บทที่ 11: พ่อจะไม่ไปไหน
มู่เชียนที่ได้ยินเสียงตะโกนของขันทีก็ตกใจรีบปล่อยทิ้งแส้ในมือลงพื้นทันที
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของนางเบิกกว้าง หัวใจเต้นเร็วขึ้นราวกับรัวกลอง และร่างกายก็แข็งทื่อ
เสด็จพ่อไม่ชอบใจที่นางแสดงพฤติกรรมไม่ดีเช่นนี้มาตลอด…
ก่อนที่นางกำนัลจะทันได้เข้ามาช่วยพยุง เด็กหญิงก็เหลือบมองไปที่ประตูและเห็นว่าชายในเสื้อคลุมมังกรที่ทำมาจากผ้าแพรได้ก้าวเข้ามาแล้ว
มู่เชียนรีบวิ่งเข้าไปขวางเขาทันที “ถวายบังคมเสด็จพ่อ…”
ขณะเดียวกันนั้น คนที่เหลือที่อยู่ในลานกว้างต่างพากันหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น “ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ยามนี้มู่เทียนฉงได้ก้าวเข้ามาในลานกว้างของตำหนักแล้ว พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเล็ก ๆ กำลังหดตัวอยู่บนพื้นราวกับคนที่ใกล้ตาย
อีกทั้งด้านข้างก็มีกองเลือดที่น่าตกใจปรากฏให้เห็น
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?”
ดวงตาที่เคยเรียบเฉยเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีพร้อมกับปล่อยไอสังหารที่รุนแรงออกมา
เมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมาเขายังเห็นมู่ไป๋ไป่อยู่ในสภาพดี ๆ อยู่เลย นางมาถึงที่นี่นานแค่ไหนกันก่อนที่นางจะถูกทรมานเช่นนี้?
มู่เชียนเห็นท่าทางนั้นก็ตัวสั่นไปทั้งตัว และนางก็คุกเข่าหมอบลงกับพื้นนิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
จากนั้นชายผู้อยู่เหนือทุกคนในแว่นแคว้นก็ก้าวไปข้างหน้า เดินผ่านทุกคนตรงเข้าไปหามู่ไป๋ไป่ แล้วเขาก็อุ้มเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่หายใจรวยรินอยู่บนพื้นขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปื้อนเลือดหรือสิ่งสกปรกเลยสักนิด
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ก็พยายามกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดที่ลึกถึงกระดูกและเนื้อฉีกขาดบังคับให้ตัวเองลืมตาที่เหนื่อยล้าขึ้น ก่อนจะซุกหน้าเข้าไปในอกที่อบอุ่นพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างเบา ๆ
มู่เทียนฉงที่ได้ยินเสียงพูดแผ่วเบาจึงขยับก้มหน้าลงเพื่อให้ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น “ท่านพ่อ… หม่อมฉันใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่…”
เมื่อผู้เป็นพ่อได้ยินดังนี้ เขาก็กระชับแขนที่โอบรอบคนตัวเล็กแน่นขึ้น จนทำให้ลมหายใจที่อ่อนแรงกระทบเข้าที่หน้าอกของเขา นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขากระตุกมากขึ้น
“ฆ่านางกำนัลพวกนี้ให้หมด! อย่าปล่อยให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
ในขณะที่ออกคำสั่ง สายตาของมู่เทียนฉงดุดันจนน่าหวาดหวั่น
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี้เซิ่งรับคำสั่งทันที
แล้วในชั่วขณะหนึ่ง ทั่วทั้งตำหนักก็เต็มไปด้วยเสียงการฆ่าฟัน
มู่เชียนตกตะลึง นางรีบวิ่งไปหาคนเป็นพ่อก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นด้านข้างแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ… เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉัน ทั้งหมดเป็นความผิดของซางเย่!”
บัดนี้มู่เทียนฉงจ้องมองบุตรสาวด้วยสายตารังเกียจ “หุบปาก!”
เขาเห็นกับตาว่านางเป็นตัวต้นเหตุ แล้วยังกล้ามาโยนความผิดให้คนอื่นอีก นางคิดว่าเขาที่เป็นถึงฮ่องเต้โง่มากขนาดนั้นเลยหรือ?
ขณะเดียวกัน ซางเย่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็คลานเข้าไปกอดขาของมู่เชียนและก้มหัวขอร้องนางหลายครั้ง “องค์หญิงใหญ่ เป็นพระองค์ที่ทำร้ายองค์หญิงหก หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด!”
“องค์หญิงใหญ่ ซางเย่รับใช้พระองค์แบบถวายหัว พระองค์อย่าใส่ร้ายหม่อมฉันเลยเพคะ องค์หญิงใหญ่!”
“นี่เจ้าพูดไร้สาระอะไร! ข้าเป็นเพียงเด็ก 10 ขวบเองนะ ข้าจะมีแรงเยอะขนาดนั้นได้อย่างไรกัน! เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนอื่นเพื่อใส่ร้ายข้า…”
มู่เชียนใช้กำลังทั้งหมดของตัวเองเพื่อดึงขาออกจากมือของอีกฝ่าย แต่ซางเย่กลับออกแรงกดขาของนางมากเกินไป ไม่ว่านางจะพยายามดึงออกมากเพียงใดก็ไม่สามารถแกะมือเหนียว ๆ นั้นออกไปได้
เมื่อเด็กหญิงหันกลับมา นางก็วางมือลงบนรองเท้าของมู่เทียนฉง แต่นางไม่คาดคิดว่าเขาจะเตะมือนางอย่างไม่แยแส ทว่าเด็กหญิงก็ยังไม่ยอมแพ้ นางร้องขอความเมตตาทั้งน้ำตา “เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว เสด็จพ่อ…”
แต่ยามนี้ดวงตาของฮ่องเต้หนุ่มกลับดูน่ากลัวมากกว่าปกติ
ใครจะไปคาดคิดว่าองค์หญิงใหญ่ที่เขาเฝ้ารักและทะนุถนอมมาหลายปีจะเป็นคนใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้ นางกล้าทำร้ายพี่น้องของตัวเองจนเกือบตายโดยไม่มีเหตุผล พอเขารู้เข้านางก็พูดโกหกพยายามโยนความผิดให้กับคนอื่น ถึงขั้นใส่ร้ายเหยื่ออีกด้วย
ยิ่งคิดไอสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวของมู่เทียนฉงก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาก้มลงมองดูมู่ไป๋ไป่ที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง แล้วรู้สึกว่าเด็กคนนี้ตัวเบาราวกับขนนก ใบหน้าที่เหมือนทารกน้อยของนางไร้สีเลือด ในเวลานี้นางแทบจะเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น
เด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนี้เหตุใดจึงถูกพี่สาวของตนทำร้ายจนกลายมามีสภาพเป็นแบบนี้ไปได้?
เมื่อก่อนถึงแม้ว่าเขาจะโปรดปรานมู่เชียนมากเพียงใด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของนางมาก
ทันทีที่เขาได้ฟังคำโกหกของเด็กหญิง อารมณ์ที่รุนแรงของเขาก็แทบจะระเบิดออกมา
“เจ้าชอบบีบน้ำตามากไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเราจะปล่อยให้เจ้าได้ร้องไห้มากเท่าที่เจ้าต้องการ”
ชั่วอึดใจนั้นมู่เชียนเงยหน้าขึ้นมองดูบิดาผู้ให้ความรักความใส่ใจนางมานับ 10 ปีด้วยสายตาเหลือเชื่อ และนางก็รับรู้ได้ถึงไอสังหารที่ชัดเจนจากตัวเขา
“ใครก็ได้ เอาตัวองค์หญิงใหญ่ไปขังที่คุกใต้ดินแล้วเฝ้าให้นางร้องไห้อยู่ตรงนั้น!”
ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ก็ฝังศีรษะเล็ก ๆ ของตัวเองเข้าไปในอกของมู่เทียนฉง หลังจากได้ยินบทลงโทษดังกล่าว มันก็ช่วยบรรเทาความโกรธของเธอลงได้ อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่าเพื่อแลกกับการถูกแส้ฟาดเข้าใส่ 2 ครั้ง เธอก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก
“ไม่นะ เสด็จพ่อ… เชียนเอ๋อร์รู้ความผิดแล้ว คุกใต้ดินมันน่ากลัวเกินไป เชียนเอ๋อร์ไม่กล้าทำอีกแล้ว เสด็จพ่อ… ได้โปรดละเว้นลูกเถิด เสด็จพ่อ…”
นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเสด็จพ่อของนางจะใจร้ายกับนางได้ขนาดนี้ เขาถึงขั้นกล้าโยนนางเข้าไปในคุกใต้ดินเป็นการลงโทษที่นางทำร้ายมู่ไป๋ไป่
ยามนี้มู่เชียนหมอบตัวร้องไห้อยู่กับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น พร้อมกับที่มือน้อย ๆ พยายามดึงชายเสื้อคลุมมังกรของคนเป็นพ่อเพื่อขอความเมตตา
ในเวลาเดียวกัน เหล่าองครักษ์และขันทีได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไรบุ่มบ่าม
เหตุผลเป็นเพราะคุกใต้ดินเป็นสถานที่ไว้ใช้กักขังนักโทษ การจะใช้มันกักขังเชื้อพระวงศ์คงจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
ตอนนี้ไม่มีใครอยากเชื่อเลยว่าฮ่องเต้จะโกรธมากถึงขั้นเอ่ยปากสั่งกักขังองค์หญิงใหญ่ที่เขาโปรดปรานที่สุดในสถานที่เช่นนั้นเพื่อเป็นการไว้หน้าองค์หญิงหก นอกจากนี้องค์หญิงใหญ่ยังครองอำนาจอยู่ในวังหลวงมาหลายปีแล้ว ทุกคนต่างพากันหวาดกลัวอิทธิพลของนาง จึงไม่มีใครกล้าก้าวออกมาเอาตัวนางไปแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งมีเสียงตะคอกรุนแรงดังขึ้นอีกครั้ง “อย่าให้เราได้พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง!”
ในไม่ช้าองครักษ์และขันทีคนอื่น ๆ ที่ตัวสั่นสะท้านและมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากก็เริ่มขยับตัว
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าองค์หญิงใหญ่จะดิ้นรนอย่างไร หนึ่งในนั้นก็ยึดแขนข้างหนึ่งของนางแล้วลากตัวนางออกไป
จากนั้นทุกคนก็ปล่อยให้อวี้เซิ่งจัดการกับนางกำนัลเหล่านั้น ส่วนขันทีและคนที่เหลือก็พากันเดินตามมู่เทียนฉงไปในขณะที่ตัวสั่นสะท้านไม่หยุด
จนกระทั่งมาถึงตำหนักของฮ่องเต้
หมอหลวงส่วนพระองค์ได้มายืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าตำหนักแล้ว และด้านหลังก็มีขบวนของเหล่านางกำนัลยืนถือของอยู่ในมือ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นี้ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าหมอหลวงคงรีบเร่งจากสำนักหมอหลวงมาถึงที่นี่ทันทีที่ได้ยินข่าว
มู่เทียนฉงใช้เท้าเตะเปิดประตูห้องบรรทมของตัวเอง จากนั้นจึงวางมู่ไป๋ไป่ไว้บนเตียงลายมังกรของเขาอย่างระมัดระวังท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน
อันกงกงซึ่งคอยรับใช้ข้างกายฮ่องเต้มาเป็นเวลานานก็มองดูอีกฝ่ายประหนึ่งว่าเห็นผี ในขณะที่ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้า
เขาเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าฮ่องเต้หวงเนื้อหวงตัวมากเพียงใด นอกจากตัวพระองค์เองแล้วก็ไม่เคยมีใครได้นอนบนพระแท่นบรรทมนี้เลยแม้แต่คนเดียว
รวมถึงตอนนี้องค์หญิงหกอยู่ในสภาพที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดและสิ่งสกปรกมากมาย มิหนำซ้ำผมเผ้าของนางยังดูยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าก็ฉีกขาดยับย่นอยู่หลายจุด
ฝ่าบาทจะทนรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ฝ่าบาทถูกผีเข้าสิงหรือ?
อันกงกงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ในเวลาเดียวกันนี้ จมูกของมู่ไป๋ไป่ได้กลิ่นหอมเย็น ๆ ซึ่งกลิ่นนั้นก็ช่วยให้คิ้วที่ขมวดแน่นคลายตัวลงมาก
อีกทั้งใต้ตัวของเธอเป็นพระแท่นบรรทมของฮ่องเต้ที่หนานุ่มมากเป็นพิเศษที่บุด้วยผ้าทอเนื้อดี
หลังจากที่มู่เทียนฉงวางเด็กตัวเล็กในอ้อมแขนลง เขาก็ดึงมือออกจากคอของนาง
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นดังนั้นก็คว้ามือเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วและหลับตาพึมพำเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ… ไป๋ไป่จะตายหรือไม่? ท่านห้ามไปไหนนะ ไป๋ไป่กลัว…”
คำพูดเหล่านั้นทำให้หัวใจที่แข็งกระด้างของผู้เป็นฮ่องเต้สั่นไหวอีกครั้ง
ริมฝีปากของเขาแย้มเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะกระซิบปลอบโยนว่า “พ่อจะไม่ไปไหน”
หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาว่า “เราอนุญาตให้ท่านใช้โอสถที่ดีที่สุดเพื่อรักษาองค์หญิงหก และอย่าให้มีรอยแผลเป็นถูกทิ้งไว้แม้แต่น้อย”
หมอหลวงทำหน้าเหมือนเห็นผีทันทีในยามที่เขาเห็นมู่เทียนฉงทำตัวอ่อนโยนเช่นนี้ แต่แล้วเสียงกระซิบลอดไรฟันนั้นก็ทำให้พวกเขากลับคืนสู่ความเป็นจริง
ผู้เป็นหมอรีบก้าวออกมาอย่างรวดเร็วและตรวจสอบชีพจรของมู่ไป๋ไป่ ในขณะที่เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจว่าตัวเองจะอายุสั้น
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อมู่เทียนฉงเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ เขาก็เป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้นมาก่อน
หมอหลวงเป็นหมอที่มีฝีมือมากที่สุดในวังหลวง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วตอบว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าจะต้องขอให้องค์หญิงหกถอดเสื้อผ้าออกก่อนจึงจะมองเห็นบาดแผลได้ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 59
แสดงความคิดเห็น