บทที่ 5: ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอ
แม้ว่าลายมือของเฟิ่งมู่ชิงอาจไม่ได้ชดช้อยเหมือนกับสตรีผู้อื่น แต่ตัวอักษรที่นางเขียนลงบนแผ่นกระดาษกลับดูแปลกตาไม่เหมือนใครทว่ายังคงดูสง่างาม
ดั่งคำที่ว่าตัวอักษรนั้นสะท้อนถึงอุปนิสัยของผู้เขียน ซึ่งตัวนางเองก็ดูเป็นผู้หญิงที่ลึกลับซับซ้อนน่าค้นหา
เวลาต่อมา จวินหรูเย่ไล่สายตาอ่านรายชื่อสมุนไพรที่หญิงสาวเขียนลงในกระดาษแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
ดอกสันตินิรันดร์กาล? หญ้ามังกรจำแลง?
สิ่งที่เขียนในเทียบยานี้เป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาพิษอย่างนั้นหรือ?
“สมุนไพรที่หม่อมฉันเขียนอยู่ในนั้นเป็นสมุนไพรที่มีคนรู้จักน้อยนัก เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดหรือหาตัวยามาผิด พระองค์ให้คนนำกระดาษมาให้หม่อมฉันเพิ่มอีกสักหน่อยเถิดเพคะ แล้วหม่อมฉันจะวาดภาพให้” เฟิ่งมู่ชิงกล่าว
“ได้”
ชายหนุ่มเอ่ยปากรับคำก่อนจะส่งเทียบยาให้คนสนิทของตนพร้อมกับสั่งให้เขาไปจัดการตามคำขอของอีกฝ่าย
ทางด้านโม่อิ๋งรับแผ่นกระดาษมาเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ในขณะเดียวกันนั้น แววตาที่เหลือบมองภรรยาของเจ้านายที่เพิ่งแต่งเข้ามาก็เผยให้เห็นถึงความซาบซึ้ง ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกจากห้องไปจัดการตามคำสั่งของเจ้านาย ไม่นานกระดาษเนื้อดีจำนวนมากก็ถูกส่งมาให้หญิงสาว
ที่ผ่านมาผู้เป็นนายของเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะพิษร้ายแรงชนิดนี้มาเป็นเวลากว่า 5 ปี ในที่สุดมันก็มีหนทางที่จะทำให้นายท่านได้ฟื้นพลังกลับคืนมาอีกครั้ง แล้วแบบนี้เขาจะไม่ตั้งตาคอยได้อย่างไร
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลอีก ฉะนั้นพระองค์กลับไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะพักผ่อน”
เฟิ่งมู่ชิงยกมือขึ้นปิดปากหาวข้างหนึ่งในขณะที่อีกข้างโบกมือเป็นสัญญาณบอกให้แขกออกไป
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปแล้วว่านี่คือห้องหอของเรา และเจ้าก็เป็นพระชายาของข้า”
คำพูดของจวินหรูเย่ทำให้คนที่ได้ยินสะดุ้งตาตื่นพร้อมละล่ำละลักถามว่า “หา! นี่พระองค์จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยหรือ?”
ทันใดนั้นสายตา 2 คู่ก็สอดประสานกันพร้อมกับที่บรรยากาศโดยรอบหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
พอจวินหรูเย่ได้เห็นท่าทางระมัดระวังของหญิงสาวตรงหน้า เขาก็ทำตัวไม่ถูกก่อนที่จะเสมองออกไปด้านนอกครู่หนึ่ง
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”
หลังจากชายหนุ่มพูดจบ เขาก็ควบคุมรถเข็นให้หันหลังออกไปจากห้องของพระชายาใหม่แห่งจวนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อร่างของสามีหมาด ๆ หายลับไปจากสายตา
เขากำลังวางแผนอะไรอยู่?
ช่างเถอะ ๆ คอยดูไปก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธีรับมือตามสถานการณ์ดีกว่า
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงบิดขี้เกียจก่อนจะหันหลังไปเตรียมตัวเข้านอน
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของหญิงสาวก็แข็งทื่อ พร้อมกับดวงตาคู่สวยที่เบิกโพลงจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
อย่าบอกนะ… ว่าข้าเดินไปไหนต่อไหนทั่วเมืองด้วยใบหน้านี้?!
ไม่นะ นี่มันจะน่าอับอายขายหน้าเกินไปแล้ว!
ในระหว่างที่เฟิ่งมู่ชิงหันหลังกลับเตรียมจะเดินไปยังเตียงนอน นางก็บังเอิญเหลือบไปเห็นกระจกทองแดงที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ด้วยสายตาที่เฉียบแหลม นางสามารถมองเห็นบุคคลที่สะท้อนในกระจกได้ในทันที
นี่ยังเป็นใบหน้าของคนอยู่อีกหรือเปล่า!
หากจะบอกว่ามันเป็นหน้าของภูตผีปีศาจก็คงไม่มีใครกล้ามาคัดค้าน
ยามนี้หญิงสาวมองดูใบหน้าซีกซ้ายที่สะท้อนบนกระจกทองแดงซึ่งมีผิวสีเหลืองซีดแต่ก็ยังคงดูละเอียดลออเกลี้ยงเกลาดังเช่นสตรีผู้สูงศักดิ์ทั่วไป
ดวงตาคมคล้ายดวงตาจิ้งจอกที่อยู่ใต้คิ้วที่โค้งสวยเหมือนใบหลิวนั้นสดใสชัดเจน ประกอบกับริมฝีปากบางสีแดงสดภายใต้จมูกเป็นสันคมยิ่งขับให้หญิงสาวดูงดงามมีเสน่ห์เกินพรรณนา แต่ก็น่าเสียดายที่ความงดงามนี้ถูกกลบด้วยความผิดแปลกอัปลักษณ์ของใบหน้าอีกซีกหนึ่ง
ถ้าไม่ได้มองใบหน้านี้ใกล้ ๆ หญิงสาวที่สะท้อนในกระจกก็ดูเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ทั่วไปที่อยู่บนท้องถนน
น่าเสียดายที่ใบหน้าซีกขวาของนางช่างน่ากลัวยิ่งนัก มันมีรอยสีดำขนาดใหญ่น่าเกลียดปกคลุมผิวที่ดูเรียบเนียนของนาง ทำให้ภาพที่สะท้อนออกมาไม่ต่างจากเหล่าปีศาจที่ขึ้นมาจากใต้พิภพ
“ฟื้ด~~”
เฟิ่งมู่ชิงสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อเป็นการสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีจิตใจที่เข้มแข็งดั่งหินผาแล้ว นางคงจะหัวใจวายตายหลังจากได้เห็นใบหน้านี้ในเสี้ยวอึดใจ
แถมนางดันมาเห็นในตอนที่เป็นเวลากลางคืนและอยู่ในจวนใหม่ที่ประดับประดาด้วยสีแดงสดอีก
พลันนางก็นึกถึงท่าทางของอวี้ชิงเฟิงที่ปฏิบัติต่อตนเองตั้งแต่แรกพบหน้า
ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นก็ยังสามารถใจเย็นพูดคุยกับตนเองได้ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบ ในสายตาของจวินหรูเย่ไม่ได้แสดงออกถึงการดูถูกหรือรังเกียจนางเลยแม้แต่น้อย
แต่ก็นั่นแหละ พวกเขาไม่ใช่สามัญชนคนธรรมดาทั่วไป
หากแต่พอเฟิ่งมู่ชิงได้ลองสำรวจใบหน้านี้ให้ถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับรูปร่างหน้าตาในชาติก่อนของนางทุกประการ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือไม่มีไฝสีชาดอยู่ใต้มุมด้านล่างของตาขวาเท่านั้น
แบบนี้ก็นับได้ว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต
หลังจากหญิงสาวคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว นางก็หยิบพู่กันขึ้นมาจรดลงบนกระดาษพร้อมกับใช้มืออีกข้างแตะเบา ๆ ที่รอยบนใบหน้าตัวเอง ระหว่างนั้นดวงตาของนางก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำค้างแข็ง
คนในสกุลเฟิ่งคงลงมือกับร่างนี้ไม่ใช่น้อย ๆ คอยดูเถอะ ข้าจะเอาคืนพวกมันให้สาสม!
…
วันต่อมา
เนื่องจากเฟิ่งมู่ชิงและจวินหรูเย่สมรสตามพระราชโองการของฮ่องเต้ ตามกฎแล้วหลังพิธีสมรสพวกเขาก็จะต้องเข้าวังไปเพื่อคารวะฮ่องเต้และฮองเฮาเป็นการแสดงความเคารพ
วังหลวงแห่งนี้มีกำแพงสีแดงสูงตระหง่านและกระเบื้องเคลือบหลังคาเนื้อดีซึ่งแสดงถึงพลังอำนาจของผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงสุด ขณะนั้นเฟิ่งมู่ชิงได้แต่ทอดถอนหายใจเมื่อมองไปที่กำแพงสีแดงตรงหน้า
ทันทีที่นางเหยียบย่างเข้ามาในวังหลวง นางก็สัมผัสได้ถึงคลื่นลมที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความโอ่อ่า
นางไม่รู้ว่าภายในกำแพงสูงนี้ได้เหยียบย่ำทำลายความงดงามไปกี่หมื่นพันเรื่องราวและมีกลอุบายสกปรกอะไรซ่อนอยู่บ้าง
“เจ้าต้องแยกตัวไปที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ของฮองเฮาก่อน หลังจากที่ข้าเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะรีบไปรับเจ้า” จวินหรูเย่หันมากล่าวกับพระชายาของตน
เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้าตอบรับ
คำพูดที่แฝงไปด้วยคำปลอบโยนนั้นทำให้ในใจของหญิงสาวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“ตอนที่เจ้าอยู่ที่ตำหนักนั้นเจ้าไม่จำเป็นจะต้องคุกเข่าให้ใคร หากมีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา ข้าก็จะเป็นคนรับมันไว้เอง”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงได้ยินประโยคต่อมา ดวงตาคู่สวยก็พลันสว่างไสว มันขับให้นัยน์ตาที่เคยคมดุของนางดูน่ามองมากยิ่งขึ้น
“หากแม้ว่าหม่อมฉันเป็นฝ่ายผิด พระองค์จะยังคงยืนยันคำเดิมหรือไม่เพคะ?”
ตัวนางนั้นสามารถฝึกตนจนขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า นางเคยสัมผัสกับวังหลังที่อยู่ส่วนลึกของเขตพระราชฐานมานักต่อนัก คนที่อยู่ข้างในล้วนเป็นผีร้ายที่สวมผิวหนังมนุษย์ ภายนอกของทุกคนอาจจะดูสดสวยงดงาม แต่ภายในกลับเน่าเฟะไม่มีชิ้นดี
ตอนแรกนางกังวลเพียงว่าจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองแล้วสร้างปัญหาในวังหลัง แต่บัดนี้ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกแล้ว
“พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ใช่ตำแหน่งขุนนางธรรมดาทั่วไป เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
จู่ ๆ เฟิ่งมู่ชิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน แม้แต่กำแพงสูงตระหง่านตรงหน้าก็ดูน่าอภิรมย์ใจมากขึ้น
จากนั้นจวินหรูเย่ก็แยกตัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซือคงหรูซวนที่ห้องทรงพระอักษร ในขณะที่เฟิ่งมู่ชิงเดินตามขันทีไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
ทันทีที่หญิงสาวมาถึงประตูตำหนัก นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะแสนหวานดังมาจากด้านใน
“แม่นมสวี พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ มาเข้าเฝ้าฮองเฮา” ขันทีที่เป็นผู้นำทางก้าวเข้าไปกระซิบพูดกับหญิงชราที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเสียงแผ่วเบา
ขณะนั้นแม่นมสวีเหลือบมองผู้มาเยือนด้วยหางตาก่อนจะพูดเสียงห้วนว่า “รอก่อน” แล้วเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อรายงานเจ้าของตำหนัก
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน แม่นมสวีก็ออกมากล่าวว่า “ฮองเฮาทรงพักผ่อนอยู่ พระชายาโปรดรอสักครู่”
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงแสยะยิ้มเยาะเย้ย
คนพวกนี้ทำเหมือนกับว่านางหูหนวกไม่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังมาจากข้างในเลยสักนิด
นี่คงเป็นการแสดงอำนาจสินะ
ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เป็นที่ต้อนรับของคนที่นี่สักเท่าไหร่
โชคดีที่ก่อนหน้านี้จวินหรูเย่ได้เอ่ยปากบอกนางว่าไม่ต้องคุกเข่าให้ใคร นางจึงไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกเกรงใจใครในวังหลังแห่งนี้
“ในเมื่อฮองเฮาทรงพักผ่อนอยู่ เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอรบกวนพระนาง เอาไว้ข้าจะกลับมาใหม่หลังจากที่ฮองเฮาทรงตื่นจากบรรทมแล้ว”
ทันทีที่แม่นมสวีได้ยินสิ่งที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินกล่าว นางก็ตะโกนเสียงกร้าวว่า “ท่านกล้าดียังไง! บังอาจมาลบหลู่องค์ฮองเฮาถึงพระตำหนักเช่นนี้!”
“แม่นม เจ้าพูดผิดแล้ว ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะเคารพพระนางจึงไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของพระนาง”
“นี่ท่าน!”
บัดนี้แม่นมสวีรู้สึกโมโหมากจนแทบจะหายใจไม่ออก นางยืนตัวสั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเฟิ่งมู่ชิง
หญิงชราคงรู้สึกโกรธมากที่มีคนมาดูถูกผู้เป็นนายของตน
แต่ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเติมเชื้อไฟที่สุมอยู่ในอกของนางให้ลุกโชนร้อนแรงขึ้นอีก
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงก้าวเข้าไปจับนิ้วที่อีกฝ่ายชี้หน้าตนด้วยมืออันหยาบกร้าน
แกร๊ก–
เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้ทุกคนตกใจมากจนยืนนิ่งไม่ทันตอบสนอง
“ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะปล่อยให้ใครมารังแกง่าย ๆ หรอกนะ”
“กรี๊ดดดดด!”
ความเจ็บปวดที่แล่นเข้าสู่สมองของแม่นมสวีแบบฉับพลันส่งผลให้นางต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนานยับย่นจนคล้ายกับเปลือกไม้
“ข้าเป็นถึงพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าข้าควรปล่อยให้นางกำนัลแก่ ๆ อย่างเจ้ามารังแกข้าอย่างนั้นหรือ?”
แม่นมสวียังคงใช้สายตาดุดันจ้องมองเฟิ่งมู่ชิงไม่วางตา
ข้าลงมือขนาดนี้แล้วยังไม่สำนึกอีก!
ดูเหมือนว่าที่ข้าสั่งสอนไปมันคงไม่เข้าหัวนางเท่าไหร่
“พระชายา เชิญเข้ามาเถิด”
ขณะที่เฟิ่งมู่ชิงกำลังจะสั่งสอนบทเรียนให้กับคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นางกำนัลในชุดสีเขียวก็รีบออกมาพูดห้ามทัพก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่าเดิม
หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางกำนัลคนนี้กังวลว่าแม่นมเฒ่าจะตกอยู่ในกำมือของผู้มาเยือน
หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ก้าวเข้าไปในประตูตำหนักแบบไม่เร่งรีบ ทันทีที่นางเดินเข้าไปข้างในก็มีเสียงอุทานดังตามมาเป็นทิวแถว
แต่พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ กลับไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น มันเป็นเพราะนางรู้ตัวดีว่าใบหน้าของนางน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน
ภายในเวลาไม่นานนางก็ถูกจับจ้องด้วยสายตาหลากหลายรูปแบบ
บ้างก็รังเกียจ บ้างก็ดูถูกดูแคลน แล้วบางคนก็ทำเพียงมองดูอย่างระแวดระวัง
จากนั้นเฟิ่งมู่ชิงก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ตั้งแต่องค์ฮองเฮาที่นั่งด้วยท่วงท่าสง่างามอยู่บนที่ประทับตรงกลางในชุดปักลายหงส์สีเหลืองสดใส ตลอดไปจนถึงนางสนมทุกลำดับขั้นที่นั่งขนาบเรียงตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์อยู่ทั้งสองด้าน
การเป็นนายเหนือหัวที่อยู่เหนือกว่าประชาชนทั้งปวงนั้นมันดีอย่างนี้นี่เอง
ส่วนนางสนมที่ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในรั้ววังหลังต่างก็มีข้อดีของตัวเอง แต่สิ่งสำคัญคือพระสนมพวกนี้มีจำนวนเยอะมากจนแทบนับไม่หวาดไม่ไหว
ยามนี้เฟิ่งมู่ชิงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเพราะสายตาของพวกนางสนมช่างมีอารมณ์หลากหลายซับซ้อนชวนปวดหัว
นางรู้สึกว่าสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตก็คือการที่ไม่ต้องมานั่งเปลืองความคิดกับการวางแผนชิงอำนาจทะเลาะกับผู้หญิงมากมายเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากผู้ชายเพียงคนเดียวอยู่ในวังหลังที่เปรียบเสมือนวังวนความโลภไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนี้
มันทำให้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นมากจนนางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องดังกล่าว
“เฟิ่งมู่ชิงคารวะฮองเฮา” สตรีผู้มีตำแหน่งพระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน พร้อมกับทำความเคารพผู้เป็นแม่เหนือแผ่นดินองค์ปัจจุบัน
ทางด้านฮองเฮาทำเพียงแค่ตอบรับเสียงเรียบว่า “อืม” ในลำคอและไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นอย่างนี้ก็แสยะยิ้มหยัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยืนตัวตรงดังเดิม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 233
แสดงความคิดเห็น