บทที่ 147: เขาเกิดมาเพื่อเป็นฮ่องเต้
“ไม่มีอะไรเพคะ…” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวเบา ๆ “ข้าแค่รู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่เมืองอันเงียบสงบแห่งนี้จะถูกคนในยุทธภพพวกนั้นทำลายลง”
มู่จวินฝานที่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มและพยักหน้ารับ “ไป๋ไป่ของเราจิตใจดีมากจริง ๆ แต่เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าความสงบสุขของสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
“ดูเหมือนว่าการมาถึงของเหล่าจอมยุทธ์ในเวลานี้คงจะทำให้เมืองชิงหยางไม่สงบสุขอย่างที่เจ้าว่า”
“แต่หลังจากนี้ มันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเมืองชิงหยางก็ได้”
“โลกนี้มีสิ่งที่คนเราคาดเดาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอ”
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังพลางถอนหายใจเบา ๆ ซึ่งภาพตรงหน้าทำให้เธออ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามู่จวินฝานเกิดมาเพื่อเป็นฮ่องเต้จริง ๆ
“เป็นอะไรไปหรือ ทำไมเจ้าถึงมองพี่เช่นนั้น?” เด็กหนุ่มหัวเราะพร้อมกับส่ายหัว “หลังจากเดินทางมานานขนาดนี้เจ้ารู้สึกเหนื่อยหรือไม่? เจ้าไปล้างเนื้อล้างตัวเถอะ แล้วรีบลงไปกินข้าวที่ชั้นล่าง หลังจากนั้นเราค่อยไปเดินเล่นที่ตลาด”
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่รู้ว่าผู้เป็นพี่ชายได้จัดการเรื่องชายแดนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกว่ามีภาระอะไรในใจอีก เด็กน้อยส่งเสียงโห่ร้องดีใจก่อนจะรีบดึงมือหลัวเซียวเซียวเข้าไปในห้อง
“คุณหนู ตอนที่ข้าอยู่ข้างล่างเมื่อครู่นี้ ข้ามองเห็นหลายคนมีหน้าตาน่ากลัวมาก” เด็กหญิงกระซิบเสียงแผ่วเบาขณะช่วยองค์หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้า “พวกเขาทุกคนล้วนมีดาบเล่มใหญ่อยู่ในมือ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนดีเลยสักนิด”
“จอมยุทธ์ที่ท่องอยู่ในยุทธภพก็เป็นเช่นนั้นกันหมด” มู่ไป๋ไป่พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่จู่ ๆ ภาพของเจ้าสัตว์ประหลาดก็ผุดขึ้นมาในใจเธอ
เด็กหนุ่มคนนั้นก็เป็นคนในยุทธภพเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนที่ดูเหมือนโจรด้านล่าง เขาเหมือนผู้ลากมากดีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์บางตระกูลมากกว่า
ในเวลาเดียวกัน เซียวถังอี้ซึ่งติดตามขบวนของพวกมู่ไป๋ไป่ก็เดินทางมาถึงเมืองชิงหยางแล้วเช่นกัน
หลังจากสำรวจรอบเมืองได้สักพัก เขาก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมที่พวกนางพักอยู่
“เถ้าแก่ จัดห้องชั้นบนให้ข้าหน่อย” เขาวางแท่งทองคำลงบนโต๊ะของเถ้าแก่โดยไม่สนใจสายตาของคนในห้องโถงด้านล่างที่กำลังมองมาที่ตน แล้วพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ว่า “เตรียมอาหารและสุราไว้ให้ข้าด้วย”
ดวงตาของเถ้าแก่เป็นประกายยามที่เห็นแท่งทองคำ เขากำลังจะเอื้อมมือไปรับมันก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าห้องชั้นบนของโรงเตี๊ยมเต็มแล้ว เขาจึงทำได้เพียงชักมือกลับอย่างไม่เต็มใจขณะมองลูกค้าตรงหน้าด้วยสายตาของลุแก่โทษ “คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยต้องขออภัยจริง ๆ ห้องชั้นบนของโรงเตี๊ยมเพิ่งจะเต็มไป”
“เอาเป็นห้องอื่นได้หรือไม่? ข้าน้อยจะสั่งให้คนไปเตรียมห้องอื่นให้ท่าน”
“คุณชายไม่ต้องกังวล ทุกห้องพักในร้านของเราสะอาดและจะช่วยอำนวยความสะดวกของท่านได้อย่างแน่นอน”
เซียวถังอี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินว่าห้องพักชั้นบนเต็มแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ชอบยอมแพ้ใครง่าย ๆ เขาเหลือบมองผู้คนที่อยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยม ก่อนจะหยิบเงินของตัวเองกลับมาแล้วหันหลังกลับ
ทางด้านเถ้าแก่ไม่ได้อยากเสียชิ้นเนื้อที่ถูกโยนเข้ามาถึงในปากไปเช่นนี้ เขาจึงรีบเดินไปขวางอีกฝ่าย “คุณชาย คุณชายรอประเดี๋ยว! ช่วงนี้ในเมืองชิงหยางมีผู้มาเยือนมากมาย โรงเตี๊ยมอื่น ๆ ในเมืองคงไม่เหลือห้องพักแล้ว พวกโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ข้าน้อยเกรงว่าจะเต็มแล้วเช่นกัน”
“ไม่อย่างนั้น ให้ข้าน้อยขึ้นไปชั้นบนเพื่อพูดคุยกับแขกทั้ง 2 ท่านดีหรือไม่?”
“พวกเขาเป็นพี่น้องกัน และคุณหนูคนนั้นก็ยังเด็กอยู่ ถ้าพี่ชายของนางยินยอมที่จะแบ่งห้องพักกับนาง เราก็จะมีห้องเหลือให้ท่านอีก 1 ห้อง”
“เช่นนี้ ท่านยินดีหรือไม่?”
เถ้าแก่ลูบมือพลางยิ้มประจบประแจง แน่นอนว่าเขาไม่กล้าล้อเล่นเลย ตัวเขาที่เปิดโรงเตี๊ยมในเมืองชิงหยางมาเกือบทั้งชีวิตไม่เคยพบเจอลูกค้าที่ใจกว้างขนาดนี้มาก่อน
ตามปกติแล้วเขาจะต้องคว้าโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะสร้างรายได้ให้กับตัวเองเช่นนี้เอาไว้ให้แน่นหนา
ทางด้านเซียวถังอี้นึกถึงภาพที่มู่ไป๋ไป่กับมู่จวินฝานอาศัยอยู่ห้องเดียวกันและขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ก่อนจะตอบไปว่า “ช่างเถอะ เจ้าไปจัดห้องอื่นให้ข้าแล้วกัน”
พอเถ้าแก่ที่รอคำตอบได้ยินว่าลูกค้ายอมผ่อนปรน เขาก็พยักหน้าซ้ำ ๆ อย่างยินดี “ตกลง ๆ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยจะจัดห้องที่เงียบสงบและสะอาดสะอ้านให้ท่านแน่นอน เชิญคุณชายตามข้าน้อยมาทางนี้”
ห้องด้านบนสุดอยู่บนชั้น 3 ส่วนห้องที่เถ้าแก่จัดให้เซียวถังอี้อยู่ที่ชั้น 2 ซึ่งไม่ไกลกันมากนัก เมื่อเขาเข้ามาในห้องเขาก็ได้ยินเสียงมู่ไป๋ไป่ดังมาจากข้างบน
ขณะนี้เด็กหญิงไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดติดตามเธอมาด้านหลัง เธอกับหลัวเซียวเซียวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็กำลังเดินลงไปชั้นล่างอย่างมีความสุข
ตอนนี้จื่อเฟิงกำลังรอทั้ง 2 คนอยู่ที่นอกประตู โดยที่ในมือถือซาลาเปา 2 ลูกซึ่งเขาไปได้มาจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้
พอเด็กหนุ่มเห็นคนตัวเล็กเดินออกมา เขาก็ยื่นซาลาเปาลูกหนึ่งให้นาง “คุณหนู อยากกินหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่เป็นคนเดียวที่ได้รับส่วนแบ่งอาหารจากเขา
ถ้าเป็นคนอื่นที่กล้ามาขอแบ่งอาหารกับเขาในขณะที่เขากำลังกินอยู่ คนพวกนั้นจะต้องถูกเขาเล่นงานแน่นอน
“ข้าไม่กิน ท่านกินเถอะ” เด็กหญิงปฏิเสธ “ข้าอยากเก็บท้องไว้กินอาหารอร่อย ๆ อย่างอื่นมากกว่า”
เธอค่อนข้างอิจฉาจื่อเฟิงที่มีท้องเหมือนหลุมดำ เธออยากจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้แม้ว่าจะกินเข้าไปมากแล้วก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีเพียงความสามารถในการกินเท่านั้น เขายังโตเร็วมากด้วย
เมื่อเดือนที่แล้วตอนที่ทั้ง 2 คนพบกันครั้งแรก เขาสูงกว่ามู่ไป๋ไป่ไปเพียง 1 ช่วงตัว แต่ตอนนี้เขาสูงจนเกือบจะเท่ามู่จวินฝานแล้ว
มันเหมือนกับว่าส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นทุกวัน
“อืม” พอจื่อเฟิงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากกิน เขาก็ไม่ได้เซ้าซี้แล้วยัดซาลาเปาเข้าปากตัวเอง ก่อนจะถามออกมาทั้งที่ซาลาเปาเต็มปากว่า “ของอร่อย? มันเป็นเนื้อหรือไม่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” มู่ไป๋ไป่ลูบท้องที่หิวโหยของตนพลางนึกถึงอาหารอันโอชะในเมืองชิงหยางที่มู่จวินฝานเล่าให้เธอฟังระหว่างทาง และอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล “ข้าได้ยินมาว่าเนื้อแกะที่นี่อร่อย ข้าอยากจะไปลิ้มลองมันเร็ว ๆ”
“แล้วยังมีขนมด้วย”
ก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะลงมาด้านล่าง เด็กหญิงและคนอื่น ๆ ก็มานั่งรออย่างเชื่อฟังอยู่ที่ห้องโถง
เถ้าแก่ร้านเป็นคนที่มีไหวพริบดีมาก เขาได้สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปชงชาและนำของว่างมาให้พวกเธออีกด้วย
“แม่หนูน้อย เจ้ากับพี่ชายของเจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?”
มู่ไป๋ไป่ที่นั่งอยู่ที่นั่นสักพักก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งเข้ามาถามด้วยรอยยิ้ม
ชายคนนั้นแต่งตัวเหมือนจอมยุทธ์พเนจรที่มีดาบใหญ่อยู่ในมือ เขามีท่าทางห่าม ๆ และแววตาของเขาก็ดูโหดเหี้ยม
จื่อเฟิงขมวดคิ้วแล้วไปยืนขวางอยู่ตรงหน้ามู่ไป๋ไป่พร้อมกับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา
“นี่ คนรับใช้ของเจ้าดุเสียจริง” ชายคนนั้นมองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาวาวโรจน์ในขณะที่พูดเยาะเย้ย “แม่หนูน้อย ครอบครัวของเจ้าทำการค้าเช่นนั้นหรือ ดูจากท่าทางของเจ้ากับพี่ชายเหมือนกับพวกพ่อค้าไม่มีผิด”
‘จางเหล่าชี’ เคยเป็นโจรภูเขาที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง ต่อมาหลังจากที่เขาสูญเสียบ้านไป เขาก็ออกท่องทัศนาจรไปทั่วหล้าเพียงลำพัง
เพียงแต่วรยุทธของเขานั้นไม่ค่อยดีนัก รวมถึงสมองก็เช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไร มันจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
ในไม่ช้า จางเหล่าชีก็เริ่มทำการค้า
เขาเลือกลักพาตัวลูก ๆ ของพ่อค้าที่ร่ำรวยในเมืองเล็ก ๆ โดยเฉพาะ และใช้เด็กพวกนั้นเรียกค่าไถ่จากพวกเขา
ซึ่งเขารู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ทันทีที่เห็นเด็กน้อยคนนี้ เขาผ่านการฆ่าเด็กมาจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นโจรลักพาตัวที่โหดเหี้ยมที่สุดและหลายสำนักยุทธได้ออกคำสั่งตามล่าเขาเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่เก่งวรยุทธ แต่เขาเก่งในเรื่องการปลอมตัว ตราบใดที่เขาได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาจะสามารถทำตัวกลมกลืนไปกับผู้อื่นได้ภายใน 1 เค่อ ทำให้ไม่มีใครแยกเขาจากฝูงชนได้
หลังจากที่เขาถูกผู้มีตำแหน่งสูงในสำนักยุทธไล่ล่ามานาน เขาก็ซ่อนตัวมาจนถึงเมืองชิงหยาง และแสร้งทำเป็นคนที่จะเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงของจินต้าเสีย
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: โอ้ว มาถึงเมืองชิงหยางไม่ทันไรไป๋ไป่ก็ไปเข้าตาโจรซะแล้วสิ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 41
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น