บทที่ 9: ข้าเชื่อชิงชิง
ครั้นจวินหรูเย่ที่นั่งทำงานอยู่ในห้องเก็บตำรารู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง เขาก็มองไปยังทิศทางห้องของเฟิ่งมู่ชิง พร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มด้วยความพอใจ
ดูเหมือนว่าพิษในร่างกายของนางจะถูกขจัดไปจนสิ้นแล้ว
ดีจริง ๆ !
…
วันรุ่งขึ้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปนั่งรอที่หน้าประตูห้องของหญิงสาวตั้งแต่เช้า ในขณะที่เขาคอยชะเง้อคอมองไปยังประตูที่ปิดสนิทอย่างใจจดใจจ่อ
แอ๊ด—
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหว ตัวเขาและเหล่าทหารต่างก็จับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออกช้า ๆ
ทันใดนั้นดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ พร้อมกับที่สายตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจต่อสิ่งที่ได้พบ
ภาพเบื้องหน้าคือผ้าสีแดงเพลิงพลิ้วไหวทำให้ดอกไม้ที่ปักอยู่ชายกระโปรงเคลื่อนไหวคล้ายกำลังลู่ลม อีกทั้งผ้าผูกผมสีแดงสดปลิวไสวเคล้าคลอกับเส้นผมที่เงางามดุจเส้นไหม
ฮวาเตี้ยน*ลวดลายดอกปี่อั้น**ที่อยู่กลางหน้าผากมนนั้นดูสมจริงมาก มันช่วยขับผิวของนางให้ดูเปล่งปลั่ง นอกจากนี้คิ้วใบหลิวและจมูกที่สวยงามจับคู่กับริมฝีปากสีแดงเข้มยิ่งทำให้นางเปรียบเสมือนเทพธิดาตัวน้อยที่แสนเย้ายวน
*ฮวาเตี้ยน หมายถึง การวาดกลีบดอกไม้บนหน้าผาก
**ดอกปี่อั้น คือ ดอกพลับพลึงแดง
นี่คือ… พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ผู้ที่เป็นนายหญิงของพวกเราจริง ๆ งั้นหรือ?
และด้วยรัศมีอันโดดเด่นที่เปล่งออกมาจากตัวของเฟิ่งมู่ชิงทำให้ผู้คนเพิกเฉยต่อรูปร่างอันผอมบางของนาง
ขณะนั้นโม่อิ๋งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลก็มองสลับไปมาระหว่างผู้เป็นนายและนายหญิงของตน เขารู้สึกว่าทั้งสองช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก
ในเวลาเดียวกัน จวินหรูเย่ก็จ้องมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาตะลึงงัน ความงามอันน่าทึ่งของนางทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ และพอหญิงสาวเห็นอาการของชายตรงหน้า นางก็เผยรอยยิ้มสดใสจนส่งผลให้ชายหนุ่มตกอยู่ในความมึนงงทันที
“นี่!? พระองค์เป็นอะไรไป?”
เฟิ่งมู่ชิงโบกมือไปมาอยู่ข้างหน้าคนที่นั่งบนรถเข็นเพื่อเรียกสติเขาพลางมองอีกฝ่ายอย่างตลกขบขัน
ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะมีด้านที่น่ารักเช่นนี้ด้วย
ปรากฏว่าข่าวลือที่นางได้ฟังมาทั้งหมดล้วนไม่เป็นจริง ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่มักใช้วิธีการอันเหี้ยมโหดและเฉียบขาดในการกำจัดศัตรู เทพแห่งความตายผู้เด็ดเดี่ยวนั้นเป็นคนคนเดียวกับชายทึ่มทื่อที่อยู่ตรงหน้านางจริง ๆ งั้นหรือ?
ครั้นพอจวินหรูเย่ได้ยินเสียงหวานของหญิงสาว เขาก็พลันได้สติก่อนที่จะเริ่มรู้สึกเขินอาย
ชายหนุ่มกระแอมไอเล็กน้อยเพื่อปกปิดอาการขวยเขิน จากนั้นเขาก็หยิบสิ่งที่นางต้องการก่อนหน้านี้ออกมาจากแขนเสื้อของตน “นี่คือหน้ากากที่เจ้าต้องการ”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย นางก็หยิบมันมาพลางกวาดสายตามองสำรวจหน้ากากอย่างละเอียดแล้วจึงยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
ต่อมา นางยกหน้ากากขึ้นมาสวมใส่โดยตรงทำให้ใบหน้าที่งดงามถูกบดบังในทันที
หน้ากากสีทองครึ่งหน้าผสมผสานกับลวดลายดอกปี่อั้นที่ดูเสมือนจริง เมื่อถูกจับคู่กับชุดสีแดงเพลิงที่สวมใส่มันยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์อันลึกลับให้แก่นาง
“หม่อมฉันดูเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
เฟิ่งมู่ชิงถามพลางยืนประสานมือเล็ก ๆ ของนางไว้ด้านหลังก่อนจะเชิดหน้าสูงขึ้น และทันใดนั้นรัศมีแห่งความเย่อหยิ่งก็แผ่ออกมาซึ่งทำให้นางเปรียบดั่งจักรพรรดินีที่ดูแคลนวีรบุรุษทั้งปวง
“งดงามมาก”
จวินหรูเย่มองดูหญิงสาวที่เปล่งประกายด้วยความชื่นชมในขณะที่เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
นี่คงจะเป็นตัวตนจริง ๆ ของนางสินะ
สตรีผู้มีความงามล่มเมือง เทพธิดาจากสวรรค์ชั้นฟ้า คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลยสำหรับนาง
หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงล้างพิษออกหมดแล้ว นางก็รู้สึกสบายตัวมากขึ้น เป็นเพราะการฝึกฝนเมื่อคืนทำให้นางสามารถทะลุผ่านขอบเขตกลั่นลมปราณ 7 ขั้นในคราวเดียว โดยเหลือเพียงอีกขั้นเดียวเท่านั้นนางก็จะเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน
ตามที่คาดไว้ นางยังคงเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้!
“นี่คือยาของพระองค์เพคะ” หญิงสาวหยิบขวดหยกสีขาวออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะส่งมันให้กับจวินหรูเย่
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ยื่นมือออกไปรับทันที เขาเทยาออกมาแล้วกลืนมันลงคอโดยไม่มีท่าทีลังเลใจเลยสักนิด
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อใจนางอย่างเต็มที่ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “ไม่กลัวว่าหม่อมฉันจะวางยาพิษพระองค์หรือเพคะ?”
“ข้าเชื่อใจชิงชิง”
จวินหรูเย่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงพร้อมกับสบตาพระชายาของตนด้วยท่าทีที่ดูสงบนิ่ง ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ
“เอ่อ… วันนี้หม่อมฉันอยากยืมใช้ห้องเก็บตำราของพระองค์ได้หรือไม่?”
เฟิ่งมู่ชิงเป็นคนแรกที่เอ่ยออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่อธิบายไม่ได้ นางรู้สึกว่าในตอนนี้หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก
ครั้นจวินหรูเย่พยักหน้าอนุญาต หญิงสาวก็รีบเดินผ่านเขาตรงไปยังห้องเก็บตำราทันที
ทางด้านชายหนุ่มเฝ้ามองแผ่นหลังของนางที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตา จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาวางไว้ที่บริเวณหน้าอกของตัวเอง ซึ่งมันทำให้เขารับรู้ได้ว่าหัวใจของตนเต้นเร็วมากแค่ไหน เขาหยุดครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะหันไปสั่งคนสนิทของตน
“โม่อิ๋ง เรียกโม่เยว่กลับมา”
“ขอรับ”
ในตอนนี้โม่อิ๋งรู้สึกประหลาดใจมาก แม้แต่ ‘โม่เยว่’ ก็ถูกเรียกตัวกลับมาด้วย ดูเหมือนว่านายท่านของเขาจะปฏิบัติต่อพระชายาแตกต่างออกไป
…
ห้องเก็บตำราของจวินหรูเย่ควรค่าแก่การเรียกว่าห้องเก็บตำราจริง ๆ นอกจากโต๊ะ 1 ตัวแล้ว พื้นที่ที่เหลือก็เป็นชั้นวางที่เต็มไปด้วยตำรา มันอัดแน่นจนไม่มีชั้นใดว่างเลย และเมื่อนางเปิดประตูเข้าไปข้างใน กลิ่นหอมของกระดาษและหมึกก็พุ่งเข้ามายังปลายจมูกของนาง
ในห้องแห่งนี้นางพบตำราเกี่ยวกับการฝึกฝนพลังวิญญาณเบื้องต้นและศิลปะการต่อสู้มากมาย ทำให้ปัจจุบันทั้งห้องมีแต่เสียงของนางที่ค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษ
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงรู้สึกตัว นางก็พบว่าตนอยู่ในห้องเก็บตำรามาเป็นเวลาหลายชั่วยามแล้ว นางจึงยืดเส้นสายก่อนจะทุบไหล่ที่เจ็บจากการนั่งอ่านตำรามาเป็นเวลานานเบา ๆ
กระดูกของร่างกายนี้ช่างอ่อนแอเสียจริง
ทันทีที่นางหันไปอีกทาง นางก็พบว่าจวินหรูเย่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ พลางทำงานของตัวเองเงียบ ๆ ซึ่งท่าทีที่ดูสง่างามแม้กระทั่งยามทำงานมันชวนให้หญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องราวในวันก่อน
จวินหรูเย่คือเทพสงครามของเป่ยอี้ ในสนามรบเขาไม่เคยเกรงกลัวใครแล้วไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครมาก่อน
เป็นเพราะเหตุนี้ซือคงหรูซวนจึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ผู้นั้นแทบจะรอให้เขาดับดิ้นไม่ไหว แต่กลับไม่กล้าลงมือเล่นงานเขาโดยตรง ซึ่งนี่ถือว่าอีกฝ่ายค่อนข้างขี้ขลาด
ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าคนแบบนั้นขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าอดีตฮ่องเต้จะตาบอด?
“พระองค์มาตั้งแต่เมื่อใดเพคะ?”
ในตอนที่จวินหรูเย่เข้ามานางไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด ตอนนี้เฟิ่งมู่ชิงเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของชายคนนี้แล้ว
หรือเป็นเพราะร่างกายของนางยังไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ มันจึงทำให้การรับรู้ของนางเสื่อมถอย หากเป็นเช่นนี้นางคงทำได้เพียงค่อย ๆ ฝึกไปทีละขั้นเท่านั้น
แต่การเปลี่ยนจากสิ่งที่เรียกว่าคนไร้ประโยชน์ไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ภายในคืนเดียวนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างพิเศษเลยทีเดียว
เฟิ่งมู่ชิงเชื่อว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน หากนางนำวิชาที่เคยเล่าเรียนในชีวิตก่อนมาผสมผสานเข้ากับบทเรียนที่ศึกษา นางจะสามารถก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดอีกครั้งได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่นานหลังจากเจ้าเข้ามา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าจะไม่สังเกตเห็นข้า เพราะเจ้าดูจริงจังกับการอ่านตำรามาก”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินดังนั้นก็คิดตามอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมาฟังดูสมเหตุสมผล นางจึงหันไปสนใจเรื่องอื่นแล้วถามว่า
“ที่นี่มีตำราวิชายุทธที่หม่อมฉันสามารถเรียนรู้ได้บ้างหรือไม่?”
จวินหรูเย่พยักหน้าก่อนจะชี้ไปยังชั้นตำราที่ 2 จากทางซ้ายที่อยู่ด้านหลังของนาง “ตำราวิชายุทธทั้งหมดอยู่ที่นั่น แม้ว่ามันจะไม่ใช่ตำราวิชายุทธระดับสูง แต่ก็ถือว่าเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้น”
เฟิ่งมู่ชิงไม่รอช้า นางเดินไปยังชั้นตำราที่เก็บตำราวิชายุทธที่อีกฝ่ายพูดถึง นางเลือกหยิบตำราวิชายุทธขึ้นมา 1 เล่มก่อนจะพลิกดูรายละเอียดข้างใน
เพลิงกัมปนาท…
ชื่อนี้ฟังดูค่อนข้างจะตรงไปตรงมา
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับพลังวิญญาณบ้างหรือไม่?” ชายบนรถเข็นที่ขยับเข้ามาใกล้นางตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอ่ยถามขึ้น
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อยแต่จู่ ๆ ก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ
หากจะเรียกให้ถูกก็คือนางมีความเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น
ถึงวิธีการฝึกฝนจะดูเหมือนกับโลกก่อนของนาง แต่มันก็มีความแตกต่างบางอย่างอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อจวินหรูเย่เห็นท่าทางของอีกคน เขาก็เข้าใจทันทีว่านางไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตอนที่นางอาศัยอยู่ในเป่ยหยวนคงไม่มีใครให้ความรู้แก่นาง อีกทั้งนางยังถูกคนอื่นรังแกอยู่ตลอดเวลาด้วย
ในแต่ละวันนางต้องคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เพียงแค่นั้นก็คงจะทำให้เวลาและพลังของนางหมดลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังวิญญาณเหล่านี้เลย
แม้ว่าดินแดนซิงหยุนจะมีรากวิญญาณหลัก ๆ คือธาตุ โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ และดิน แต่ก็ยังมีรากวิญญาณพิเศษเช่นลมกับสายฟ้าอีกด้วย และรากวิญญาณที่สอดคล้องกันจะมีวิชายุทธที่สอดคล้องกัน ซึ่งวิชายุทธแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ สวรรค์, ปฐพี, นภา และธุลี
โดยระดับธุลีคือวิชาระดับเริ่มต้นและวิชายุทธระดับสวรรค์เป็นวิชาที่หายากที่สุด ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงส่วนใหญ่จึงถูกครอบครองโดยกองกำลังที่ทรงพลัง
ตัวอย่างเช่น มีเพียงสำนักศึกษาเทียนฝู่เท่านั้นที่มีวิชายุทธระดับสวรรค์ แม้แต่ในราชวงศ์ก็มีตำราฉบับคัดลอกมากที่สุดเพียง 1 หรือ 2 ชุด นี่แสดงให้เห็นว่าวิชายุทธระดับสวรรค์นั้นหายากเพียงใด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ามีรากวิญญาณอะไร?” จวินหรูเย่ถามคนตรงหน้าอีกครั้ง
เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
เนื่องจากความสามารถในการตระหนักรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ของนางค่อนข้างแข็งแกร่งทำให้พลังทางจิตของนางไม่ได้อ่อนแอ ดังนั้นในตอนที่หญิงสาวชำระล้างพิษออกจากร่างกาย นางได้ตรวจดูภายในจุดตันเถียนของตัวเองแล้ว
“หม่อมฉันสามารถอ่านตำราทั้งหมดนี้ได้หรือไม่เพคะ?”
“เจ้าคือพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ฉะนั้นแล้วเจ้าย่อมสามารถใช้ทุกสิ่งในจวนนี้ได้”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มตอบ นางก็มีความสุขมาก
นางไม่คิดว่าเขาจะใจกว้างมากขนาดนี้ พอคิดได้เช่นนั้นนางรู้สึกว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนความใจดีของอีกฝ่าย
“พระองค์ไม่ต้องกังวล จากนี้ไปหม่อมฉันจะปกป้องพระองค์เอง!”
สักวันหนึ่งนางจะกลับไปแข็งแกร่งเฉกเช่นชีวิตก่อน และเมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะคอยปกป้องจวินหรูเย่ให้มากขึ้นเพื่อตอบแทนที่เขาทำดีกับตน
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงหยุดพูดแล้วดำดิ่งลงไปในตำราวิชายุทธ
ปรากฏว่าร่างกายของนางไม่เพียงแค่มีรากวิญญาณถึง 7 รากเท่านั้น แต่ยังมีพลังฮุ่นตุ้นอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะนางล้างพิษในร่างนี้ ใครจะคาดคิดว่ามวลก้อนสีขาวในตันเถียนนั่นคือพลังฮุ่นตุ้น
และด้วยพลังฮุ่นตุ้นดังกล่าวจึงทำให้ร่างเดิมยังคงมีชีวิตอยู่ทั้งที่ถูกวางยาพิษมานานกว่า 10 ปี
ขณะที่เฟิ่งมู่ชิงอ่านเนื้อหาของตำราวิชายุทธ ภายในหัวนางก็จำลองการเคลื่อนไหวเพื่อฝึกฝนไปด้วย นางใช้เวลาอ่านตำราครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่มีไปถึงครึ่งวันราวกับคนที่กระหายน้ำได้พบกับบ่อน้ำกลางทะเลทราย
ระหว่างนั้นจวินหรูเย่ก็เหลือบมองหญิงสาวเป็นครั้งคราว แล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีตอบสนองใด ๆ
นางมีสมาธิสูงมากจริง ๆ นางต้องกระตือรือร้นเพียงใดเพื่อที่จะได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง
ปัจจุบันแสงระเรื่อของดวงอาทิตย์ส่องลอดหน้าต่างที่เปิดอยู่สะท้อนลงบนใบหน้าของเฟิ่งมู่ชิง ผิวขาวไร้ที่ติราวกับหยกนั้นถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง ทำให้นางดูสูงส่งและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
แม้แต่รัศมีอันลึกลับที่แผ่ออกมาจากหน้ากากในตอนแรกก็ยังดูอ่อนลงเล็กน้อย
เมื่อจวินหรูเย่เห็นภาพนั้นก็ทำให้เขารู้สึกสั่นไหวในใจ
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: จังหวะตกหลุมรักเป็นอย่างนี้~ มีการเปลี่ยนวิธีการเรียกด้วยจ้า
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 338
ความคิดเห็น
สนุกกว่าหูเจียวๆอีก
หูย ใจฟูสุด ๆ ขอบคุณมากค่า
แสดงความคิดเห็น