวี้ฉี มีคนค้นพบที่อยู่ของเจ้าแล้ว ถ้าเขารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันจะ… กลายเป็นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง” 

 “ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง ถือเป็นการทำผิดร้ายแรง” 

ในตอนนั้น 2 พี่น้องถูกบังคับให้ตกลงรับปากรับใช้มู่เทียนฉงเป็นเวลา 10 ปีเพราะติดหนี้บุญคุณที่ฝ่าบาทช่วยชีวิตพวกตนเอาไว้ 

แต่จู่ ๆ น้องชายของเขาก็เสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ฮ่องเต้หนุ่มจึงลดเวลาลงเป็น 5 ปีเพราะความสงสาร

และสัญญา 5 ปีนั้นก็ใกล้จะหมดลงแล้ว

ระหว่างนั้นเขาก็พบว่าน้องชายของเขาดูเหมือนจะยังไม่ตาย

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เขาได้ออกจากวังหลวง เขาก็เริ่มตามหาอวี้ฉีทันที

เขาต้องการพาน้องชายฝาแฝดกลับไปสารภาพผิดก่อนที่มู่เทียนฉงจะรู้ข่าว และขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิตพี่น้องของตน 

 “ท่านพี่…” อวี้ฉีเหลือบมองพี่ชายฝาแฝดด้วยสายตาเยาะเย้ย “ท่านถูกเลี้ยงจนเชื่องแล้ว ท่านเปลี่ยนไปมากหลังจากที่เราไม่ได้เจอกัน” 

เขาเป็นคนมีนิสัยรักอิสระและไม่อยากถูกขังอยู่ภายในรั้ววังหลวง

หากฝ่าบาทหาเขาเจอแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?

กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือความตาย

เขาคิดว่ามันคุ้มค่าแล้วที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่กี่ปีเพื่อแลกกับความตาย

 “พี่อวี้” มู่จวินเซิ่งที่ฟังอยู่พักหนึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ตัวเขากับอวี้ฉีมีนิสัยคล้ายกัน พอเห็นว่าทั้งคู่เริ่มจะโต้เถียงกัน เขาจึงอยากยื่นมือเข้าไปช่วย “ถ้าท่านไม่อยากกลับ และไม่ต้องการทำงานให้กับเจ้านายคนปัจจุบันของท่าน บางทีข้าอาจช่วยท่านได้” 

เมื่อครู่อวี้เซิ่งคุยกับอวี้ฉีเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างมากนัก

พอเขาหันไปมองอีกฝ่ายและเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาคล้ายกับมู่เทียนฉงมาก นั่นทำให้เขาตกตะลึงทันที

ชั่วอึดใจนั้นมีข่าวมากมายแล่นเข้ามาในหัวของเขา หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องขององค์ชายรองที่ถูกมู่เทียนฉงส่งไปอยู่ที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อรับการฝึกฝนในช่วงปีแรก ๆ

หากมองภาพรวมแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอายุพอ ๆ กับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา

อวี้เซิ่งรู้สึกตกใจแต่ก็ถามออกไปอย่างใจเย็นว่า “นี่คือใคร?” 

 “ข้าแซ่ฉิน ฉินจวินเซิ่ง” มู่จวินเซิ่งยังคงใช้ชื่อเดิมของตัวเอง แต่เปลี่ยนแซ่เพียงเท่านั้น “ข้าเป็นสหายของอวี้ฉีและตอนนี้รับใช้อยู่ในกองทัพภายใต้สังกัดตระกูลจ้าว” 

จวินเซิ่ง…

องค์ชายรองดูเหมือนจะมีชื่อนี้เช่นกัน

ทำไมมันถึงได้บังเอิญเช่นนี้?

อวี้เซิ่งมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อน

 “พี่อวี้?” มู่จวินเซิ่งคิดว่าผู้ชายคนนี้มีบางอย่างที่อยากจะเก็บเป็นความลับ ดังนั้นเขาจึงปลอบใจอีกฝ่าย “พี่อวี้ไม่ต้องกังวล ข้าสนิทกับแม่ทัพจ้าว หากข้าเอ่ยปากขอร้อง เขาจะไม่มีวันปฏิเสธข้า” 

 “ไม่จำเป็น” นักฆ่าหนุ่มปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด 

 “น้องฉิน ข้าขอคุยกับเขาตามลำพัง” อวี้ฉีพูดขึ้นมา “ข้าเกรงว่าพี่ชายของข้าจะคุ้นกับการทำตัวเป็นสุนัขแสนเชื่องไปเสียแล้ว” 

 “ข้าไม่อยากปล่อยเขาไป” 

 “สุดท้ายแล้ว คงไม่มีใครไม่ชื่นชอบการถูกนับหน้าถือตาและมีอำนาจอยู่ในมือ” 

 “อวี้ฉี!” อวี้เซิ่งขมวดคิ้ว ในขณะที่กดเสียงลงต่ำ ตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็ได้ยินเสียงอุทานมาจากลานด้านหน้า

 “เขาตายแล้ว!” 

 “พ่อครัวตายแล้ว!” 

 “ช่วยด้วย!!” 

ทางด้านมู่ไป๋ไป่ที่กำลังจิบชาสลับกับกินของว่างอยู่ที่ลานบ้าน ทันใดนั้นเธอก็เห็นชายคนหนึ่งมีเลือดไหลออกมาจากด้านหลัง

มู่จวินฝานตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อปิดตาของน้องสาวเอาไว้ “อย่ามอง” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ที่อวี้เซิ่งดูอารมณ์ดีที่ได้ออกจากวังหลวงก็เพราะแบบนี้นี่เอง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.