STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 24 ท่ามกลาง
กองทัพเคลื่อนขบวนกลับไปยังเมืองเอลโฟเรียที่รัก เสียงร้องเฮยินดีจากเพื่อนพ่อแม่พี่น้องดังกระหึ่มแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ได้กลับมา ความยินดีถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าแม้พวกเขาจะทำใจไว้บ้างอยู่แล้วเพราะการทำสงครามยังไงก็ต้องมีคนตาย
22 มิถุนายน พ.ศ.2576
ฟรานยืนอยู่ต่อหน้าเหล่าทหารผ่านศึกที่ได้มาร่วมฉลองชัยชนะ เธอหยิบไมโครโฟนขึ้นมาอ่านรายงานของซึฮากิให้ฟังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ฝั่งเรามีผู้เสียชีวิตอยู่ที่สี่ร้อยห้าสิบหกคนนับเป็นสิบห้าจุดห้าเปอร์เซ็นต์ของกองทัพทั้งหมดซึ่งถือว่าน้อยกว่าทุก ๆ สงครามที่ผ่าน ถ้าพูดถึงภาพรวมก็ถือว่าสูญเสียน้อยแต่สำหรับครอบครัวของพวกเขาคงไม่คิดเช่นนั้น พวกเราจึงจะชดใช้ให้ไม่มีขาดตกบกพร่องและหากเราไม่มีเธอคนนั้นก็อาจจะสูญเสียเยอะกว่านี้ก็ได้ เธอคือคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดด้วยการสังหารกองทัพศัตรูกว่าแสนคน...แคทเทอรีน”
เสียงอันสุขุมของฟรานทำให้เหล่าทหารยืนตัวตรงเพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เพื่อนพ้องที่จากไป พวกเขาชูแก้วขึ้นเพื่อดื่มฉลองแก่ชัยชนะหนึ่งอึก
“ขอให้พวกเขาได้อยู่ในภพภูมิที่ดี”
ทั้งหมดชูแก้วดื่มเพื่อไว้อาลัยและอธิษฐานอีกหนึ่งอึกเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีไว้ทุกข์ หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องสลัดคราบความเศร้าเพื่อเดินหน้าต่อ อย่างน้อยผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นชัยชนะของพวกเขา
“คุณหญิงแคทเทอรีนสินะครับ ผมขอดื่มกับคุณสักแก้วจะเป็นอะไรไหม...” แคทเทอรีนเบือนหน้าหนีทันทีจนเพื่อน ๆ ของชายหนุ่มคนนั้นพากันหัวเราะเยาะ
เธอเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าหนุ่มโสดทั้งหลายถึงขั้นพากันมาขอดื่มด้วยเป็นหมู่คณะแม้จะโดนปฏิเสธไปเท่าไรก็ยังมากันไม่หยุด
“น่ารำคาญจริง ๆ” แคทเทอรีนกระดกแอลกอฮอล์เข้าไปรวดเดียวก่อนจะถอนหายใจ
“แหม ๆ มีแต่คนตามติดคงจะสละโสดเร็ว ๆ นี่แน่เลยสินะคะ” ทีโอน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางจิบไวน์ไปด้วย
“โธ่...เธอจะกระแนะกระแหนทำไมล่ะเนี่ย เหมือนฉันอยากยุ่งกับพวกมันมากมั้งแถมคุยเฉย ๆ ก็ลำบากพออยู่แล้ว”
“อ้าว...นึกว่าเธอจะชอบซะอีก อายุก็ปาเข้าไปเท่าไรแล้วแต่ก็ยังไร้วี่แววคู่ครองซะได้”
“ทีโอน่า...” แคทเทอรีนเดินเข้าประชิดขณะที่ทีโอน่าพยายามเดินหนี
“อะไรอีกล่ะ...” พูดไม่ทันขาดคำแคทเทอรีนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเธอตั้งตัวไม่ทัน
“เธอเมามากแล้วนะแคทเทอรีน ขืนปล่อยตัวขนาดนี้เดี๋ยวคนอื่นจะดูไม่ดีเอานะคะ”
“อ้อเหรอ ถ้างั้นเรากลับห้องกันเถอะ” ทีโอน่าถอนหายใจส่ายหัวที่ต้องประคองแคทเทอรีนกลับห้องแต่ก็ยังเผยยิ้มบางให้เห็น
หลังจากพูดสิ่งที่ต้องการหมดแล้วฟรานก็กลับไปที่โรงพยาบาลซึ่งมีคานะนอนเฝ้าเซนอยู่ข้าง ๆ
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“หมอบอกว่าเป็นอาการมานาช็อกทำให้กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ถึงจะถามซึฮากิแล้วแต่เขาก็บอกให้รอหมอจัดการ”
“ถ้าซึฮากิบอกอย่างนั้นก็คงต้องเชื่อใจ...” พูดไม่ทันขาดคำคานะก็ขึ้นคร่อมตัวเซน
“เดี๋ยว ๆ เธอจะทำอะไร?” ฟรานตกใจตาโตพยายามดึงคานะออกมา
“ฉันเคยเป็นแบบนี้มาก่อนแล้วเซนก็เป็นคนช่วยฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็จะช่วยเขาบ้าง”
“ไม่ต้อง” ขณะที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานซึฮากิก็เดินเข้ามาพอดี
“แต่นี่ฉันรอมาหลายวันแล้วนะแต่เขาก็ยังไม่ฟื้นเลย ถ้าฉันใช้วิธีเดียวกับตอนนั้นก็น่าจะได้ผลนี่”
ซึฮากิพยักหน้าส่งสัญญาณให้ฟรานจับตัวคานะไว้ “ใจเย็นก่อน ตอนนั้นอุปกรณ์ของเราไม่มีก็เลยต้องใช้วิธีนั้นแต่ไม่ใช่กับตอนนี้ ฉันให้หมอเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วหลังจากนี้จะเริ่มดำเนินการทันที”
ฟรานลากตัวคานะออกไปนอกห้องปล่อยซึฮากิและหมออยู่กันตามลำพัง
“จะเริ่มเลยนะครับ” พวกเขาเปลี่ยนชุดและฆ่าเชื้อทุกอย่างเหมือนกำลังจะผ่าตัด
“ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอครับคุณซึฮากิ?” หมอถาม
“เอาเถอะน่า กันไว้ดีกว่าแก้อยู่แล้ว”
พวกเขาเริ่มสอดท่อเข้าปากลงไปถึงกระเพาะ จากนั้นก็หยอดเลือดเข้ากระเพาะโดยตรงเพื่อไม่ให้เกิดการสำลัก
“มานาเพิ่มขึ้นแล้วครับ พอผมให้สัญญาณก็หยุดหยอดเลือดได้เลย”
ไม่นานนักซึฮากิก็ออกมาจากห้องผู้ป่วยและปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดูแลต่อไป
“อีกไม่นานเขาก็จะฟื้นแล้ว ระหว่างนี้เราไปคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า”
แม้จะขมวดคิ้วสงสัยแต่สุดท้ายทั้งคานะและฟรานก็เดินตามซึฮากิไปแต่โดยดี
“จากตอนแรกเราก็แค่ต้องการพื้นที่สำหรับเดินเรือส่งสินค้าแต่ตอนนี้เรากลับได้สิทธิ์ของผืนมหาสมุทรทั้งหมด จะเป็นการดีที่เราจะรีบไขว่คว้าความเป็นเจ้าของไว้ก่อนที่อาณาจักรอื่นจะรู้”
“แต่ทะเลมันกว้างใหญ่มากเลยนะ เราจะครอบครองทั้งหมดได้เหรอ?” ฟรานถาม
“ก็แค่ใช้วิธีเดียวกับที่สำนักมนตร์ดำใช้”
“อย่าบอกนะว่าจะใช้อำนาจของมนุษย์เงือกในการควบคุมมหาสมุทร”
“ถูกต้อง ก็แค่เปลี่ยนคนที่ได้ประโยชน์จากสำนักมนตร์ดำเป็นเอลโฟเรียแทนยังไงล่ะ แต่เราจะไม่ผูกขาดไว้ใช้แค่เจ้าเดียวหรอกเพราะทะเลมันก็กว้างใช่ไหมล่ะ ถ้าจะใช้ประโยชน์ให้มากขึ้นก็คือขายสิทธิ์การเดินเรือโดยที่ยังมีเราเป็นเจ้าของอยู่ดี”
“เหอะ นายนี่มันฉลาดเป็นกรดจริง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือสัญญาเช่าเส้นทางการเดินเรือสินะ สามารถกำหนดเงื่อนไขให้เราได้เปรียบเพื่อให้อาณาจักรอื่นใช้เดินเรือได้โดยที่ทะเลยังเป็นของเรา หากวันหนึ่งเกิดปัญหาหรือมีความขัดแย้งก็แค่ยกเลิกการเดินเรือ”
ฟรานและซึฮากิพูดคุยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทิ้งให้คานะนั่งซึมอยู่คนเดียว
“ใช่ แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าจ้าวทะเลโดนกำจัดไปแล้วก็คงจะต่อต้านและประท้วงกันยกใหญ่ แล้วเธอเดาได้ไหมว่าจะรับมือยังไง?” ซึฮากิยิ้มเยาะในใจถาม
“อืม ก็คงแต่งตั้งจ้าวทะเลใหม่และทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นพันธมิตรกับมนุษย์เงือก” ฟรานจ้องตาไม่กะพริบเพื่อดูว่าตนเองตอบถูกหรือไม่
“ถูกครึ่งหนึ่ง”
“หา? แล้วมีวิธีไหนอีกล่ะ?” ฟรานขมวดคิ้วทำหน้าบูดบึ้งถามซ้ำอีกครั้ง
“เธอจะใช้แค่คำขู่ที่ว่าเป็นพันธมิตรกับมนุษย์เงือกอย่างเดียวเหรอ ถ้าจะทำให้เราควบคุมทุกอย่างในทะเลได้ก็ต้องสร้างขุมพลังของตัวเองด้วยสิ”
ฟรานปรบมือยิ้มได้อีกครั้งหลังจากนึกอะไรออก “ทหารเรือสินะ”
“ถูกต้อง ก่อนที่เราจะเปิดทะเลให้คนอื่นใช้ เราจะสร้างทหารเรือและอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับต่อสู้ทางน้ำเพื่อให้สามารถควบคุมคนนอกได้ง่าย ๆ และสิ่งสำคัญก็คือเงื่อนไขที่ห้ามไม่ให้สร้างหรือขนสิ่งของนอกจากสินค้าเข้ามาในเขตพื้นที่ทะเล”
“สร้างกองกำลังของตนเองและห้ามไม่ให้ฝ่ายอื่นสร้างบ้าง ถ้าพูดในแง่อำนาจทางทะเลยังไงก็ไม่มีทางต่อต้านได้แน่นอน”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แต่เมืองเอลโฟเรียก็จะเป็นเป้าให้เข้ามาสอดแนมหรือขโมยข้อมูลมากขึ้น เผลอ ๆ อาจจะลามไปถึงบุกยึดเมืองเลยก็ได้”
“แล้วนายคิดแผนไว้หรือยังล่ะ?” ระหว่างที่คุยกันซึฮากิก็เปิดแผนที่ให้ดูอีกครั้ง
“ต้องคิดอยู่แล้ว เธอเห็นใช่ไหมว่าเมืองของเราขยายจากตอนบูรณะมากถึงสิบห้าเท่าและยังมีแนวโน้มขยายไปถึงสามสิบห้าเท่าในเวลาหนึ่งปี ยิ่งพื้นที่เยอะก็ยิ่งดูแลยากทำให้การคัดคนโดยฉันใช้เวลานานเข้าไปอีก”
“ก็จริงของนาย แล้วถ้าให้นายเป็นคนคัดคนที่จะไปคัดคนอีกทีล่ะ? สายตาของนายคงจะมองหาคนแบบนั้นได้อยู่แล้วนี่”
“โห่ เธอนี่ฉลาดขึ้นเยอะเลยนะ”
“นี่นายล้อฉันเหรอ?” ฟรานหยิกแก้มซึฮากิและดึงใบหน้าของเขาไปมาเหมือนสนุก
“เรื่องคนฉันคัดไว้เรียบร้อยแล้วแต่เพื่อความปลอดภัยฉันจึงเพิ่มมาตรการอีกชั้นหนึ่ง คนคัดคนแต่ละเส้นทางจะมีสี่คนซึ่งจะคัดเป็นลำดับเผื่อในกรณีที่มีการทรยศหรือโดนควบคุมแล้วแอบปล่อยให้ศัตรูผ่านเข้ามา และทุก ๆ สัปดาห์จะมีการเปลี่ยนเวรเส้นทางโดยการสุ่มซึ่งจะลดโอกาสที่คนทรยศได้อยู่รวมกันสี่คน นั่นคือมาตรการในกรณีที่มีการทรยศไม่ว่าจะโดนซื้อตัว โดนควบคุมหรือเหตุผลอะไรก็ตาม”
“รอบคอบสมกับเป็นนายดี แต่ถ้าทำแบบนั้นก็คงใช้ทรัพยากรบุคคลเยอะน่าดูเลยนะ และพอใช้ทรัพยากรบุคคลเยอะก็จะตามมาด้วยค่าจ้างที่มากขึ้นซึ่งเงินในคลังเมืองจะหมุนทันหรือเปล่า?”
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก ก็คือส่งออกสินค้าของพวกเราไปยังอาณาจักรต่าง ๆ โดยที่ยังไม่อนุญาตให้อาณาจักรอื่นใช้เส้นทางทางทะเลเพื่อให้เราเตรียมความพร้อมเสร็จก่อน หลังจากนี้พวกเราต้องรีบเดินทางเพื่อเจรจาซื้อขายให้เรียบร้อยแล้วเร่งผลิตสินค้าให้ไว”
“ฉันมาแล้ว !” ขณะที่กำลังประชุมกันอยู่ จู่ ๆ เซนก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลยด้วยซ้ำ
“เซน...” คานะสวมกอดทันทีที่เห็นจนเซนพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่โอบกอดหญิงสาวนางนั้นไว้รอให้เธอกอดจนพอใจ
“เด็กดีนะเด็กดี คิดถึงฉัน...” ไม่ทันพูดจบคานะก็กอดแรงจนเซนแทบกระอักเลือด
พอเข้าที่เข้าทางพวกเขาก็มานั่งฟังแผนของซึฮากิต่อ
“นั่นเป็นแผนคร่าว ๆ และเราจะไปคุยกับเธอคนนั้นต่อ”
ซึฮากิพาไปยังศูนย์วิจัยลับซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากซึฮากิ
“ปกติฉันจะไม่ให้ใครมาที่นี่หรอก แต่ไหน ๆ ก็จะเปลี่ยนที่แล้วก็เลยพามาเดินเล่นสักหน่อย”
หลังจากเดินเข้าไปในห้องของซึฮากิเขาก็เปิดประตูลับใต้เตียง เส้นทางลับได้พาพวกเขาไปที่ศูนย์วิจัยส่วนตัวของซึฮากิซึ่งมีเส้นทางทอดยาวไปทั่วเมือง
“นี่นายไปสร้างอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?” เซนถาม
“ก็ตั้งแต่เริ่มบูรณะแล้ว ที่ต้องทำห้องส่วนตัวเพราะหลาย ๆ อย่างเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้คนนอกรู้”
“รวมถึงพวกเราด้วยเหรอ?” คานะถาม
“ถึงรู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็เลยปิดไว้ดีกว่าเผื่อพวกเธอจะได้ไม่ต้องคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”
ห้องวิจัยและห้องทดลองของซึฮากิเต็มไปด้วยเอกสารกองเท่าภูเขารวมถึงอุปกรณ์แปลกตาที่ดูยังไงก็เหมือนหลุดมาจากโลกเดิมไม่มีผิด พวกเขาเดินข้ามผ่านไปอีกห้องหนึ่งซึ่งจะเห็นถังใส่มนุษย์เงือกตั้งอยู่
“ดิ้นหมดแรงหรือยังล่ะ?” ซึฮากิเปิดช่องให้รินโผล่หัวออกมาจากถัง
“ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้เลย ! แกมันก็แค่ชาวแผ่นดินสันดานชั่วที่ชอบจับคนอื่นไปทดลอง” รินถูกตรึงไว้ด้วยโซ่และชุดเกราะเหล็กที่ทำขึ้นเพื่อขัดขวางการรวมมานาโดยเฉพาะ
“เธอต้องจำไว้ให้ขึ้นใจนะจ้าวทะเลริน ถ้าเธอไม่มีประโยชน์เราก็คงกำจัดทิ้งไปแล้ว”
“ก็เอาสิ ! ถึงทรมานไปยังไงฉันก็ไม่บอกหรอก”
“ก็ย่อมได้ ถึงเธอจะไม่อยากบอกแต่ก็ไม่แน่หรอก เธอติดต่อและแลกเปลี่ยนกับสำนักมนตร์ดำซึ่งสิ่งที่เธอแลกเปลี่ยนคืออะไรกันแน่?”
“ไม่รู้สิ”
“การปิดน่านน้ำไม่ให้ชาวแผ่นดินใช้เพราะต้องการลักลอบขนบางสิ่งโดยไม่ให้ใครรู้ใช่ไหม?”
รินเบือนหน้าหนีไม่ตอบ
“คำถามต่อจากเมื่อกี้ มหาสมุทรมีการแบ่งเขตดูแลซึ่งเป็นคำสั่งเสียของพอนไซที่เคยรวมมหาสมุทรได้ และถ้าดูจากจำนวนพันธมิตรแล้วเธอเองก็สามารถรวมมหาสมุทรได้เหมือนกัน แล้วทำไมถึงยังแบ่งอาณาเขตต่อไป?”
รินยังคงเงียบ
“เธอรวบรวมกุญแจประตูนรกจากทุก ๆ จ้าวทะเล จากนั้นก็เข้าไปเอาตรีศูลของพอนไซมาแต่ถ้าใช้อำนาจรวมไปตั้งแต่แรกก็จะได้ตรีศูลมาไว้ในครอบครองซึ่งสงครามครั้งนี้คงเปลี่ยนทิศทางไปทันที หรือเพราะยังมีจ้าวทะเลที่เคี้ยวยากเกินไปก็เลยต้องรอจังหวะ หรือต้องการทำตามคำสั่งเสียของพอนไซ หรือก็แค่ไม่ฉลาดพอที่จะรวมมหาสมุทร”
“ไม่ใช่เว้ย ! ฉันรู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีพลังพอที่จะรวมแต่ถ้าทำเลยมันจะ…” รินนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังคล้อยตามการถามของซึฮากิ เธอจึงกัดปากตั้งสติไว้
“สิ่งที่พวกเธอขนส่งคืออะไร? มันคงจะเป็นของที่อันตรายไม่ก็ผิดกฎหมายของอาณาจักรแน่ ๆ จึงต้องขนส่งทางน้ำที่ห้ามไม่ให้คนอื่นใช้”
ซึฮากิซักถามต่อไปเรื่อย ๆ นานเป็นชั่วโมงจนพวกเซนเริ่มเบื่อ แต่สิ่งที่พอจะใช้ฆ่าเวลาได้ก็คงมีแค่เฝ้าดูตัวทดลองสองตัวไม่ก็อ่านเอกสารพวกนั้น
“ว่างจนอ่านงานของฉันเลยเหรอ?” ซึฮากิออกมาจากห้องทดลองจึงเห็นพวกเซนนั่งอ่านเอกสารที่กองอยู่บนพื้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นี่นายจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จริง ๆ เหรอ? แค่เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างคนที่นี่ก็งงกันหมดแล้ว ถ้าเกิดสร้างอะไรที่มันทันสมัยเกินก็อาจจะเกิดอันตรายจากความไม่รู้ของคนได้นะ” ฟรานขมวดคิ้วถามดูเข้มงวดกว่าทุกที
“ถึงจะไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แต่ในอนาคตยังไงเราก็ต้องการมัน พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่สุดแต่เพราะผู้คนก็เลยทำให้มันดูเหมือนเป็นตัวร้าย ไม่ต้องห่วงเพราะฉันต้องมั่นใจว่าผู้คนจะตามเทคโนโลยีทันถึงจะสร้างมัน”
“ได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยสบายใจหน่อย แล้วอันนี้...”
“นี่นายจะสร้างโทรทัศน์เหรอ !” เซนพูดแทรกเสียก่อนทำให้ฟรานหันไปจ้องหน้าทันที
“จะบอกว่าโทรทัศน์ก็ใช่แต่ฉันกะจะทำเป็นคอมพิวเตอร์เลยในเครื่องเดียว แต่สิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงหลัง ๆ ที่สินค้าและอุตสาหกรรมความบันเทิงคงที่แล้ว ต่อให้สร้างคอมพิวเตอร์ มีอินเทอร์เน็ตหรือสื่อโซเชี่ยวใด ๆ ก็ตาม แต่หากขาดความบันเทิงของพวกนั้นก็คงสิ้นเปลืองทรัพยากรเปล่า ๆ แต่สิ่งที่ฉันจะสร้างก่อนก็คือโทรศัพท์พกพาที่สามารถใช้ติดต่อได้เหมือนมือถือของถั่วเน่า”
“พูดถึงถั่วเน่า เจ้านั่นบอกว่าให้รับมาอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?” คานะถาม
“ใช่ แต่เพราะพวกกรมทหารใช้เขาผลิตมือถือเนี่ยแหละก็เลยดึงตัวมาค่อนข้างยาก แต่เราจะใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของทะเลในการต่อรองซึ่งจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องลองดู จะพาหนีเลยก็ไม่ได้เพราะนั่นจะเป็นการสร้างศัตรูเพิ่มโดยใช่เหตุ”
“อืม พลังเดอะของนัตโตะมีประโยชน์มากจนใคร ๆ ก็อยากได้ตัว ถ้าหากจะต่อรองดึงตัวมาอยู่กับเราก็ต้องยื่นสิ่งที่มีค่าพอ ๆ กันให้ การใช้สิทธิ์การเดินเรือจะต่อรองได้จริง ๆ เหรอ?” ฟรานถามต่อทันที
“มีโอกาสที่ฝั่งโน้นจะปฏิเสธแต่ฉันก็มีแผนสำรองเป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธแน่นอน”
“โห่ มีอะไรมาเซอร์ไพรส์พวกเราอีกล่ะ” ฟรานยิ้มเยาะชอบใจขณะที่นั่งกอดอกไปด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้คำตอบอะไรจากริน ก่อนจะออกมาซึฮากิใช้ร่างโคลนเพื่อสอดส่องดูพฤติกรรมของมนุษย์เงือกทั้งสองไว้ โดยที่รินยังพยายามหนีแต่ไคกลับนอนนิ่งไร้แรงขัดขืน
“จะว่าไป…ซีโร่หายหัวไปไหน?” ฟรานถาม
“ฉันให้เธอไปสำรวจรอบ ๆ กว่าจะกลับก็คงมืดไม่ก็พรุ่งนี้เลย ไม่ต้องห่วงเพราะฉันให้แฟรงค์ไปเป็นเพื่อนด้วย”
ขณะที่คนส่วนใหญ่ได้พักผ่อนแต่ซีโร่กับซึฮากิก็ยังทำงานตลอดเวลาไม่มีวันพักใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวตนสเตล่าหรือตัวตนซีโร่เธอก็มักจะทำตามซึฮากิตลอดเวลา
“เดี๋ยวรอซีโร่กลับมาเราก็จะประชุมกันอีกครั้ง และวันถัดไปเราก็จะเดินทางไปที่แอสต้าเพื่อเจรจาดึงตัวถั่วเน่า” สิ้นสุดคำสั่งพวกเขาก็แยกย้ายกันไปเที่ยวเล่นโดยเฉพาะคานะและเซนที่ออกไปตะลุยกินของทุกร้านในตลาด
23 มิถุนายน พ.ศ.2576
ซึฮากิ เซน คานะ ฟรานและซีโร่มารวมตัวกันเพื่อประชุมแผนการเดินทาง
“จะไปอีกแล้วเหรอ? หมู่นี้ธุระเยอะกันจริง ๆ เลย” ยูกิถามขณะที่เอาของว่างมาเสิร์ฟ
“ก็คนมันธุระเยอะจริง ๆ นี่...แล้วถามทำไม? หรืออยากไปด้วย?” ซึฮากิถามกลับทันที
“ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจจะแต่พอได้ยินว่าแอสต้าข้าก็ทิ้งความคิดนั้นไปแล้ว ฉันไม่ชอบผู้คนที่นั่นสักเท่าไร”
“อ้อเหรอ แต่ฉันก็เห็นด้วยเพราะเราไม่ควรพาใครไปสุ่มสี่สุ่มห้าโดยเฉพาะอมนุษย์เผ่าอื่น อย่างที่เรารู้ว่าพวกมันชาตินิยมจัด ๆ และเกลียดอมนุษย์เข้าไส้”
“โห่ ขนมใหม่เหรอ?” เซนซัดของว่างหมดเกลี้ยงโดยที่คนอื่นยังไม่ทันได้กินด้วยซ้ำ
“นี่แกกะจะไม่ให้คนอื่นชิมบ้างเหรอวะ ! คนเขาอุตส่าห์ทำขนมใหม่มาให้ลอง” ยูกิกระชากคอเสื้อเซนและแยกเขี้ยวขู่
“ก็มันอร่อยจนหยุดมือไม่ได้เลยนี่ เธอคงต้องทำมาเยอะหน่อยแล้วล่ะ” เซนยิ้มร่าเริงตอบรับไม่รู้สึกทุกข์ร้อน แต่เพราะได้ยินคำว่าอร่อยยูกิจึงไม่ว่าอะไรและกลับไปทำมาเพิ่ม
“ทำตัวได้สมกับเป็นนายจริง ๆ ว่ะ” ซีโร่ยิ้มเยาะหยอกล้อ
“ขอบใจที่ชม”
ไม่นานเกินรอยูกิก็เอาของว่างมาเสิร์ฟเพิ่มซึ่งคราวนี้เขาเอามาพอสำหรับยี่สิบคนเลย
“สรุปแล้วเราต้องไปแอสต้าในวันพรุ่งนี้สินะ ถ้าเป็นเรื่องการเจรจาฉันคงช่วยอะไรไม่ได้” ซีโร่ส่ายหน้ากล่าวพลางหยิบขนมใส่ปากไปด้วย
“ไม่ต้องห่วงเพราะฉันจะใช้อำนาจของผู้กล้าช่วยพูดอีกแรง”
“จริงสิ พวกชาญก็อยู่ที่นั่นด้วยนี่...สงสัยต้องไปขอดวลด้วยสักหน่อยแล้ว”
“แหม ๆ ในหัวนายมีแต่เรื่องชกต่อยหรือยังไง?” คานะเอนตัวพิงไหล่เซนขณะที่รอฟังคำสั่งของซึฮากิ
“ตามใจเถอะยังไงฉันก็จะไปกับฟรานสองเพื่อเจรจา ส่วนพวกนายจะไปเดินเล่นที่ไหนก็ได้ขอแค่ไม่ก่อความวุ่นวายเหมือนครั้งก่อนก็พอ”
“อย่างนี้ก็สวยสิ ฉันอยากจะงัดหน้ากับเจ้าพวกนั้นจะตายแล้ว”
“ฉันเอาด้วยแล้วกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะซัดให้หน้าจมดินสักทีหนึ่ง”
“ทำไมมีแต่พวกหัวรุนแรงล่ะเนี่ย” ซีโร่ยิ้มเจื่อนมองดูหนุ่มสาวที่กำลังคิดกระบวนท่าที่จะจัดการอีกฝ่าย
24 มิถุนายน พ.ศ.2576
พวกเขาเก็บของออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เครื่องบินลำเล็กขึ้นบินโดยที่มีซึฮากิเป็นคนขับมุ่งหน้าไปยังเมืองแอสต้าโดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ยังดีที่มีคนห้ามปรามไว้ไม่งั้นก็คงยิงเวทมนตร์กันวุ่นวายเหมือนตอนมาครั้งแรกแน่ ๆ
“คิดว่าเป็นบ้านของตัวเองหรือยังไงที่คิดไปก็ไปคิดจะมาก็มา” จุดจอดก็คือภายในอาณาเขตโรงเรียนหลวงซึ่งมีการสร้างสนามไว้ตั้งแต่คราวก่อนแล้ว
“ต้องขอโทษสำหรับความไร้มารยาทที่เข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่พวกเราก็ไม่มีวิธีติดต่อกันเร็ว ๆ ถ้าจะใช้ม้าเร็วส่งจดหมายก็เกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า”
ทั้งอาจารย์และนักเรียนมากมายมามุงดูด้วยความสงสัยโดยมีกองทหารยืนล้อมพวกซึฮากิไว้อีกที
“อย่าพึ่งไปไหนเพราะเราต้องตรวจก่อน”
“เชิญตามสบาย” ซึฮากิวางอาวุธไว้ตรงหน้า พอคนอื่นเห็นจึงทำตามกันหมด
“ของฉันต้องตรวจด้วยเหรอเนี่ย ก็เห็นอยู่ทนโท่” เซนวางดาบคู่ไว้บนพื้น ดาบยักษ์ที่เคยใช้ได้กลายเป็นดาบคู่ที่ไม่สมมาตรเสียเท่าไรเพราะมันถูกเซนหักด้วยมือเปล่า
เสียงนินทาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ้างก็ว่าคนทรยศกลับมาแล้ว บ้างก็ว่าอาจารย์พิเศษจะมาสอนอีกครั้ง บ้างก็ว่าสายลับจากอาณาจักรอื่นบุกจู่โจมโรงเรียน แต่เมื่อกองทหารตรวจร่างกายเสร็จพวกเขาก็นำทางให้พวกซึฮากิไปยังห้องรับรองของกรมทหาร
“มีอะไรถึงตรงดิ่งมาหาที่นี่?” จอมพลโกโด้นั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางองอาจกอดอกและจ้องมองตาไม่กะพริบ
“อาจจะเป็นการเสียมารยาทหน่อย แต่ผมกับฟรานอยากคุยกับผู้ที่มีอำนาจในการโยกย้ายทหาร แล้วก็ถ้าพวกเขาอยู่อาจจะไม่สบายใจผมเลยอยากให้มีแค่คนที่เกี่ยวข้องนะครับ”
“คิดว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ มาถึงก็พูดแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นไม่มีผิด”
ซึฮากิมองหน้าพวกเซนเป็นสัญญาณให้เดินออกไปจากห้อง
“คุณโกโด้ก็คงจะหงุดหงิดไม่น้อยนะครับที่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาพูดจาไม่เคารพ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผมก็หงุดหงิดที่มีคนแอบสอดส่องอยู่ไม่ห่างเหมือนกัน” เพียงคำพูดไม่กี่คำมันก็ทำให้โกโด้สะดุ้งเพราะด้านบนเพดานมีหน่วยสอดแนมแอบฟังอยู่
โกโด้ถอนหายใจแรง “ออกไป !” สิ้นเสียงคำสั่งพวกหน่วยสอดแนมก็ถอนกำลังออกไปทันที
“ทีนี้ก็ค่อยคุยกันสะดวกหน่อย ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมขอพูดเป้าหมายที่มาวันนี้เลยดีกว่า ผมต้องการให้หน่วยของนัตโตะทั้งหมดย้ายมาอยู่ที่เอลโฟเรีย…”
“บัดซบ ! คิดได้อย่างไรถึงกล่าวคำขอแปลก ๆ พรรค์นั้นออกมา”
“เหอะ ก็คิดไว้แล้วว่าต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ ถ้างั้นผมคงต้องรอผู้มีอำนาจคนอื่นมาเพิ่มเพื่อให้ได้พิจารณาก่อนตัดสิน”
ขณะที่ซึฮากิและฟรานนั่งอยู่ในห้องประชุม พวกเซนก็ได้เดินทางไปยังโรงเรียนหลวงเพื่อทำตามเป้าหมายที่เคยพลาดไป
“แหม ๆ ถ้ายูกิมาด้วยกะว่าจะชวนไปเปิดร้านอาหารกันอีกรอบสักหน่อย” เซนส่งยิ้มทักทายให้กับทุกคนที่สบตา การเดินทางเข้ามาในโรงเรียนโดยไม่ได้เป็นนักเรียนหรือมีเหตุอะไรทำให้เจ้าหน้าที่เข้ามาขวางเสียก่อน
“ขอโทษนะครับ พวกคุณมีธุระอะไรที่โรงเรียนครับ?”
เซนจ้องมองหน้าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“ซากิ ชาญแล้วก็ซันนี่...พวกนั้นอยู่ไหน?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 110
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น