บทที่ 23: ข้าไม่ใช่นางรำที่ให้ความสำราญแก่ผู้อื่น
ตอนนี้ซือคงหรูหลางตระหนักได้ว่าเฟิ่งหวานหว่านนั้นไม่มีอะไรเทียบเท่าพี่สาวของนางได้เลยสักนิด เขาเริ่มรู้สึกสงสัยในตนเองว่าเหตุใดเขาถึงโง่งมจนเสียคู่หมั้นที่แสนงดงามผู้นี้ไปให้กับคนพิการอย่างจวินหรูเย่
ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกถึงสายตาน่ารังเกียจที่กำลังจ้องมองมาทางนาง จึงทำให้นางขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ขณะนั้นหญิงสาวหันมองหาต้นเหตุของความรู้สึกไม่ดี เพียงไม่กี่อึดใจนางก็พบกับสายตาซึ่งเผยให้เห็นถึงความเสียใจปนกับแววตากระหายอยากที่จะครอบครองตนของหนิงอ๋อง ไม่นานดวงตาคู่งามก็หรี่ลงพร้อมกับยิ้มมุมปากเย้ยหยันอีกฝ่าย
ชายผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง กล้ามองข้าด้วยสายตาน่ารังเกียจเช่นนั้นได้อย่างไร
เมื่อจวินหรูเย่รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของภรรยาสาว ดวงตาสีนิลก็มีประกายแสงเย็นเยียบจนทำให้ซือคงหรูหลางสั่นเทาประหนึ่งว่าตนหนาวเหน็บ
ฮึ!… ซือคงหรูหลางงั้นหรือ?
ชายหนุ่มพ่นลมอย่างเย็นชาพร้อมกับแสยะยิ้มราวกับปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรกเพื่อพรากชีวิตของศัตรู
ในงานเลี้ยงวันนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและพระชายาของเขา ดังนั้นเหล่าแขกทั้งหลายจึงสังเกตเห็นถึงท่าทางของคนทั้ง 3 ได้อย่างชัดเจน
ครั้นพอคนในงานเห็นรอยยิ้มของจวินหรูเย่ก็รู้สึกขนหัวลุกเหมือนกับว่าพวกตนกำลังเผชิญหน้ากับอสูรร้ายจนร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เพราะความหวาดกลัว
และแน่นอนว่าฉากดังกล่าวก็ตกไปอยู่ในสายตาของเฟิ่งหวานหว่านกับฮองเฮาด้วยเช่นกัน ทำให้ความเกลียดชังที่พวกนางมีต่อเฟิ่งมู่ชิงเพิ่มขึ้นไปอีก
นังจิ้งจอก!
ทั้งที่ผู้สำเร็จราชการฯ ก็นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่นางก็ยังมิวายยั่วยวนหนิงอ๋อง!
ในขณะที่ฮองเฮากำลังจะอ้าปากพูดอะไรก็ถูกซือคงหรูซวนเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน เขาเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดในทันที
“วันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฮองเฮา เราหวังว่าทุกท่านจะสนุกสนานไปกับการกินดื่มร้องรำทำเพลง”
เวลาเดียวกันนั้น ฮองเฮาที่ถูกฮ่องเต้ขัดจังหวะก็รู้สึกไม่พอใจมากและคิดจะเอ่ยแย้ง แต่เมื่อมองไปยังผู้เป็นพระสวามี พระนางก็สบเข้ากับสายตาดุดันของเขา นางจึงตัวแข็งค้างก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ผู้อยู่เหนือหัวกล่าวจบ ทุกคนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร พวกเขาต่างยกจอกสุราชนกันพร้อมเพลิดเพลินไปกับการขับร้องและร่ายรำของสาวงาม
ระหว่างงานเลี้ยงเฟิ่งหวานหว่านสังเกตเห็นว่าสายตาของซือคงหรูหลางมองไปที่เฟิ่งมู่ชิงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งมันทำให้นางกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
เป็นเพราะนังคนอัปลักษณ์ผู้นั้น! พี่หรูหลางถึงกับมองข้ามผู้สำเร็จราชการฯ ไปเลยด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้นเอง คุณหนูรองเฟิ่งก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ใจกลางศาลา ก่อนจะโน้มตัวลงถวายความเคารพประมุขของแผ่นดินแล้วพูดขึ้นว่า
“กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันเฟิ่งหวานหว่านขอถวายพระพรฮองเฮา ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงและมีพระชนมายุยืนยาวเพคะ วันนี้หม่อมฉันยังได้เตรียมการแสดงมาเพื่อฮองเฮาโดยเฉพาะ ดังนั้นหม่อมฉันขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตแสดงการร่ายรำให้พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรนะเพคะ ”
“ได้ เราอนุญาต”
เฟิ่งหวานหว่านที่ได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังหลบฉากออกไปเพื่อเปลี่ยนชุดการแสดงสำหรับการร่ายรำโดยเฉพาะ หลังจากนั้นไม่นานนางก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีอีกครั้ง
ชุดผ้าโปร่งสีชมพูดอกบัวแขนกว้างดูเบาบางที่เย็บอย่างประณีตถูกคาดด้วยผ้าสีแดงรอบเอวเผยให้เห็นสัดส่วนของเจ้าตัวอย่างชัดเจน ใบหน้านวลผ่องที่เข้าคู่กับมวยผมงดงามบนศีรษะของนาง ทำให้นางเหมือนดั่งเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์
ยามนี้เฟิ่งหวานหว่านขยับกายไปตามเสียงบรรเลงเพลงอันไพเราะของฉินที่ล่องลอยออกมาจากปลายนิ้วของนักดนตรี ในระหว่างการร่ายรำบางจังหวะนางก็มองไปรอบ ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน บางคราวก็กระโดดไปข้างหน้าราวกับนกที่กำลังจะโผบิน
ต้องบอกว่าคุณหนูรองเฟิ่งผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านการร่ายรำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจวนมหาเสนาบดีนั้นทุ่มเทการดูแลทั้งหมดให้กับนางมากเพียงใด
เวลาไม่นานเสียงดนตรีก็หยุดลงเพื่อบ่งบอกผู้คนให้รับรู้ว่าการแสดงจบลงแล้ว หลังจากนั้นเสียงปรบมือชื่นชมก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ บ่งบอกว่านางยังคงพอมีทักษะอยู่บ้าง
ขณะนี้หญิงสาวในชุดผ้าโปร่งสีชมพูขโมยสายตาของหนิงอ๋องให้มองมายังตนได้สำเร็จ และเมื่อนางเห็นถึงความประหลาดใจที่ฉายในดวงตาของเขา นางก็ยิ้มอย่างสงวนท่าที จากนั้นจึงมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ แต่พอเห็นท่าทางที่ไม่สนใจของอีกฝ่าย นางก็รู้สึกโกรธทันที และทันใดนั้นก็มีความคิดชั่วร้ายแล่นเข้ามาในหัวของนาง
“เนื่องจากวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์ฮองเฮา เหตุใดพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ถึงไม่ร่ายรำเพื่อถวายให้แก่องค์ฮองเฮาเสียหน่อยเล่า?” เฟิ่งหวานหว่านเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางจ้องมองไปยังพี่สาวนอกไส้ของนางด้วยท่าทางยั่วยุ
พี่หรูหลางจะต้องเป็นของข้าเท่านั้น!
ในตอนที่เฟิ่งมู่ชิงอาศัยอยู่ในจวนมหาเสนาบดี นางก็ถูกละเลยมาตลอด 15 ปี แล้วนางจะรู้จักการแสดงชั้นสูงเหล่านี้ได้อย่างไร เป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แล้วอย่างไรกัน ท้ายที่สุดแล้วในวันนี้สตรีอัปลักษณ์ต้องกลายเป็นตัวตลกที่สร้างความขบขันให้กับผู้คนแน่นอน
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงที่คอยสังเกตสถานการณ์ตรงหน้าย่อมไม่พลาดสายตายั่วยุของอีกฝ่าย ซึ่งมันทำให้นางอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้จำการต่อสู้ในครั้งก่อนไม่ได้แล้วจริง ๆ แถมยังกล้าท้าทายตนเองอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่กลัวการพ่ายแพ้อีกด้วย
บัดนี้สตรีทั้งสองมองหยั่งเชิงกันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นหญิงสาวผู้เป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ก็เอ่ยปฏิเสธอีกฝ่าย “ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่นางรำที่จะต้องมาให้ความสำราญแก่ผู้อื่น”
ครั้นเฟิ่งหวานหว่านได้ยินคำดูถูกเหยียดหยามจากสตรีที่ตนหวังจะหักหน้า นางก็โกรธจนตัวสั่น
นี่มิเท่ากับว่านางเปรียบเทียบข้าว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำที่ต้องมาคอยให้ความสำราญแก่ผู้อื่นหรอกหรือ?
ด้านฮองเฮาที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็มองไปยังเฟิ่งมู่ชิงก่อนจะหันไปมองที่เฟิ่งหวานหว่าน ทำให้พระนางเข้าใจได้ในทันทีว่าสตรีทั้งสองไม่ถูกกัน ดังนั้นพระนางจึงพูดขึ้นเพื่อช่วยคุณหนูรองตระกูลเฟิ่ง “วังหลังแห่งนี้ยังไม่คู่ควรให้พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แสดงฝีมือเช่นนั้นหรือ?”
เดิมทีฮองเฮาเคยได้ยินเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างซือคงหรูหลางและเฟิ่งหวานหว่าน แต่ช่วยไม่ได้ที่พระนางจะเกลียดเฟิ่งมู่ชิงมากกว่า เพราะในความคิดของพระนาง เฟิ่งหวานหว่านนั้นจัดการได้ง่ายกว่ามาก
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นว่าสตรีทั้งสองดูเข้ากันมากเหลือเกินก็เหลือบมองไปยังพวกนางด้วยสายตาเย็นชา นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงสองคนนี้จะมีความเกลียดชังต่อตนเองเหมือนกันขนาดนั้น
ไม่ใช่ว่าเฟิ่งหวานหว่านมีความสนิทสนมกับซือคงหรูหลางมากหรอกหรือ? อีกทั้งชายคนนั้นยังเอ่ยปากออกมาเองว่าคุณหนูรองเฟิ่งคือว่าที่พระชายาของเขา แล้วเหตุใดฮองเฮาผู้นี้ถึงเข้าข้างสตรีน่าชัง ซ้ำยังมุ่งเป้ามาที่ตนอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่นางอยู่ในฐานะพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ การเล่นงานนางจะมีประโยชน์อะไร?
แต่ถึงกระนั้น วันนี้ทั้งคู่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเห็นนางอับอายขายหน้า ดังนั้นนางจะทำให้คนพวกนั้นผิดหวังได้อย่างไร
ต่อมา เฟิ่งมู่งชิงหันไปมองจวินหรูเย่ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งในสายตาของคนนอกเห็นว่าทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรักใคร่
“หรูเย่ ท่านอยากให้ข้าแสดงฝีมือให้ท่านดูหรือไม่?” เสียงหวานเอ่ยถามผู้เป็นสามี แล้วจวินหรูเย่ก็ตอบเอาอกเอาใจพระชายาของตน
“เจ้าทำทุกอย่างได้ตามที่เจ้าต้องการเลยชิงชิง”
ในตอนนั้นเอง แขกในงานต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเฟิ่งมู่ชิงเอ่ยนามของผู้สำเร็จราชการฯ แบบสนิทสนม อีกทั้งฝั่งชายหนุ่มก็เรียกนางด้วยความเสน่หา ดูเหมือนว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจะทรงเป็นที่โปรดปรานมาก
ครั้นซือคงหรูซวนซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ในงานมองไปยังคู่สามีภรรยาที่กำลังคุยกันอย่างหวานชื่นก็กำหมัดแน่น
เดิมทีเขาต้องการใช้ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ของสตรีอัปลักษณ์เพื่อทำให้จวินหรูเย่อับอาย แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตร และดูเหมือนว่าแผนการของเขาจะกลายเป็นเอื้อประโยชน์ให้กับอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น
“เอาล่ะ! เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแสดงฝีมือของข้าให้ทุกคนได้เห็น”
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงพูดจบ นางก็ยืนขึ้นก่อนจะเดินไปหาเฟิ่งหวานหว่านที่อยู่กลางศาลา จากนั้นจึงพูดกับอีกฝ่ายว่า “ในเมื่อคุณหนูรองเฟิ่งรบเร้าข้าถึงเพียงนี้ ฉะนั้นเรามาประชันกันดีหรือไม่?”
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านได้ยินดังกล่าว นางก็หัวเราะเบา ๆ คนอื่นอาจจะไม่ทราบ แต่นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเฟิ่งมู่ชิงเป็นคนโง่ที่ไร้ประโยชน์ แต่เนื่องจากหญิงหน้าตาน่าเกลียดผู้นี้ต้องการที่จะทำให้ตนเองอับอายต่อหน้าประชาชี งั้นนางก็จะทำตามความปรารถนาของอีกคนเอง
“ได้ เช่นนั้นเราจะประชันกันอย่างไรดี?” คุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งเชิดหน้าขึ้น สีหน้าของนางในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่จะชนะฝ่ายตรงข้าม
“ข้าจะบรรเลงเพลง ส่วนเจ้าก็ร่ายรำ ผู้ที่ชนะหรือแพ้จะถูกตัดสินโดยทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้”
“ตกลง” เฟิ่งหวานหว่านตอบตกลงทันทีพร้อมกับมีสีหน้าทะนงตน
แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นสตรีที่ร่ายรำเก่งที่สุดในแผ่นดิน แต่ทักษะการร่ายรำของนางก็ได้รับการสั่งสอนโดยคนในกองสังคีตของวังหลวง นางจึงมั่นใจในทักษะการร่ายรำของตัวเองมาก
จากนั้นเฟิ่งมู่ชิงจึงเดินไปยังฉินที่มีคนยกมาตั้งไว้กลางศาลา นางค่อย ๆ แตะสายฉินบนโต๊ะเพื่อลองไล่เสียง ก่อนจะมองไปยังเฟิ่งหวานหว่านด้วยสายตายั่วยุ
ไม่กี่อึดใจต่อมา นิ้วเรียวเล็กที่บอบบางก็ดีดฉินเบา ๆ ทำให้เสียงของดนตรีลอยเข้าไปกระทบจิตใจของผู้ฟังที่อยู่บริเวณนั้น
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มบรรเลงเพลง นางก็ต้องตกตะลึง
ผู้หญิงคนนี้เล่นฉินได้ด้วยหรือ!?
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เฟิ่งหวานหว่านก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มขยับตัวไปตามเสียงดนตรี เสียงฉินที่นุ่มนวลบรรเลงด้วยจังหวะเชื่องช้าพร้อมกับการร่ายรำของหญิงสาวในชุดสีชมพูที่ดูนุ่มนวลและสง่างาม หากมองในแวบแรกจะดูเหมือนว่าการแสดงของคนทั้งสองดูกลมกลืนกันเป็นอย่างมาก
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เสียงดนตรีก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น อีกทั้งยังฟังดูหนักหน่วงและเต็มไปด้วยไอสังหาร จนทำให้เฟิ่งหวานหว่านหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะกัดฟันเร่งการเคลื่อนไหวของตนเพื่อตามให้ทัน
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่นิ้วเรียวขยับให้เร็วขึ้นอีก ซึ่งเฟิ่งหวานหว่านไม่มีเวลาที่จะหยุดคิด และพอดนตรีถูกเร่งจังหวะให้เร็วถึงขีดสุด สตรีที่กำลังร่ายรำก็เร่งจังหวะการเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ไม่นานนักผู้ที่ทำการร่ายรำก็พลาดสะดุดเท้าของตัวเองโดยไม่ตั้งใจจนล้มลงกับพื้น
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เฟิ่งมู่ชิงได้รับผลกระทบอะไรเลย นางยังคงเล่นฉินต่อไป และจากนั้นไม่นานจังหวะดนตรีที่เคยเร็วก็เริ่มช้าลงก่อนจะหยุดลงในที่สุด
“เยี่ยมมาก!”
เมื่อสิ้นสุดการแสดง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณราวกับว่ามันกำลังตบไปที่ใบหน้าของเฟิ่งหวานหว่าน
ฝั่งจวินหรูเย่ที่คอยเฝ้ามองจากด้านข้างก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า อีกทั้งท่าทางของเขาก็ดูภูมิใจในภรรยาของตนเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงก็หันไปสบตากับผู้เป็นสามีโดยไม่ตั้งใจ ทำให้คนทั้งสองต่างก็มองหน้ากันพร้อมกับส่งยิ้มให้แก่กัน
“พระองค์ทรงพอพระทัยกับบทเพลงนี้หรือไม่เพคะ?” หญิงสาวพูดกับฮองเฮาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หากแต่มีการเสียดสีฉายในดวงตาของนางอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นพอฮองเฮาเห็นท่าทียั่วยุของสตรีที่ตนเกลียดก็สูดจมูกพร้อมกับอดกลั้นอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นในอก ก่อนจะจ้องมองไปที่เฟิ่งหวานหว่านด้วยสายตาไร้ความปรานี
สตรีผู้นี้ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก เหตุใดนางถึงเป็นที่รู้จักในฐานะสตรีที่มีพรสวรรค์ที่สุดในเมืองหลวง?
คุณหนูรองตระกูลเฟิ่งผู้ซึ่งถูกดูถูกเหยียดหยามนั้นตกอยู่ในอาการตะลึงงันตั้งแต่จบการแสดง ตอนนี้นางไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองได้
เฟิ่งมู่ชิงรู้วิธีบรรเลงฉินได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าในขณะที่อยู่ในเป่ยหยวนนางต้องทำงานอย่างหนักหรอกหรือ เช่นนั้นแล้วนางจะเอาเวลาที่ไหนไปเล่าเรียน?
ส่วนแขกเหรื่อที่ได้ชมการแสดงอันยอดเยี่ยมของเฟิ่งมู่ชิงต่างก็ส่ายหน้าเบา ๆ พลางถอนหายใจ
เป็นไปตามคาด ข่าวลือนั้นไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด แท้จริงแล้วพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์
ยามนี้เมื่อทุกคนนึกถึงหน้ากากอันวิจิตรงดงามที่ปิดบังร่องรอยอันน่าเกลียดบนใบหน้าของหญิงสาวก็ได้แต่รู้สึกเสียดาย พวกเขาคิดว่าถ้าหากนางไม่มีตำหนิเช่นนั้น นางคงเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเสียยิ่งกว่าเฟิ่งหวานหว่านเป็นแน่
ในเวลาเดียวกัน สายตาของเฟิ่งเทียนหลิงฉายแววคลุมเครืออยู่ชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานเขาก็สงบลง
สตรีนางนี้ถูกละเลยมานานกว่า 15 ปีแล้ว เหตุใดตอนนี้นางถึงดูเฉลียวฉลาดนัก แล้วท่าทางไร้ความสามารถของนางก่อนหน้านี้คืออะไร?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 175
แสดงความคิดเห็น