บทที่ 60: กินโสม

-A A +A

บทที่ 60: กินโสม

“บังอาจ! เจ้าหุบปากไปซะ” ลี่เฟยดุหลานชายด้วยความโกรธ

“ตอนนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าทำเรื่องสารเลวเช่นนี้ ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ก่อน ข้าคงไม่ยินยอมให้ผู้บัญชาการมาทำการสอบสวนเจ้าถึงในตำหนัก และพาเจ้ามาสารภาพผิดต่อหน้าฝ่าบาทเอง”

มู่ไป๋ไป่ที่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังห้องโถงกำลังกินขนมแล้วคอยฟังทุกอย่างแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

 ทำไมเธอไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าลี่เฟยเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ 

คงมีเพียงแต่คนโง่เท่านั้นที่ยอมเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้

“ท่านอา!” นายน้อยหลัวเบิกตากว้าง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ 

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาพูดไปมากกว่านี้และสารภาพผิดต่อฝ่าบาท อีกทั้งยังขอให้เขาลงโทษหลานชายให้หนัก ๆ ซึ่งท่าทีของนางนั้นตรงข้ามกับเจียงเช่อ

จากนั้นนายน้อยหลัวก็ตระหนักได้ว่าท่านอากำลังพยายามตัดความสัมพันธ์กับเขา

“ฝ่าบาท…” อันกงกงเดินเข้ามากระซิบรายงานเบา ๆ “ตระกูลหลัวมารออยู่ด้านนอกรอให้ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“...” ลี่เฟยถึงกับพูดไม่ออก

หลานชายของนางนั้นเป็นคนโง่เขลา และสมาชิกในครอบครัวของนางก็โง่ไม่ต่างกัน หากพวกเขามาพบมู่เทียนฉงในเวลานี้ มันจะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?

“ท่านพ่ออยู่ที่นี่หรือ?” นายน้อยหลัวรู้สึกดีใจมาก เพราะในที่สุดเขาก็เห็นทางสว่างแล้วจึงตะโกนเสียงดังว่า “ข้าอยากเจอท่านพ่อ!”

ลี่เฟยหน้าถอดสีแต่ก็ไม่กล้าพูดห้าม แล้วนางก็รู้ได้ทันทีว่าตระกูลหลัวหมดหวังแล้ว

มู่เทียนฉงเงยหน้ามองนายน้อยหลัวราวกับว่ากำลังมองคนที่รนหาที่ตาย

“ตอนนี้ทั้งครอบครัวของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว อวี้เซิ่ง จับคนของตระกูลหลัวเข้าคุกให้หมด”

“!!!”

ลี่เฟยหมดแรงล้มลงกับพื้น และนางก็คิดกับตัวเองว่ามันจบแล้ว

อวี้เซิ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดปฏิบัติตามคำสั่งทันที ก่อนจะไปเขาได้เหลือบมองมู่ไป๋ไป่ที่เขาเดินผ่าน

เด็กหญิงชะงักมือที่คว้าถั่วจะส่งเข้าปากพลางขมวดคิ้วด้วยความสับสน 

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าอวี้เซิ่งมองเธอราวกับว่ากำลังตำหนิเธอ 

เหตุใดจึงต้องตำหนิเธอด้วย?

คนในตระกูลหลัวที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูตำหนักคิดว่าพวกเขาจะสั่นคลอนเจตนาของฝ่าบาทได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าพวกตนจะต้องมาติดคุกร่วมกันทั้งตระกูล

แน่นอนว่านายน้อยหลัวก็ไม่เว้น

เรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินไม่ขาน*

*เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า ตกที่นั่งลำบาก ไม่มีคนช่วยเหลือ

เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง ความเงียบสงบก็กลับคืนสู่ตำหนักเย่าเจิ้ง

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป มู่ไป๋ไป่ก็เดินออกมาพร้อมกับจานถั่วที่ถูกปอกเปลือกแล้วด้วยสีหน้าเบิกบาน 

“ท่านพ่อ ลำบากท่านแล้ว” เด็กหญิงวางจานถั่วเล็ก ๆ ลงบนโต๊ะและนั่งลงข้างกายคนเป็นพ่ออย่างเชื่อฟัง

“ทั้งหมดนี้ไป๋ไป่เป็นคนปอกเอง ให้ท่านพ่อเพคะ”

“เมื่อกี้เจ้ามาทำอะไรอยู่ด้านหลัง” มู่เทียนฉงมองดูถั่วที่ถูกปอกเปลือกบนจาน และอารมณ์ที่หนักหน่วงในใจของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“เรื่องเช่นนี้ปล่อยให้พวกนางกำนัลทำเถอะ ทำไมต้องทำเองด้วย”

“ถ้าเจ้าบาดเจ็บขึ้นมา เราคงจะรู้สึกไม่ดี”

จากนั้นฮ่องเต้หนุ่มก็ได้สั่งให้อันกงกงหยิบขี้ผึ้งชั้นดีมาทามือของเจ้าตัวเล็กเพื่อไม่ให้เหลือรอยแผลเป็นบนมือของนาง

“นี่สำหรับท่านพ่อ แน่นอนว่าไป๋ไป่จะต้องปอกเปลือกมันด้วยตัวเอง” มู่ไป๋ไป่หัวเราะและปล่อยให้อีกฝ่ายทายาที่มือ

“ท่านพ่อ รีบชิมเร็วเข้า อร่อยหรือไม่?”

“ถั่วที่ไป๋ไป่แกะให้มีรสชาติอร่อยอย่างแน่นอน” มู่เทียนฉงพยักหน้ารับ ยามนี้ใบหน้าที่เคยเย็นชาของเขาดูสว่างไสวขึ้นภายใต้แสงเทียน

“หากเราตัดสินใจเช่นนี้ มู่เชียนจะสามารถกลับมาฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ เจ้าจะโทษเราที่ไว้ชีวิตมู่เชียนหรือไม่?”

หลังจากที่ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่กลับจากตำหนักชิงเหอพร้อมกับนายน้อยหลัว มู่เทียนฉงก็พามู่ไป๋ไป่มาที่ตำหนักและบอกให้นางซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลัง

“ไม่เพคะ” เด็กหญิงส่ายหัวตอบ

เดิมทีเธอคิดว่าท่านพ่อจะช่วยมู่เชียนเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ แต่เธอไม่คาดคิดว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอัครมหาเสนาบดีที่ยอมถอดหมวกขุนนางเพื่อแลกกับชีวิตของหลานสาว

ต้องบอกว่ามู่เทียนฉงนั้นเป็นฮ่องเต้อย่างแท้จริง

แม้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเขาจะเป็นลูกสาวแท้ ๆ แต่เขาก็ยังสามารถจัดการกับนางได้อย่างเด็ดขาดและไร้ความปรานี

ซึ่งมันเหมือนกับตอนที่เธอเพิ่งทะลุมิติมาที่นี่ มู่เทียนฉงยังโยนเธอเข้าไปในกรงเสือก็ให้เสือกินได้อย่างเลือดเย็น

พอมู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

“แล้วทำไมเจ้าถึงทำหน้าไม่มีความสุขเช่นนั้นล่ะ?” ฮ่องเต้หนุ่มเลิกคิ้วพร้อมกับลูบหัวเล็ก ๆ ของลูกสาวเป็นการปลอบโยน

คนตัวเล็กไม่กล้าบอกความจริงให้อีกฝ่ายทราบ เธอทำเพียงแค่ส่ายหัวเบา ๆ แล้วบอกว่าตนกำลังกังวลเกี่ยวกับอาการของหลัวเซียวเซียว

พอได้ยินดังนี้มู่เทียนฉงก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีกต่อไป ก่อนจะบอกว่าเขาได้สั่งให้คนไปติดประกาศเพื่อตามหาหมอที่มีฝีมือทั่วแคว้น และเขาจะต้องหาวิธีช่วยชีวิตหลัวเซียวเซียวได้อย่างแน่นอน

การลาออกของอัครมหาเสนาบดีเพื่อแลกกับชีวิตองค์หญิงใหญ่นั้นทำให้เกิดความปั่นป่วนภายในราชสำนักค่อนข้างมาก

ขุนนางหลายคนเข้ามาสอบถามและต้องการจะโน้มน้าวฮ่องเต้ ดังนั้นมู่ไป๋ไป่จึงถือโอกาสนี้กลับไปยังตำหนักอิ๋งชุน

ในเวลาเดียวกัน ซูหว่านมารอลูกสาวอยู่ที่ประตูอยู่นานแล้ว พอเห็นเด็กน้อย นางก็รีบเดินออกไปต้อนรับ “ไป๋ไป่ แม่ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ร่วมมือกับหลานชายของลี่เฟยเพื่อวางแผนฆ่าเจ้า เป็นเรื่องจริงหรือ?”

“จริงเพคะ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าเบา ๆ “มันเป็นเรื่องจริงเพคะ”

“ช่างเลวร้ายยิ่งนัก” หว่านผินเป็นคนที่อ่อนโยนมาก แม้ว่านางจะกำลังโกรธ แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากก็ยังคงนุ่มนวลดังเดิม และนางก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วพร้อมกับย้ำเตือนกับบุตรสาวซ้ำ ๆ ว่าให้ระวังตัว

เนื่องจากมู่ไป๋ไป่กำลังหมกมุ่นอยู่กับอาการป่วยของหลัวเซียวเซียวจึงไม่ได้ฟังสิ่งที่แม่ตนพูด เธอทำเพียงแค่พยักหน้าส่ง ๆ

หลังจากที่เธอเดินผ่านไปที่สวนด้านหลัง ก็มีกลิ่นบางอย่างลอยเข้ามาในจมูกของเธอ

โสมต้นนั้น!

ต้มโสมหากบ่มเพาะจนมีแก่นวิญญาณ หากคนตายกินมันเข้าไป มันจะช่วยพาคนผู้นั้นกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

เธอลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน?!

ถ้าคนตายสามารถฟื้นคืนชีพได้ ดังนั้นการช่วยเหลือหลัวเซียวเซียวจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!

“ท่านแม่!” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นเรียกผู้เป็นแม่ “ไป๋ไป่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”

ซูหว่านไม่เคยเห็นลูกสาวทำหน้าจริงจังเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว “ไป๋ไป่บอกมาเถอะ ถ้าแม่ช่วยได้แม่จะช่วยสุดความสามารถ”

เด็กหญิงรู้สึกดีใจมากและรีบพาอีกคนไปยังที่ตั้งของต้นโสม จากนั้นเธอก็ใช้มือเล็ก ๆ ชี้ไปที่กระถาง “ท่านแม่ ไป๋ไป่อยากจะสอบถามเกี่ยวกับโสมต้นนี้”

“ท่านแม่ไม่ได้บอกหรือว่าโสมต้นนี้ถูกเพาะเลี้ยงมาเป็นอย่างดี ถ้ากินเข้าไปแล้วจะทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้?”

“กินข้าหรือ?” จู่ ๆ ใบโสมก็สั่นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของมู่ไป๋ไป่ “เจ้าจะกินข้างั้นรึ?” 

คนตัวเล็กแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ต้นโสมถามและพูดกับซูหว่านต่อไปว่า “ตอนนี้หลัวเซียวเซียวยังไม่ตาย นางแค่หมดสติไป ตราบใดที่นางได้กินโสมต้นนี้ นางจะต้องฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน”

“ท่านแม่ ข้าขอใช้โสมต้นนี้เพื่อช่วยชีวิตหลัวเซียวเซียวได้หรือไม่?”

“ไป๋ไป่…” หว่านผินมองดูดวงตาที่เป็นประกายของลูกสาว และไม่อาจปฏิเสธอีกฝ่ายได้ แต่ที่นางคอยดูแลโสมต้นนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพราะนางมีจุดประสงค์อื่น “โสมต้นนี้ล้ำค่ามาก...”

มู่ไป๋ไป่กะพริบตากลมโตเพื่อรอคอยคำพูดต่อไปของท่านแม่

“ควรเก็บมันไว้เพื่อรักษาคนที่สำคัญที่สุด” ซูหว่านอธิบายกับเด็กหญิงด้วยความยากลำบาก “แม้ว่าเซียวเซียวจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ แต่นางก็ยังเป็นเพียงสามัญชนทั่วไป”

“นอกจากนี้ ไทเฮาก็ได้พระราชทานโสมอายุพันปีมากมายมาให้แล้ว บางทีนางอาจจะฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ได้กินโสมพวกนั้น เราคงไม่จำเป็นต้องใช้โสมต้นนี้ด้วยซ้ำ”

ดวงตาของมู่ไป๋ไป่ค่อย ๆ หรี่ลง เธอเข้าใจว่าผู้เป็นแม่ต้องการจะสื่อว่าอะไร

แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของซูหว่าน แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่ปลูกโสมต้นนี้ขึ้นมาและดูแลด้วยตัวเอง

ดังนั้นจึงไม่มีใครมีอำนาจตัดสินใจได้มากกว่าหว่านผินว่าควรใช้โสมต้นนี้กับใคร

นั่นทำให้คนตัวเล็กสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง และเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปอีกครั้ง

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: โดนพ่อเก็บเรียบหมดเลยจ้า

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.