STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 15 พึงประสงค์
23 พฤษภาคม พ.ศ.2576
ซึฮากิพามังกี้และคิโนริเดินทางลงใต้ไปยังสำนักเทวาคารประทับ ระหว่างนั้นพวกเซนก็ได้กลับไปที่สำนักศาสตร์นักสู้กับพวกกังเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของสำนักไปแล้ว
“พวกเจ้าเป็นใคร? มีธุระอันใดถึงมาที่นี่” ยามสองคนถือหอกชูชันเล็งไปหาซึฮากิ
“พวกเรามาหาคุณมิโกะ” ซึฮากิตอบกลับพร้อม ๆ กับเดินเข้าหานั่นยิ่งทำให้ยามสองคนเตรียมออกอาวุธ
“บอกชื่อเสียงเรียงนามมาเสีย”
“ซึฮากิ” เขายืนห่างจากปลายหอกแค่หนึ่งนิ้วแถมยังจ้องมองตาไม่กะพริบเพื่อแสดงความจริงใจว่าตนเองไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกเขา
“มาแล้วสินะ” ทันใดนั้นประตูสำนักก็เปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกและเหล่าอาจารย์ยืนรอต้อนรับเป็นอย่างดี
“ตรวจจับเวทใช่ไหมครับ?”
“หัวไวสมกับเป็นอาจารย์ซึฮากิผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน”
“ช่วยอย่าเรียกชื่อนั้นจะได้ไหมครับ” แววตาเฉื่อยชากวาดมองสำนักเทวาคารประทับเห็นถึงสภาพทรุดโทรมที่ไม่ได้รับการปรับปรุงมานาน
“เข้ามาข้างในก่อน ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องอยากพูดหลายอย่าง”
พอเห็นมิโกะพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างปกติ ยามทั้งสองจึงเข้าใจทันทีว่าตนเองกำลังหันอาวุธใส่แขกของสำนัก
“ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ” พวกเขาลดอาวุธลงและโค้งคำนับขอโทษ
“มันเป็นหน้าที่ก็เข้าใจได้” เมื่อพูดจบพวกเขาก็เดินตามมิโกะเข้าไปข้างในสำนัก
เส้นทางหินอ่อนที่วางประดับไว้ให้เดินกับวิวทิวทัศน์ที่เป็นต้นไม้ต้นใหญ่กำลังผลิบานดอกสีแดง เพียงแค่ได้เดินผ่านก็รู้สึกผ่อนคลายไปกับเสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ใบหญ้า
“ถึงข้าจะครอบครองอาณาเขตหลายส่วนก็จริงแต่ข้าก็ไม่ได้ร่ำรวยมากนักหรอก”
ถ้าอย่างนั้นเรื่องการเก็บภาษีของสำนักเทวาคารก็คงเป็นจริงสินะ พวกเขาเก็บภาษีถูกกว่าสำนักอื่นหลายเท่าทำให้สถานภาพการเงินของสำนักตกต่ำแต่ก็ยังคงมีคนเคารพนับถือเพราะเป็นเสมือนผู้หลักผู้ใหญ่ของอาณาจักรคา
“พวกเจ้านั่งรอตรงนี้ไปก่อน ข้าจะไปทำธุระสักครู่” เธอกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนวางแผนอะไรไว้ทำให้มังกี้และคิโนริกลัวจนต้องเกาะติดซึฮากิตลอดเวลา
ห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีเสื่อปูให้นั่งแทนที่จะเป็นโต๊ะหรือเก้าอี้ ภายในห้องยังมีรูปวาดของมิโกะที่ติดไว้รอบ ๆ เหมือนเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของ
“ข้ามาแล้ว” มิโกะเดินนำหน้าเหล่ามนุษย์เผ่าจิ้งจอกหลายคนเข้ามานั่งตรงข้ามกับพวกซึฮากิ
มีแต่เผ่าจิ้งจอกที่ได้เข้ามาในนี้ หรือว่าคิโนริจะมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขา
“มัวแต่คิดอะไรอยู่เล่าถึงเงียบแบบนั้น” มิโกะรินน้ำชาให้กับพวกซึฮากิพยายามให้พวกเขาใจเย็นลง
“เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ” ซึฮากิวางถ้วยน้ำชาไว้ตรงหน้าไม่แตะต้องมันสักนิด
“แหม ๆ ไม่รักษาน้ำใจกันเลยนะ” มีเพียงแค่มิโกะและซึฮากิที่สนทนากันไปมาแต่กลับกันเหล่าผู้คนรอบข้างได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าออกความเห็นใด ๆ
“พอดีว่าไม่ชอบชาพูดความจริงสักเท่าไร”
“โห่...ดูออกด้วยหรือว่าใส่ยาพูดความจริงลงไป”
“เผอิญว่าเคยทดลองยาพวกนี้อยู่ก็เลยค่อนข้างรู้เยอะ แล้วทำไมถึงต้องให้คิโนริมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
มิโกะแสยะยิ้มชอบใจที่ได้เห็นความเย่อหยิ่งและทะนงตนราวกับได้เห็นภาพสะท้อนของตนเอง
“ไอ...คือชื่อแม่ของเธอใช่หรือไม่?” มิโกะเก็บรอยยิ้มไว้และจ้องมองคิโนริด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ชะใช่ค่ะ”
มิโกะหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำตอบของคิโนริจากนั้นก็เดินตรงเข้ามาหาทันที
“คิโนริ...ลองเรียกข้าว่ายายทวดดูสิ” สายตาอันอ่อนโยนจ้องมองคิโนริไม่ละสายตา มือทั้งสองค่อย ๆ เอื้อมไปจับมือของคิโนริหวังให้เธอรู้สึกไว้วางใจยิ่งขึ้น
“ยายทวด?”
“อืม...นั่นแหละ ต่อจากนี้ก็เรียกข้าแบบนั้นเข้าใจไหม?”
“ค่ะ...” คิโนริไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าที่เหมือนคุณแม่ของตนได้ เธอยกมือลูบคลำใบหน้าของมิโกะค่อย ๆ มองภาพทับกับแม่ของตนถึงแม้ความทรงจำจะมีอยู่น้อยนิดก็ตาม
“แล้วก็อย่าลืมไปทักทายตายายของเจ้าด้วยล่ะ” มิโกะกลับไปนั่งที่เดิมและกวาดสายตามองพรรคพวกคนอื่นที่อยู่รอบกาย
“พวกข้าทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกับเจ้า ถึงแม้ไอจะหนีออกจากสำนักไปแต่ก็ได้ทิ้งคำสั่งเสียไว้ ในเมื่อเจ้าตัวอยากให้รับลูกสาวของตนเข้าสำนักข้าก็จะยอมให้ก็ได้”
“สรุปก็คือคิโนริมีสายเลือดเดียวกับพวกคุณใช่ไหมครับ?” ซึฮากิเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ ที่อยู่ในห้องนี้ทั้งหมดก็คือลูกหลานของข้าเอง ข้าว่าเจ้าน่าจะเดาได้ว่าใครเป็นลูกหรือเป็นหลาน” มิโกะยิ้มเยาะกวนประสาทเพราะเผ่าจิ้งจอกเหล่านั้นมีหน้าตาที่ไม่แก่เลยสักนิดแม้กระทั่งตัวเธอเอง
“ถ้าให้เดาก็คงต้องเดาจากลำดับการนั่ง ซึ่งอาจจะเป็นความสนิทก็ได้...แต่ถ้าให้เดาจริง ๆ ผมว่าคุณน่าจะมีลูกสองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลานสี่คน เหลนห้าคนและลื่ออีกสี่คนโดยไม่รวมคิโนริ”
มิโกะหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบกลับ “สมกับเป็นอาจารย์ผู้มีวิชาจริง ๆ ที่พูดมาถูกต้องทั้งหมดแต่ถ้าให้รวมคนที่ไม่ใช่สายเลือดตรงก็คงมีอีกเยอะเลยล่ะ”
“แล้ว...จากนี้คุณจะรับเลี้ยงคิโนริเหรอครับ?” ซึฮากิถามต่อไม่สนใจอารมณ์ขันของเธอ
“ใช่ ยังไงคิโนริก็มีสายเลือดตรงของข้า ข้าก็จะดูแลและสั่งสอนเธอเอง”
“หนูจะอยู่กับพี่กิกับคุณมังกี้” คิโนริตะเบ็งเสียงหนักแน่นโดยที่เธอกำลังกอดซึฮากิและมังกี้ไว้
“ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้เพราะข้าก็ไม่ได้อยากบังคับนักหรอก แต่ถ้าเจ้าได้รับสายเลือดตรงจากข้าจริง ๆ เจ้าก็อาจจะได้รับการสายเลือดเทวาไปด้วย”
“ช่วยอธิบายเพิ่มได้ไหมครับ?” ซึฮากิเขยิบมาบังมังกี้และคิโนริไว้ไม่อยากให้พวกเธอโดนกดดัน
“เจ้าเห็นเผ่าจิ้งจอกที่นั่งอยู่ตรงหน้าหรือไม่? แล้ว...มีอะไรที่พวกเขาแตกต่างกันบ้าง?”
“หางเหรอ?” ซึฮากิตอบทันควัน
“ถูกต้อง” มิโกะขยับหางไปมาเพื่อแสดงให้ได้เห็นชัด ๆ ว่าตนเองคือจิ้งจอกผู้มีหางแปดหางก่อนจะกล่าวต่อ
“แม้จะเป็นเผ่าจิ้งจอกเหมือนกันแต่ก็ยังมีลำดับชั้นอีกและนั่นก็คือสายเลือดเทวา ในบรรดาสายเลือดตรงของข้ามีเพียงสี่คนเท่านั้นที่พลังของสายเลือดเทวาตื่นขึ้น”
“แล้วมีเงื่อนไขอะไรไหมหรือเป็นเรื่องของพันธุกรรม”
“ไม่รู้สิ ข้าพยายามสังเกตดูหลาย ๆ อย่างแล้วแต่ก็เหมือนจะไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งที่ยืนยันได้ก็คือช่วงเวลาที่สายเลือดจะตื่นขึ้นซึ่งก็คือช่วงอายุสิบห้าถึงสิบหกปี” มิโกะเหลือบมองคิโนริเหมือนต้องการถามอะไรบางอย่าง
“ตอนนี้คิโนริอายุเท่าไรแล้ว?” ซึฮากิรู้ได้ทันทีจึงเป็นคนถามเอง
“สิบสี่ค่ะ...อีกสองเดือนก็จะสิบห้า”
มิโกะแสยะยิ้มออกมาทันทีที่ได้ฟังคำตอบ “แสดงว่ายังมีหวังสินะ ที่ข้าคิดว่าคิโนริอาจจะได้สายเลือดเทวาเพราะไอก็เป็นผู้ที่มีสายเลือดเทวาเหมือนกัน ดังนั้นตลอดเวลาก่อนที่สายเลือดจะตื่นขึ้นข้าจะคอยดูแลให้เอง”
ซึฮากิมองแววตาจริงจังที่อาจจะมีเรื่องได้หากขัดคำพูดของเธอ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของคิโนริเขาจึงสลัดความลังเลออกไปทันที
“คิโนริจะเป็นคนให้คำตอบเรื่องนั้นเอง”
หญิงสาวตัวน้อยค่อย ๆ เดินไปหามิโกะต่อให้จะสั่นกลัวแค่ไหนก็ตาม
“ดีมาก...มาหาข้าสิ”
“ไม่ หนูจะอยู่กับมังกี้แล้วก็พี่กิ” เธอยืนกรานตอบด้วยความกล้าทั้งหมด วินาทีที่มิโกะได้ยินคำตอบเธอก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาทันทีทำให้คิโนริสะดุ้งกลัวแต่ก็ยังยืนจ้องหน้าไม่หนีไปไหน
ฝ่ามือของมิโกะค่อย ๆ เลื่อนลงมาหาคิโนริและลูบหัวด้วยความเอ็นดู
“เอาอย่างนั้นสินะ ถ้าเป็นคนอื่นข้าก็อาจจะลังเลก็ได้แต่ถ้าเป็นอาจารย์ผู้มีวิชาอย่างอาจารย์ซึฮากิ...ข้าก็จะยอมให้”
“แต่...ท่านย่าจะปล่อยให้มนุษย์พาคนในครอบครัวไปอีกแล้วหรือคะ?” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวขัดแต่พอโดนมิโกะถลึงตามองกลับกลัวจนหัวหดไปเลย
“เจ้าคงจะเป็นห่วงหลานมากเลยสินะ ก่อนอื่นก็แนะนำตัวให้หลานรู้จักก่อนสิ” หญิงสาวผู้นั้นเหลือบมองด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สุดท้ายก็เดินตรงไปหาคิโนริ
“ข้าชื่อฟูมิเป็นยายแท้ ๆ ของเจ้า ข้าขอร้องล่ะ...ได้โปรดอย่าเชื่อใจมนุษย์และกลับมาหาพวกข้าเถอะ” เธอกุมมือน้อย ๆ ของคิโนริกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนเหมือนจะร้องไห้
“ไม่ !” คิโนริตะโกนลั่นพร้อมกับกระชากมือออกมา
“พอได้แล้ว” มิโกะเดินเข้ามาดึงตัวฟูมิกลับไป
“ตะแต่...”
“ข้ารู้ว่าเจ้าฝังใจกับเรื่องของไอ แต่อาจารย์คนนี้ไม่เหมือนแบบที่เจ้าคิดแน่นอน”
“ถ้าท่านย่าพูดขนาดนั้นข้าก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว” เธอถอนหายใจสั้น ๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่
มิโกะส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้หวังให้คิโนริใจเย็นลง
“เดินทางกันมาคงเหนื่อยมากแล้ว เพราะฉะนั้นเรามากินอาหารเป็นครอบครัวสักหน่อยแล้วกัน”
หลังจากนั้นก็มีคนเอาอาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับโต๊ะเล็ก ๆ สำหรับนั่งคนเดียว อาหารที่จัดไว้พอดีของใครของมันวางลงตรงหน้าโดยมีข้าว ซุป ปลาย่างและผัดผักรวม
“กินได้เลยคราวนี้ไม่ได้ใส่ยาแน่นอน” มิโกะยกโต๊ะอาหารของตนเองมาตั้งข้าง ๆ และรวบหางไว้ไม่ให้รบกวนคนอื่น
“ถ้าอย่างนั้น...” ซึฮากิกินให้พวกคิโนริดูก่อนจึงรู้ว่าไม่มีอะไร
“เป็นอย่างไรบ้าง? อาหารของสำนักข้าทำให้เจ้าพอใจได้หรือไม่?”
“อืม...ปลาย่างด้วยเตาที่ใช้ไม้แอปเปิลและทาด้วยซอสเค็ม ถ้าให้พูดก็คือพอใช้ได้ก็แล้วกัน”
“เหอะ เรื่องมากไปหน่อยมั้ง” มิโกะบ่นพึมพำและก้มหน้าก้มตากินต่อไป
“เมื่อกี้ได้ยินนะครับ”
“ก็ดี” มิโกะตอบกลับสั้น ๆ จากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยกันอีก
ประตูด้านข้างเปิดออกให้ได้เห็นวิวต้นไม้ที่กำลังผลิบานพร้อมกับได้นั่งกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน ระหว่างนั้นก็มีใบไม้สีเขียวสดปลิวมาหาคิโนริ เธอจึงดีดนิ้วใส่มันกลางอากาศทำให้มันร่วงลงไปในจานข้าวของมิโกะแทน
“ขอโทษค่ะ...”
มิโกะหยิบใบไม้ขึ้นมาและดีดมันออกไปด้านนอกด้วยความเร็วสูงราวกับเป็นกระสุนปืน
“เจ้าเองก็ลองทำแบบนั้นบ้างสิ ดูจากสเตตัสก็คงได้รับการฝึกฝนมามากพอตัวเลยนะ”
“อา...หนูทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
พอซึฮากิได้ยินเช่นนั้นเขาจึงทำตามบ้างก่อนจะหันมาหาคิโนริ “หลักการของมันก็คือการใช้มานาคลุมทั้งใบไม้และปลายนิ้วไว้ แล้วค่อยเสริมกำลังและเพิ่มพละกำลังจากนั้นก็ดีดมันออกไป”
“ยังไงนะคะ?”
“ลองทำทีละขั้นตอนก็ได้ ก่อนอื่นก็ลองคลุมมานาใส่อย่างอื่นนอกจากตัวเองให้ได้จากนั้นก็ค่อยลองเสริมกำลังเฉพาะส่วน”
จากโต๊ะอาหารกลายเป็นโต๊ะเรียนแทน คิโนริทดลองคลุมมานาให้กับตะเกียบและช้อนจากนั้นก็ทดสอบด้วยการบีบแรง ๆ ดูว่ามันจะเป็นอะไรไหม
ขณะเดียวกันก็มีสายตาสงสัยเหลือบมองตลอดเวลาโดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ยังเยาว์วัย
“เหอะ พอท่านยายทวดพูดดีด้วยหน่อยก็อวดเก่งซะแล้ว” เสียงนินทาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูหงุดหงิดตลอดเวลา
“นั่นสิ ๆ ดูท่าทางใสซื่อนั่นสิ สงสัยจะอยากให้ชมด้วยแหละ” ข้าง ๆ กันก็มีคนที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแฝดพูดเสริมทันที
แม้คิโนริจะได้ยินแต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ไม่อาจจะเก็บความโกรธอดกลั้นให้รอดพ้นจากสายตาซึฮากิไปได้
“พูดดัง ๆ อีกทีสิ” ซึฮากิกล่าวโดยที่ยังมองต้นไม้ด้านนอกอยู่แต่แฝดสองคนนั้นรู้ได้ทันทีว่ากำลังถูกเยาะเย้ย
มิโกะหัวเราะในลำคอเพราะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เลือกที่จะเงียบไว้ “เรื่องของเด็ก ๆ ก็ต้องให้เด็ก ๆ จัดการกันเองสิ” เธอเหลือบมองด้วยหางตาแต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มสองคนนั่งเกร็ง
“เด็ก ๆ เหรอ? แสดงว่าพวกนั้นรุ่นเดียวกับคิโนริสินะแต่ทำไมหน้าดูไม่เด็กสักเท่าไรเลย”
“ก็ไม่ห่างเท่าไร เจ้าแฝดสองคนนั้นชื่อจินและคินอายุสิบเก้า ส่วนด้านขวาที่นั่งเงียบ ๆ ชื่อนัตสึอายุสิบแปด แล้วก็ผู้หญิงด้านซ้ายชื่อมายุอายุยี่สิบ”
“อืม อายุพอ ๆ กับผมเลย”
“เดี๋ยวนะเจ้าอายุเท่าไรกันแน่? ตอนแรกข้าคิดว่าสักสามสิบเกือบ ๆ สี่สิบ”
“อย่าเอาบรรทัดฐานของเผ่าคุณมาวัดสิครับ พวกเราเผ่ามนุษย์ไม่ได้อายุยืนจนหน้าเด็กแบบพวกคุณได้ตลอดหรอก”
“เหอะ ๆ ได้รับชื่ออาจารย์ตั้งแต่อายุแค่นี้เองหรือ ถ้าลูกหลานของข้าทำได้อย่างเจ้าก็คงมีผู้สืบทอดไปแล้ว”
“อย่าด้อยค่าลูกหลานของคุณเลย การที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เช่นเดียวกับที่คนมากมายไม่อาจก้าวข้ามเลเวลเก้าได้นอกจากเหล่าจอมมาร”
“พูดได้ดีทั้ง ๆ ที่ตนเองยังเลเวลหก...ไม่สิ เลเวลของเจ้าเพิ่มขึ้นมาหลังจากออกจากดันเจี้ยนหรือ?”
ระหว่างนั้นก็มีคนเข้ามาเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย
“นั่นอาจจะเป็นรางวัลที่ดันเจี้ยนให้...แต่กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า เรื่องที่เจ้าพวกนั้นพูดจาไม่เข้าหูดูไร้มารยาท คุณจะจัดการอย่างไร?”
“ข้าก็บอกไปแล้วว่าให้เด็ก ๆ จัดการกันเอง”
ซึฮากิมองดูรอยยิ้มเลศนัยที่เหมือนกำลังสนุกเสียมากกว่า
“คิโนริอยากทำอะไรก็ทำเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็โทษคุณมิโกะเอา”
เธอดึงขนหางของตัวเองมาหนึ่งเส้นจากนั้นก็ขึ้นรูปมานาและดีดมันเหมือนกับที่มิโกะทำ แต่คราวนี้เส้นขนมันทะลุใบหูของหนึ่งในคนที่นินทาเธอจนมีเสียงร้องตกใจดังขึ้น
“เมื่อกี้เจ้าทำบ้าอะไร !” เสียงตวาดดังลั่นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดจนเกือบชนกัน จากนั้นเขาก็สร้างเปลวเพลิงเตรียมปะทะกับคิโนริแต่ก็ช้ากว่าเธอหลายขุม
ดวงไฟทั้งห้าดวงพุ่งทำลายเปลวเพลิงที่เขาสร้างและลอยวนรอบตัวเสมือนการขู่
“โห่...อายุแค่สิบสี่แต่ทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือ อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนั่นเจ้าเป็นคนสอน” มิโกะนั่งเชยชมการต่อสู้ของพวกเธอโดยที่ญาติ ๆ คนอื่นก็ทำเพียงแค่เฝ้ามองเท่านั้น
“เธอเป็นคนคิดเวทมนตร์แบบนั้นได้เองผมก็แค่ช่วยขัดเกลานิดหน่อย”
มิโกะหัวเราะในลำคอเผลอยิ้มแสยะโดยไม่รู้ตัว “ต่อให้ไม่ใช่ผู้มีสายเลือดเทวาแต่ถ้าเทียบอายุก็แข็งแกร่งกว่าทุกคนไปแล้ว”
ขณะที่คิโนริกำลังเพ่งสมาธิก็มีหอกเพลิงพุ่งขึ้นมาจากพื้นเฉียดผมไปนิดเดียว สองหนุ่มผลัดกันร่ายเวทมนตร์โจมตีทีละคนแต่ก็มีดวงไฟของคิโนริที่คอยหยุดการเคลื่อนไหวไว้
“น่ารำคาญจริง ๆ เลย !” พวกเขาพยายามทำลายดวงไฟของคิโนริแต่มันก็ว่องไวเกินไปจนเวทมนตร์เพลิงของสองหนุ่มพุ่งกระจายไปทั่วห้อง
“ดูไร้ทางสู้เสียจริง ดวงไฟพวกนั้นคงใช้ทำอย่างอื่นได้มากกว่าก่อกวนแต่ก็ไม่ทำเพราะเห็นอกเห็นใจหรือก็แค่สมเพชกันแน่”
“ผมว่าหยุดก่อนดีไหม? ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวห้องมันจะไหม้เอานะครับ” ซึฮากิกวาดสายตามองเพดานและกำแพงที่โดนลูกหลงไปด้วยแต่ญาติ ๆ คนอื่นไม่ได้เป็นกังวลเพราะป้องกันตัวเองได้
“พวกเจ้าพอได้แล้ว” แม้เธอจะไม่ตะโกนแต่ทุกคนก็ได้ยินชัดถ้อยชัดคำเหมือนรอฟังคำสั่งอยู่แล้ว
พวกเขาสองคนเลเวลสามซึ่งห่างจากคิโนริแค่หนึ่งเลเวล แต่สเตตัสของคิโนริสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดหรือเพราะเธอกำลังจะเลเวลห้ากันแน่
“พวกเจ้าอยากไปเดินดูรอบ ๆ เสียหน่อยไหม?” มิโกะถาม
“ก็ดีนะครับ เราจะได้ออกจากห้องนี้สักที” ซึฮากิกวาดสายตามองญาติ ๆ ของคิโนริเห็นเพียงแค่ความกลัวความเกรงใจอยู่ในดวงตาเหล่านั้นจนนึกว่าที่นี่เป็นคุกมากกว่าบ้านเสียด้วยซ้ำ
ซึฮากิ มังกี้และคิโนริออกไปเดินเล่นรอบ ๆ สำนักที่เหมือนบ้านพักขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำและสวนหินอยู่ตรงกลางของสำนัก
“เหมือนบ้านพักคนชราเลยนะครับ” ด้วยบรรยากาศเงียบสงบที่อยู่แล้วรู้สึกสงบจิตสงบใจและยังมีเผ่าจิ้งจอกจำนวนมากที่อายุไม่ใช่น้อย ๆ ก็เลยเหมือนบ้านพักคนชรา
“กล่าวทักทายเจ้าค่ะท่านมิโกะ” เมื่อเดินไปถึงลานฝึกก็เห็นศิษย์จำนวนหนึ่งกำลังซ้อมประลองกัน โดยมีหญิงสาวเผ่าเซนทอร์เดินเข้ามาทักทายเป็นอันดับแรกและตามมาด้วยศิษย์คนอื่น ๆ
“ถึงการประลองจะเละไม่เป็นท่าแต่พวกเจ้าก็แสดงฝีมือให้ได้เห็นแล้ว ปีหน้าข้าหวังว่าพวกเจ้าจะพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก”
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้นสายตาก็เหลือบมองพวกซึฮากิไปด้วย
“คนนี้คืออาจารย์ซึฮากิผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน แม้จะอยู่เลเวลเจ็ดแต่ไหวพริบและฝีมืออยู่ในระดับสูงเลยก็ว่าได้”
“ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกชื่อแบบนั้น”
“ก็ได้ ๆ ข้าจะเรียกแค่อาจารย์ซึฮากิจริง ๆ แล้ว”
แม้พวกศิษย์จะงง ๆ แต่พอเห็นท่าทางสบาย ๆ ของมิโกะทำให้รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่ ๆ
“ขอกล่าวทักทายท่านอาจารย์ซึฮากิ”
“สวัสดีครับ” ซึฮากิทักทายกลับพอเป็นพิธีจากนั้นพวกเขาก็เดินต่อไป
มิโกะพาเดินดูรอบ ๆ จนกลับมายังห้องต้อนรับแขกอีกครั้ง
“สดชื่นขึ้นไหม? สำนักของข้าอาจจะอยู่ไกลแต่แลกมากับความสงบเหมาะแก่การฝึกก็ถือว่าไม่เลวเลย”
“ที่พูดแบบนั้นคืออยากอวดสำนักตัวเองเหรอครับ?”
มิโกะถึงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำตอบที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา “ตอบได้แปลกใจเสียจริง ข้าก็แค่อยากรู้ทัศนคติเกี่ยวกับที่นี่เฉย ๆ แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้สนใจที่นี่เลยด้วยซ้ำ”
“พอดีว่ามีเรื่องให้สนใจเยอะเกินไป ผมก็เลยต้องตัดสิ่งที่อยู่ไกลตัวออกไปก่อน”
“อืม เป็นคำตอบที่ดี”
พวกเขาใช้ช่วงเวลาอันน้อยนิดนั่งพักผ่อนไปเรื่อยเปื่อยเหมือนได้ใช้เวลากับความคิดมากขึ้น ไม่นานนักซึฮากิก็เตรียมเดินทางกลับพร้อมกับมังกี้และคิโนริ
“ถ้าอายุครบสิบห้าเมื่อไรก็รีบพามาหาข้า แล้วเราก็จะได้รู้ว่าเจ้ามีสายเลือดนั้นหรือไม่” มิโกะลูบหัวคิโนริท่าทางเอ็นดูและยื่นขนมให้กินระหว่างทาง
“ขอบคุณค่ะท่านยายทวด” เธอพูดด้วยท่าทางเขินอายเพราะก่อนหน้านี้เธอพึ่งตะคอกเสียงดังไม่ไว้หน้าใคร
หลังจากกล่าวลาพวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางโดยเร็วเพื่อออกจากเขตป่าก่อนที่ฟ้าจะมืด
“พวกเขากลับไปแล้วหรือคะ?” หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกคนหนึ่งถาม
“ใช่” คำตอบสั้น ๆ ของมิโกะทำให้เหล่าหนุ่มสาวถอนหายใจโล่งอก
“พวกข้าเล่นได้สมบทบาทไหมครับ?” คินและจินถามพร้อมกัน
"สุดยอดไปเลยล่ะแต่ดูเหมือนจะเจ็บจริง ๆ สินะ"
“ครับ น้องเล็กของเราแข็งแกร่งกว่าที่คิดเล่นเอาข้ารู้สึกอิจฉาจริง ๆ นะครับเนี่ย”
บรรยากาศความน่าเกรงขามหายไปเหลือเพียงความรื่นรมย์ยิ้มสนุกที่ตนเองได้ทำอะไรแปลก ๆ อย่างการเล่นละครให้ซึฮากิเชื่อว่าเป็นแบบนั้น
“เจ้าอย่าได้เศร้าใจไปเลย” มีเพียงแค่ฟูมิที่นั่งซึมจนมิโกะต้องเข้ามาปลอบ ความรู้สึกเป็นห่วงลูกหลานของเธอเป็นของจริงที่ไม่ต้องการการแสดงใด ๆ แถมใบหน้าของคิโนริยังทำให้นึกถึงลูกสาวของตนเองอีกด้วย
“ตอนนั้นถ้าข้าหนักแน่นกว่านี้ก็คงไม่เสียไอไป”
มิโกะใช้หางทั้งแปดในการโอบไหล่ของฟูมิให้รู้สึกถึงความอบอุ่น
“ความรักมันก็แบบนี้แหละ ไอได้เลือกเส้นทางของตนเองไปแล้วเราก็แค่ยอมรับมัน”
“แล้วถ้าเกิดคิโนริเป็นอะไรไปเหมือนกับไอล่ะ?”
“ไม่หรอก เพราะผู้ชายคนนั้นไม่เหมือนกับคนรักของไอเลยแม้แต่น้อย คนรักของไอทั้งมีมารยาทและเอาใจเก่งแต่ก็เป็นแค่พ่อค้าที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่หลังจากได้ติดอยู่ในดันเจี้ยนกับอาจารย์ซึฮากิก็เลยรู้ว่าเขาไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน เพราะเขามีทั้งฝีมือและความหัวไวที่ข้าเองก็ยังแปลกใจ...ข้าเชื่อว่าอาจารย์ซึฮากิจะปกป้องคิโนริได้”
“ขอให้เป็นอย่างที่ยายพูดก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นก็มีพ่อหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก
“ไปหาอะไรกินกันเถอะครับ ที่กินตอนต้อนรับแขกมันไม่พอยาไส้พวกข้าเลย”
“เอาสิ” มิโกะลุกขึ้นและดึงมือฟูมิไปด้วยกัน
หลังจากแยกกันได้ไม่กี่ชั่วโมงพวกซึฮากิก็ไปถึงเขตเมืองที่เป็นอาณาเขตของสำนักเทวาคารประทับ
“พวกเขาก็ดูไม่แย่นะ...เจี๊ยก”
“อืม ถือว่าต้อนรับได้ดี...และจะดีกว่าถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรแปลก ๆ แบบนั้น”
“ทำอะไรแปลก ๆ เหรอ...เจี๊ยก”
“รู้ไหมว่าตอนที่พวกเขาทำเป็นตัวสั่นก็มีบางจังหวะที่หลุดยิ้มออกมาด้วย แถมมันยังเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกำลังกลั้นขำอีก”
“หมายความว่าพวกเขาตั้งใจจัดฉากให้ดูน่าเกรงขามสินะ...เจี๊ยก”
“ถูกต้อง...”
คิโนริดึงมือซึฮากิพาวิ่งไปหาร้านอาหารริมทาง
“อาหารพวกนั้นมันไม่พอยาไส้เลยค่ะ หนูอยากกินอะไรอีกสักหน่อย”
“อยากกินอะไรก็ซื้อได้เลยพี่จ่ายให้เอง” ซึฮากิเดินตามคิโนริต้อย ๆ อย่างกับพ่อที่ตามใจลูกทุกอย่าง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 149
แสดงความคิดเห็น