บทที่ 101: เรื่องที่เกิดขึ้นทุกปี

-A A +A

บทที่ 101: เรื่องที่เกิดขึ้นทุกปี

“ทัศนาจรไปทั่วหล้า?” หลัวเซียวเซียวกะพริบตาปริบ ๆ “เราทำได้ด้วยหรือเพคะ?”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” มู่ไป๋ไป่พูดพลางยกมือขึ้นเท้าศีรษะตัวเอง ท่านพ่อรักข้าที่สุด หลังจากข้าโตขึ้น ข้าจะขอร้องให้ท่านพ่อปล่อยข้าออกจากวัง”

คราวนี้เป็นหลัวเซียวเซียวที่พูดไม่ออก

แม้ว่านางจะยังเป็นเด็ก แต่นางรู้ซึ้งดีถึงคำที่ว่า ‘ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้’

ยิ่งไปกว่านั้น มู่ไป๋ไป่ยังคงเป็นองค์หญิง จะมีใครสามารถคาดเดาอนาคตของตัวเองได้บ้างกัน?

ในขณะนั้นคนตัวเล็กเอาแต่คิดวางแผนหาวิธีที่จะออกจากวังหลวงและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอนาคต เธอจึงไม่สังเกตเห็นท่าทีเป็นกังวลของสหายตัวน้อย

คืนนั้นมู่ไป๋ไป่หลับสนิทผิดไปจากที่เคย ในทางกลับกัน หลัวเซียวเซียวนอนหลับไม่สนิททั้งคืน

วันรุ่งขึ้นยังมีพิธีสวดมนต์ขอพรเช่นเคย หลังจากที่มู่ไป๋ไป่หาเงินมาได้แล้ว ดูเหมือนว่าความกระตือรือร้นในการไปสวดมนต์ขอพรของเธอจะเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ

ส่วนหรงเฟยใช้ข้ออ้างว่าป่วยอยู่ได้ไม่กี่วันหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่นานนางก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง แต่ยังดีที่นางยังรู้ความโดยที่พยายามควบคุมตัวเองเอาไว้และไม่สร้างปัญหาให้กับองค์หญิงหกอีก

จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมจะลงมือ ระหว่างนี้หญิงสาวจะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขไปก่อน  

ในช่วงเวลานี้ นอกจากมู่ไป๋ไป่จะต้องสวดมนต์ขอพรทุกวันแล้ว เธอก็ได้พาหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงขึ้นภูเขาไปเก็บผลเพลิงสีชาด 

และแล้ว 7 วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเด็กหญิงค้นพบโอกาสเหมาะที่จะทูลขอไทเฮาลงจากภูเขา

แต่คราวนี้พระนางกลับไม่เห็นด้วย

“ไป๋ไป่ เหตุใดเจ้าจึงต้องลงภูเขาเข้าเมืองไปอีกครั้ง?” ไทเฮาทรงจิบชาพลางเลิกคิ้วถาม “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าก็เพิ่งลงไปเองไม่ใช่หรือ?”

“ท่านย่าไทเฮา… ไป๋ไป่อยากกินขนม แต่ของว่างในวัดฮู่กั๋วไม่อร่อยเลยเพคะ” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นกะพริบตากลมโตปริบ ๆ “นอกจากนี้ ในตลาดก็มีของที่น่าสนใจเยอะแยะเลยเพคะ”

เมื่อสตรีสูงวัยได้ยินเช่นนี้ พระนางก็ถอนหายใจและลูบหัวเล็ก ๆ ของหลานตัวน้อยด้วยความรัก “ไป๋ไป่ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากให้เจ้าไป แต่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเมืองเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”

“เพื่อความปลอดภัย เจ้าควรเก็บตัวอยู่ที่วัดฮู่กั๋วจะดีกว่า อย่าได้ไปไหนเลย”

“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองหลวงเช่นนั้นหรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่จากที่รู้สึกห่อเหี่ยวจู่ ๆ ก็เกิดความสนใจขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”

เธออยู่ที่วัดฮู่กั๋วตลอดเวลาจึงไม่ได้รับข่าวใด ๆ เลย ตอนนี้เธอถูกปิดหูปิดตาเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในวังหลวงอีก

แต่พอไทเฮาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็ไม่มีเหตุผลที่เด็กหญิงจะไม่ฉวยโอกาสนี้ซักถามข่าวคราว

ผู้เป็นย่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงวางถ้วยชาลงแล้วตรัสว่า “เราเองก็ไม่รู้ชัดเจน แต่เราได้ยินมาว่าช่วงนี้มีเด็กหลายคนหายตัวไปติดต่อกัน ทุกคนนั้นมีอายุไล่เลี่ยกัน ซึ่งอายุพอ ๆ กับเจ้าพอดี”

“ขณะนี้ศาลต้าหลี่กำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่” ไทเฮาถอนหายใจอีกครั้ง “จะสงสารก็เสียแต่พ่อแม่ของเด็กพวกนั้น พวกเขาที่สูญเสียลูกไปจะต้องเป็นกังวลมากแน่”

ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดของไทเฮา เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตนคงไม่มีทางได้ลงจากเขาในวันนี้อย่างแน่นอน

หลังจากคนตัวเล็กนั่งคุยกับท่านย่าอยู่ระยะหนึ่ง เธอก็เดินกลับมาที่เรือนพักในสภาพหดหู่ใจ 

“อือ ๆ อา ๆ” เมื่อเธอเดินเข้าไปในประตูห้อง เธอก็พบกับจื่อเฟิงที่กำลังนั่งกินข้าวโพดซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหน

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นใบหน้าเศร้าหมองของเด็กน้อย เขาก็เข้ามาถามอย่างเป็นกังวลทั้งที่ยังไม่ทันได้กลืนข้าวโพดในปากลงท้องด้วยซ้ำ

“อือ ๆ อา ๆ” จื่อเฟิงส่งเสียงพลางทำหน้าบูดบึ้ง

พอได้อยู่ด้วยกันมาสักพัก มู่ไป๋ไป่ก็เริ่มสื่อสารกับอีกฝ่ายได้เข้าใจไปโดยปริยาย และเธอก็สามารถบอกได้คร่าว ๆ ว่าเขาหมายถึงอะไรโดยที่ไม่ต้องให้หลัวเซียวเซียวมาช่วยแปล

“ข้าไม่เป็นไร” เด็กหญิงถอนหายใจก่อนจะปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ในสวน “วันนี้ข้าไม่สามารถลงจากเขาไปหาเงินได้แล้ว ข้าแค่กำลังรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเท่านั้น”

หลังจากที่เธอสามารถทำเงินได้มากมายในครั้งที่แล้ว ทำให้ตอนนี้เธอไปเก็บผลเพลิงสีชาดมามากกว่าครั้งก่อน

มู่ไป๋ไป่รู้ดีว่าเธอจะสามารถหาเงินได้ด้วยการนำผลเพลิงสีชาดพวกนี้ลงจากภูเขาไปมอบให้กับเสิ่นจวินเฉา แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถลงไปได้ มันจะไม่น่าเศร้าใจอย่างนั้นหรือ?

“อือ?” จื่อเฟิงนั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็กราวกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ พร้อมกับเกาหัวด้วยความสับสน

“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้ว” มู่ไป๋ไป่ลูบหน้ากลม ๆ ของตัวเอง “วันนี้เราลงจากเขาไม่ได้ และเราไม่จำเป็นจะต้องไปสวดมนต์ตอนบ่าย เช่นนั้นเราไปเก็บผลไม้ป่าที่ด้านหลังภูเขากันเถอะ”

“ครั้งที่แล้วท่านแม่ของข้าพูดถึงผลไม้ป่า ข้าอยากจะไปเก็บมันมาให้ท่านแม่สักหน่อย”

“อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรลืมเก็บมาฝากไทเฮาเช่นกัน…”

มู่ไป๋ไป่พูดพลางนับนิ้วไปด้วย โดยที่จื่อเฟิงซึ่งอยู่ถัดจากเธอมีความสุขมากเมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะได้ไปที่ด้านหลังภูเขา

ทันทีที่หลัวเซียวเซียวกลับมาจากด้านนอก นางก็เห็นทั้ง 2 คนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข

“องค์หญิงหก พระองค์กับจื่อเฟิงกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือเพคะ?” เด็กหญิงถามขณะทำสีหน้าสงสัย “แล้ววันนี้เราจะออกเดินทางลงจากเขาเมื่อไหร่กันดี?”

“ข้าลงเขาไปไม่ได้แล้ว” มู่ไป๋ไป่จิบชาให้ชุ่มคอแล้วยักไหล่ “ไทเฮาทรงตรัสว่าเมื่อไม่นานมานี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นพระนางจึงไม่อนุญาตให้ข้าลงจากภูเขา”

ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สามารถแอบลงเขาไปได้ แต่เธอก็ยังไม่กล้าทำอีกครั้งหลังจากที่ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นตีก้นครั้งก่อน

อีกทั้งไทเฮาก็เพิ่งบอกไปเองว่าเด็กที่หายตัวไปนั้นมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอไม่ใช่หรือ?

มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอโชคไม่ดีแล้วถูกจับตัวไป?

“เมืองหลวงไม่สงบหรือเพคะ?” หลัวเซียวเซียวสะดุ้งตกใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าครุ่นคิด “หม่อมฉันเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย ในช่วงเวลานี้ของทุกปี เมืองหลวงมักจะเกิดเหตุไม่สงบสุขขึ้นจริง ๆ ดังนั้นเราอย่ารีบลงภูเขาตอนนี้เลยจะดีกว่า”

“หากองค์หญิงหกกังวลว่าผลเพลิงสีชาดในมือของเราจะเน่าไปเสียก่อน พระองค์ก็ให้จื่อเฟิงนำไปส่งในเมืองแทนก็ได้นะเพคะ”

“ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะกินอิ่มจนเกินไป ถึงเวลาที่เขาจะต้องขยับตัวทำงานบ้างแล้ว”

จื่อเฟิงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหลัวเซียวเซียวถึงไม่พอใจที่เขากินมากจนเกินไป แต่พอได้ยินว่าตนสามารถช่วยเหลือมู่ไป๋ไป่ได้ เขาก็พยักหน้าอย่างมีความสุขเป็นการบอกว่าเขาสามารถทำได้ไม่มีปัญหาอะไร

“เอาไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนี้กันทีหลัง” คนตัวเล็กโบกมือ จากนั้นก็ดึงหลัวเซียวเซียวให้มานั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ข้าได้ยินที่เจ้าบอกว่าในช่วงเวลานี้ของทุกปี เมืองหลวงไม่ค่อยสงบสุข มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

หลัวเซียวเซียวเกาหัวตัวเองเบา ๆ พลางตอบว่า “หม่อมฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากนัก องค์หญิงหกก็รู้ดีว่าก่อนที่หม่อมฉันจะย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวง หม่อมฉันอาศัยอยู่ในเรือนคนใช้ของจวนตระกูลหลัวตลอดเวลา”

“หม่อมฉันไม่ค่อยได้ออกไปไหนและไม่ได้พูดคุยกับใครนอกจากท่านแม่”

“แต่หม่อมฉันแอบได้ยินเรื่องนี้มาจากคนอื่น”

“ดูเหมือนว่าในเวลานี้ของทุกปี จะมีเด็ก 2-3 คนสูญหายไปโดยไม่ทราบเบาะแสที่ชัดเจน”

“มันเกิดขึ้นทุก ๆ ปี แต่หม่อมฉันก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

พอได้ยินดังนี้มู่ไป๋ไป่ก็ตกตะลึง หากมีเด็กหายไปทุกปี มันจะต้องไม่ใช่อุบัติเหตุ

เมืองหลวงซึ่งอยู่ใต้เท้าของฮ่องเต้ ใครจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ทุกปีได้ทั้งที่อยู่ภายใต้สายตาของท่านพ่อของเธอ?

“ไม่มีใครดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้เลยหรือ?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วมุ่น “ในทุกปีต้องมีชาวบ้านสูญเสียลูก ๆ ไป คนของศาลต้าหลี่มัวแต่ทำอะไรกันอยู่”

ในความเห็นของเธอ เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติหากมีเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุกปี

อาจจะมีคนคอยปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ หรือไม่ก็คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ประมาทเลินเล่อ

ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นต่อไปอีก

“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” หลัวเซียวเซียวส่ายหัวตอบ “หม่อมฉันเองก็ไม่เคยได้ยินว่าใครเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ”

มู่ไป๋ไป่เข้าใจว่าหลัวเซียวเซียวยังเป็นเด็กและเติบโตมาในที่แคบ ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่ซักไซ้นางอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่สามารถสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวไปได้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.